Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

คงมีแต่คนล้าหลังที่คิดขัดขวางการเติบโตของ ‘ประชาธิปไตย’ ในสังคมไทยเท่านั้น ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมญ 50 ฉบับที่มาจากผลพวงการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 291 เกิดขึ้น ก็เพื่อเปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ดำเนินการกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ โดยการระดมความคิดเห็นจากประชาชน เหมือนเช่น รัฐธรรมนูญ 40 และให้ประชาชนลงประชามติอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม กระบวนการได้มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ คงได้ข้อสรุปกันแล้วว่า ต้องมาจากการเลือกตั้งเป็นหลัก ซึ่งมีบางความคิดว่า ควรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และบางความคิดก็ว่าควรมาจากการเลือกสรร ‘กันเอง’ หรือ ‘ภายใน’ ของคณาจารย์ด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ในฐานะ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ด้วย จำนวนถึง 22 คน

ผู้เขียนคิดว่า  บทเรียนจากประวัติศาสตร์ในการผลิตรัฐธรรมนูญในสังคมไทยหลายฉบับที่ผ่านมา มักให้ความสำคัญกับ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ที่เป็นนักนิติศาสตร์ นักกฎหมายมหาชน  

แต่รัฐธรรมนูญหลายฉบับที่มาจากคณะรัฐประหาร ซึ่งริดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน และได้ให้อำนาจกับอำนาจนอกระบบประชาธิปไตยครองความเป็นอำนาจนำ ครองความเป็นใหญ่เหนืออำนาจอธิปไตยของประชาชน ก็ปฏิเสธมิได้ว่า ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เป็นผู้มีส่วนร่างด้วย และ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ จำนวนมากก็มักไม่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย

ขณะที่ถ้าเปิดทางให้มีการเลือกสรร ‘กันเอง’ หรือ ‘ภายใน’ ของคณาจารย์ด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ในฐานะ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ไม่ว่าผ่านทางสภาอาจารย์ของแต่ละมหาวิทยาลัย หรือกระบวนการเลือกสรรของสถาบันการศึกษา  แล้วเสนอชื่อมาตามกลไกและให้รัฐสภาเลือกอีกครั้ง อาจจะได้รับรายชื่อของ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ที่ไม่นิยมระบอบประชาธิปไตยเสียเป็นส่วนใหญ่  

ปฏิเสธมิได้ว่า ภายใต้การครอบงำของอำนาจนำ สภาอาจารย์ของแต่ละมหาวิทยาลัย หรือกระบวนการเลือกสรรของสถาบันการศึกษานั้น ล้วนมิใช่ ‘นักประชาธิปไตย’ และคงได้ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ หน้าเดิมๆ ที่ร่างรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับแล้ว รวมทั้งฉบับรัฐประหาร 50

ผู้เขียนจึงคิดว่า สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ควรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด มิควรปล่อยให้’ผู้เชี่ยวชาญ’ เป็น ‘อภิสิทธิ์ชน’ เหมือนที่ผ่านมา เพราะ ‘คนเราเท่ากัน’

‘ผู้เชี่ยวชาญ’ อาจทำหน้าที่ให้ ‘บริกร’ กับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ อาจตั้งเป็นผู้มีหน้าที่ หรือกรรมาธิการ เพื่อทำให้เป็น ‘รัฐธรรมนูญ’ ตามความต้องการของประชาชน ภายหลังกระบวนระดมความคิดเห็นจากประชาชนของ สสร. แต่ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่เหมือน สสร.

ถ้า ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ต้องการทำหน้าเช่น สสร. ก็ควรลงสมัครเลือกตั้ง สสร.และให้ประชาชนเลือก

นอกจากนี้ ในด้านการกำหนดคุณสมบัติผู้สมัคร สสร. ซึ่งบางความคิดเสนอว่า ต้องจบระดับปริญญาตรี  แต่บางความคิดว่าไม่จำเป็น  

ผู้เขียนคิดว่า สังคมไทยมักให้ค่ากับคนที่มีความรู้ภายในกรอบ ‘วุฒิบัตร’ ‘ปริญญา’ นับว่าเป็น ‘อภิสิทธิ์ชน’ รูปแบบหนึ่ง  ขณะที่คนจบระดับปริญญาเอก เป็นศาสตราจารย์ ไม่น้อยก็หาได้ชื่นชมระบอบประชาธิปไตย แต่คนจบ ป.4 จำนวนมากกลับสนใจเรียนรู้ความคิดของ ปรีดี พนมยงค์  ผู้อภิวัฒน์ระบอบประชาธิปไตย หรือศึกษาเกี่ยวกับประชาธิปไตยก็มีให้เห็นจำนวนมาก

คนไม่จบปริญญาตรีหลายคนล้วนมีประสบการณ์ด้านสิทธิเสรีภาพ ด้านประชาธิปไตย ซึ่ง ดร.ทั้งหลายหาได้มีประสบการณ์ตรง  เช่น การรวมกลุ่มกันของผู้ใช้แรงงาน การรวมกลุ่มกันของเกษตรกร การรวมพลังกันของ นปช. ฯลฯ อันเป็นสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นรูปธรรม

คนขับแท็กซี่ ‘นวมทอง ไพรวัลย์’ ไม่ได้จบปริญญาเอก แต่กล้าพลีชีพ เสียสละชีวิตเพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตย คัดค้านการรัฐประหาร  คนจบ ดร.ไม่น้อยกลับสนับสนุนรัฐประหาร รับใช้อำนาจนอกระบบประชาธิปไตย   

ที่สำคัญ หลักการอุดมการณ์ของระบอบประชาธิปไตยนั้นเชื่อว่า ‘คนเราเท่ากัน’ ในการเลือกผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ   ไม่ว่าชาติกำเนิดของใครจะเป็นไพร่หรืออำมาตย์ จะยากจนหรือเป็นเศรษฐี จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย  จะเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาส จะเป็นครูบาอาจารย์หรือลูกศิษย์  ผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์หรือยาจก  ฯลฯ ตลอดทั้งจะจบ ป.4 หรือจบ ดร. ก็ตาม

แต่ ‘ทุกคนเท่ากัน’ และ ‘หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง’ เลือก สสร.

เมื่อ ‘คนเราเท่ากัน’  จบ ป.4 ก็เป็น สสร.ได้ มิใช่หรือ?

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net