นับเป็นเรื่องน่ายินดี เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แถลงนโยบายแก้ไขปัญหาที่
ดินและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 โดยมีการระบุไว้ในข้อ 5.4 ว่า “สร้างความเป็นธรรมและลดควา
มเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ
โดยการปฏิรูปการจัดการที่ดิ
นโดยให้มีการกระจายสิทธิที่
ดินอย่างยั่งยืนโดยใช้มาตรก
ารทางภาษีและจัดตั้งธนาคารที่ดินให้แก่คนจนและเกษตรกรร
ายย่อย...ผลักดันกฎหมายในกา
รรับรองสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่าไม้ และทะเล ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมด้า
นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแว
ดล้อม แก้ไขปัญหาการดำเนินคดีโลกร้อนกับคนจน” หลังจากนั้นรัฐมนตรีประจำสำ
นักนายกรัฐมนตรี ได้ให้คำมั่นต่อภาคประชาชนผ่านสื่อมวลชนอย่างน้อย 2 ครั้ง ว่าจะสานต่อนโยบายโฉนดชุมชน
ซึ่งเป็นการรับรองสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากรตาม
รัฐธรรมนูญ โดยตั้งเป้าหมายจัดการพื้นที่ในรูปแบบโฉนดชุมชนให้ได้ 2 ล้านไร่ ภายใน 3 ปี
แต่เมื่อพิจารณาถึงรูปธรรมในทางปฏิบัติของรัฐบาลในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา พบว่าไม่ได้มีแนวปฏิบัติในการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติดังที่ได้แถลงไว้แต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังมีท่าทีไม่ปรองดองกับคนจนและเกษตรกรรายย่อย โดยเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2555 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้แถลงว่านายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า “กรณีโฉนดชุมชนมีการดำเนินการผิดพลาด โดยพบว่ามีการนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยน เอาไปทำโครงการขนาดใหญ่ ที่พบมากแถบจังหวัดภาคใต้ ที่มีการเอาไปทำสวนยาง”
ส่งผลให้ข้าราชการ โดยเฉพาะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่เชื่อมั่นในแนวทางและนโยบายโฉนดชุมชน นำไปสู่การตัดฟันสวนยางของชาวบ้านจำนวน 3 แปลง เนื้อที่ 8 ไร่ ในพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู ม.1 ต.ช่อง อ.นาโยง จ.ตรัง และจับกุมชาวบ้าน ในพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนบ้านตระ ม.2 ต.ปะเหลียน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง 2 ราย ในขณะที่นำหมากแห้งออกไปจำหน่าย รวมถึงการเตรียมการสนธิกำลังรื้อถอนสวนยางและสวนปาล์มในพื้นที่โฉนดชุมชนบ้านหลังมุข ม.6 ต.ช้างแรก อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทั้งๆ ที่พื้นที่โฉนดชุมชนบ้านทับเขือ-ปลักหมู และบ้านตระได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองพื้นที่จากคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.) แล้วว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน สามารถบริหารจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐได้ ในขณะที่บ้านหลังมุข กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบพื้นที่ของสำนักงานโฉนดชุมชน นอกจากนั้น อัยการสูงสุดและกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งให้ชะลอการดำเนินคดีในพื้นที่ดำเนินการโฉนดชุมชน และคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชนได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 8 หน่วยงาน เพื่อผลักดันและสนับสนุนการดำเนินงานโฉนดชุมชน
นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่ารัฐบาลกำลังใช้เกษตรกรรายย่อย และปัญหาที่ดินทำกินเป็นหมากในเกมการเมืองระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน รัฐบาลมีความเชื่อมาตลอดว่านโยบายโฉนดชุมชนเป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ โดยลืมว่าแท้ที่จริงแล้วนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายของภาคประชาชน ซึ่งได้นำเสนอต่อพรรคการเมืองทุกพรรค รวมทั้งพรรคไทยรักไทย ในปี พ.ศ.2550 จึงน่าเป็นห่วงว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันอาจจะปล่อยปละละเลยให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ข่มขู่คุกคามรื้อถอนอาสินในพื้นที่โฉนดชุมชนทั่วประเทศ เพียงเพื่อผลทางการเมืองที่ว่าการรับรองพื้นที่โฉนดชุมชนของรัฐบาลชุดที่แล้วเป็นการกระทำที่ผิดพลาด และส่งเสริมให้คนบุกรุกป่ามากขึ้น
เพื่อให้การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรเดินหน้าต่อไปได้ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ขอยืนยันว่า
1. รัฐบาลต้องสานต่อนโยบายโฉนดชุมชน ทั้งนี้เพื่อให้ส่วนราชการต่างๆ ปฏิบัติงานไปในแนวทางเดียวกัน นายกรัฐมนตรีควรมอบหมายนโยบายที่ชัดเจนเรื่องโฉนดชุมชนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการทำหนังสือเวียนถึงส่วนราชการต่างๆ เพื่อให้มีการปฏิบัติตามนโยบายและแนวทางโฉนดชุมชน ซึ่งจะต้องมีการคุ้มครองพื้นที่และรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร ทั้งในส่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอื่นๆ
2. ภาคประชาชนจะร่วมกันตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง ว่ารัฐบาลได้ปฏิบัติตามนโยบายที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ข้อ 5.4 ที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และสังคมไทยหรือไม่