Skip to main content
sharethis

“อาชีพพริตตี้เป็นอาชีพที่สุจริต เราไม่ได้ทำอาชีพนี้บนความเดือดร้อนของผู้อื่น และอย่าด่าโง่แบบเหมารวม เพราะว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องใช้สมอง ใช้ไหวพริบสติปัญญา ถ้าไม่เชื่อเราท้าแข่งความรู้รอบตัว ทั้งภาษาไทยและอังกฤษกับคุณระเบียบรัตน์ เอาไหมพริตตี้ที่คุณว่าโง่ๆ อย่างเราๆ คิดว่าก็ไม่แพ้คุณ”

นี่คือหนึ่งในประโยคที่ตัดตอนมาจากคำสัมภาษณ์ในหัวข้อข่าว ‘พริตตี้ปริญญา จัดหนัก ถล่มระเบียบรัตน์ ตกยุค ท้าดีเบตความรู้รอบตัว !” (หาอ่านฉบับเต็มกันที่ได้ http://www.thairath.co.th/content/life/249265) ซึ่งเป็นผลมาจากที่ป้าเบียบของเราออกมาฉะเรื่อง (เดิมๆ) ว่าพริตตี้นั้นแต่งตัวไม่เหมาะสม ตามข่าวปรากฏว่า

“ส่วนค่ายรถที่เอานางแบบฝรั่งใส่บีกินี โชว์เนื้อหนังมังสา คงคิดว่าจะหลบคำวิจารณ์ได้ แต่ยิ่งเห็นภาพที่ใส่ชุดขาวบางอำพรางอวัยวะเพศ แต่มันวาบหวิว ดิฉันว่ามันน่าเกลียดมาก เป็นการเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ เอาธุรกิจมาเป็นตัวนำหาผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงความเหมาะสม ดังนั้น การจัดงานมอเตอร์โชว์ที่ยังเหลือเวลาอีกหลายวัน จึงอยากจะให้ผู้จัด และค่ายรถยนต์ต่างๆ ช่วยดูแลการแต่งกายให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การจัดงาน ส่วนสาวๆ พริตตี้ ที่อยากทำงาน อยากได้เงิน ก็ควรมีสมอง ไม่ใช่อยากได้เงิน แต่สมองฝ่อ เพราะจะเป็นการทำลายบ้านเมืองด้วย” (เดลินิวส์)

 

มันเป็นเรื่องเดิมๆ ที่เกิดขึ้นทุกปีเมื่อมีการจัดงาน ‘มอเตอร์โชว์’ กับกระแส ‘โปร’ และ ‘คอน’ ที่มีทั้งการเผยแพร่น้องพริตตี้หน้าตาน่ารักกับยานยนต์รุ่นใหม่ตามเว็บต่างๆ และมีคำวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการแต่งกาย ความโป๊เปลือยตามมา ดังเช่นเจ๊เบียบ ที่ออกมาพูดเรื่องนี้ทุกปี ชวนให้สงสัยว่า เอ๊ะ! เรายังไม่อาจก้าวข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้อีกหรือ หรือเรายังไม่อาจชี้ให้คนในสังคมใช้วิจารณญาณของตนเองตัดสินในเรื่องแบบนี้ได้อีกหรือ จึงมีการออกมาฉะ ออกมาตอบโต้กันทุกๆ ปี คาดว่าสงกรานต์นี้เดี๋ยวก็มีเรื่องคล้ายๆ ปีก่อน ทั้งเรื่องการรณรงค์ไม่ให้ผู้หญิงแต่งโป๊เปลือยไปเล่นน้ำ รวมถึงอาจมีมือปราบศีลธรรมของสังคมสักคนไปถ่ายคลิปอะไรมาแล้วเอาโพสต์เป็นข่าวต้องรีบหาตัวผู้กระทำการให้ศีลธรรมในสังคมเสื่อมเสียมาลงโทษอีกเช่นเคย

ในกรณีของเจ๊เบียบ ดิฉันขอข้าม ไม่ขอกล่าวถึงหรือวิพากษ์วิจารณ์ เพราะมันคงเป็นการต่อสู้เดิมๆ กับความเชื่อเดิมๆ ที่ไม่มีประโยชน์อันใดจะมานั่งต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไปแล้ว (แต่แน่นอนว่าเราก็ต้องสู้กับวาทกรรมแบบนี้ต่อไป ซึ่งในประเด็นที่ดิฉันจะกล่าวต่อไปนั้นคงครอบคลุมถึงการต่อสู้กับวาทกรรมแบบเจ๊เบียบนี้เช่นเดียวกัน) ความน่าสนในประเด็นนี้จึงอยู่ที่การออกมาต่อสู้ของพริตตี้ ผ่านการทำข่าวของสื่อมวลชน ที่คัดเฟ้นประเด็น รวมถึงตัวบุคคล หรือคุณสมบัติของตัวบุคคลของพริตตี้ในการออกมาต่อสู้กับวาทกรรมของเจ๊เบียบ ซึ่งทำให้เราได้เห็นถึง 2 มุมมองที่ไปด้วยกันได้ดีนั่นก็คือในมุมของพริตตี้ และมุมมองของสื่อมวลชนที่พยายามจะต่อสู้เรื่องนี้ไปด้วยกัน (เช่นเดียวกันกับกระแสสังคมตามกระทู้ต่างๆ ที่เห็นไปในทิศทางการ ‘เชียร์’ ฝ่ายพริตตี้)

จำได้ว่าหลายปีก่อนหน้านี้ สกู๊ปข่าวแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่เป็นการสัมภาษณ์พริตตี้ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และธรรมศาสตร์ ในการทำงานเป็นพริตตี้ พูดง่ายๆ เข้าประเด็นก็คือ ในท่ามกลางกระแสการโจมตีการแต่งตัวไม่เหมาะสมของพริตตี้ หรือการนำเอาผู้หญิงมาแต่งตัวสวยๆ เซ็กซี่หน่อยๆ ยืนข้างรถ ที่ถูกมองว่าขายความน่ารัก และรูปร่างหน้าตานั้น การทำสกู๊ปข่าวอันนี้เป็นความพยายามที่จะโต้แย้งว่า ถึงแม้พริตตี้ซึ่งเป็นอาชีพที่ขายรูปลักษณ์ รูปร่างหน้าตาจะดูเหมือนไม่ได้ใช้สมองอะไร แต่เด็กพวกนี้ฉลาด มีความรู้มากนะ เรียนมหาวิทยาลัยดังเชียวแหละ และงานพริตตี้ก็ไม่ใช่ที่ใครจะมาดูถูกได้นะ เห็นไหม เด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยอันโด่งดังของประเทศก็ยังมาทำงานนี้เลย และทำอย่างภูมิใจเสียด้วย

นั่นคือหลายปีที่ผ่านมา...

 

Pretty Motor Show 2012
Pretty Motor Show

 

พอมาถึงปีนี้ เมื่อมันมีชนวนมาจากการสัมภาษณ์ของเจ๊เบียบ จึงมีการทำข่าวในทำนองเดียวกันเพื่อตอบโต้ประเด็นดังกล่าวดังที่ปรากฏข้างบน โดยเนื้อหาการตอบโต้ หรือการนำเสนอก็ไม่ต่างจากที่ผ่านมามากนัก เพียงแต่ขยายสถาบันการศึกษาของพริตตี้ให้มากขึ้น แต่เน้นไปที่ ‘การจบเกียรตินิยม’ ‘เกรดเฉลี่ย’ ‘นักศึกษาปริญญาโท’ และ ‘กตัญญูหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว’

คำถามที่ตามมาก็คือ...แล้วไง ? นี่มันใช่ประเด็นในการตอบโต้ หรือหักล้างวาทกรรมอย่างเจ๊เบียบแล้วหรือ โอเค...หากเราเชื่อตามนั้น ขอถามหน่อยว่า...นักศึกษาที่ไม่ได้เรียนจุฬา ธรรมศาสตร์ ไม่ได้จบเกียรตินิยม เกรดเฉลี่ยไม่สูงสวยงาม นำเงินให้พ่อแม่บ้าง ซื้อกระเป๋าหลุยส์วิตตองมาใช้บ้าง แล้วเธอพวกนี้อยู่ใน ‘ประเภท’ ไหนของการพริตตี้ สมมติ (ต้องสมมตินะคะ แม้ความสวยจะผ่านก็ตามที) ถ้าดิฉันเป็นพริตตี้คนหนึ่งจบจากมหาวิทยาลัยชื่อไม่ดัง (จบ ม.6 ก็ได้ ไม่รู้ว่าเกณฑ์การเป็นพริตตี้ต้องการศึกษามหาวิทยาลัยด้วยหรือเปล่า) เกรดเฉลี่ยก็แกนๆ ไม่ได้เกียรตินิยม ไม่ได้เรียนต่อปริญญาโท นั่นหมายความว่า ดิฉันต้องลาออกจากการเป็นพริตตี้ไหม ดิฉันไม่อาจอวดอ้าง เสนอหน้าในฐานะพริตตี้ออกมาต่อสู้กับเจ๊เบียบเลยใช่ไหม

เรื่องนี้จะกล่าวโทษน้องสาวสวยพริตตี้ ผู้มีโปรไฟล์เลอเลิศทั้งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง ได้รับเกียรตินิยม เกรดเฉลี่ยสวยงาม เป็นถึงนักศึกษาปริญญาโท และเลี้ยงดูครอบครัว แต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะการ ‘ชง’ ลูกเพื่อตอบโต้กับข้อกล่าวหาของเจ๊เบียบนั้นมาจากสื่อมวลชนที่ทำสกู๊ปข่าวนี้ขึ้นมา ในขณะที่เพื่อนพ้องน้องพี่ชาวพริตตี้ทั้งหลาย (ซึ่งไม่รู้ว่ามีสมาคมพริตตี้แห่งประเทศไทยหรือยัง) สมควรจะออกโรงมาต่อสู้ร่วมกัน เพื่อศักดิ์ศรีในอาชีพ ในความเป็นผู้หญิง แต่กลับกลายเป็นว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ได้กีดกันและแบ่งชนชั้นพริตตี้ออกไปโดยการอวดอ้างถึงโปรไฟล์อันเลอเลิศต่างๆ ของบรรดาพริตตี้ที่ให้สัมภาษณ์ในการออกมาตอบโต้เจ๊เบียบในครั้งนี้ เพื่อที่จะให้พ้นข้อความกล่าวที่ว่า ‘พริตตี้’ ไม่มีสมอง ด้วยการโชว์มหาวิทยาลัยที่เรียนจบมา เกรดเฉลี่ย เกียรตินิยม การเรียนต่อปริญญาโท (และมีหมายเหตุเอาไว้แก้ตัวในทุกๆ ข้อกล่าวหาอันเป็นยันต์วิเศษสุดคลาสสิกก็คือ ‘เลี้ยงดูครอบครัว’)

แล้วเหล่าพริตตี้ที่เหลือที่ไม่ได้มีโปรไฟล์อย่างนั้นล่ะ ?

พวกเธอเหล่านั้นคือพริตตี้ที่ ‘ไม่มีสมอง’ อย่างนั้นหรือ พวกเธอเหล่านั้นต้องปิดปากเงียบ ต้องทำเป็นตัวไร้ตัวตนแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป เพราะไม่อาจออกมาต่อสู้ปกป้องได้ เพราะมีพริตตี้แถวหน้าออกมาต่อสู้แล้ว แล้วดันเคลมโปรไฟล์สูงส่งต่างๆ นานา ที่พวกเธอดันไม่มีอย่างนั้นหรือ ?

พริตตี้มีสมองและสื่อมวลชนที่ทำข่าวนี้กำลังต่อสู้เพื่อใคร ?

ดิฉันไม่รู้ว่าจำนวนสาวที่ทำงานเป็นพริตตี้มีมากน้อยเท่าไร และเมื่อจัด ‘ประเภท’ ตามระดับการมีสมองนั้น ใครจบอะไร เกรดเท่าไหร่ หรือกำลังเรียนปริญญาโทที่ไหน เป็นจำนวนเท่าไหร่บ้าง (ขออภัยที่ทำการบ้านมาน้อย) จำนวนพริตตี้ที่มี ’สมอง’ (แน่นอน...บางคนอาจกล่าวว่าไม่จำต้องมีโปรไฟล์ตามแบบนั้นก็ถือว่ามีสมองได้ หากทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ การกล่าวอ้างของดิฉันอาจเป็นการลบหลู่เกียรติของเหล่าพริตตี้ แต่ขอให้สังเกตตามข่าวเอาเองว่า แล้วการคัดเลือกพริตตี้เพื่อออกมาตอบโต้เรื่องนี้ ทำไมการมีสมองถึงคัดด้วย ‘โปรไฟล์’ เช่นนั้น ?) ทั้งหลายคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่กับพริตตี้ทั้งหมด ในเมื่อดิฉันไม่รู้ตัวเลขที่แน่นอน จึงไม่อาจกล่าวอ้างได้ แต่ก็ยังขอเดาสุ่มอย่างข้างๆ คูๆ ว่า ก็คงมีพริตตี้จำนวนไม่น้อยแหละ ที่ไม่ได้เข้าข่าย ได้มาตรฐาน ‘พริตตี้ที่มีสมอง’

สิ่งนี่เองที่ทำให้ดิฉันทำใจเชียร์เหล่าพริตตี้ที่ออกโรงมาต่อสู้ในประเด็นนี้ไม่ได้ เพราะในขณะที่เธอกำลังต่อสู้ประเด็นเรื่อง ‘ผู้หญิง’ เธอก็ได้กีดกัน แบ่งกลุ่ม ถีบส่ง ผู้หญิงร่วมอาชีพของเธอไปมิใช่น้อย แล้วที่สำคัญนั่นไม่ใช่สาระสำคัญของประเด็นที่จะยกขึ้นมาต่อสู้ในเรื่องนี้เลย

ประเด็นที่เหล่าสาวๆ พริตตี้ทั้งหลายถูกโจมตีเสมอมาก็คือ การโชว์ความสวยงามเซ็กซี่ของเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง และถูกกดทับซ้ำซ้อนด้วยวาทกรรมที่ว่าร่างกายเป็นของต่ำ สมอง (ความคิด) เป็นของสูง การใช้เนื้อตัวร่างกายในการทำมาหากินจึงดูไม่สมศักดิ์ศรีเท่ากับการใช้สมองหากิน (ซึ่งทำให้พวกเธอต้องออกมาปกป้องว่าฉันมีสมองนะ ด้วยโปรไฟล์ต่างๆ นานาและท้าดีเบตนั้น เพื่อให้ตัวเองไม่ถูกมองว่า ‘ต่ำ’)

สิ่งที่ดิฉันเห็นว่าหากเราจะต่อสู้เรื่องนี้ ไม่ใช่การอวดอ้างโปรไฟล์ทั้งหลายที่ไปกีดกัน แบ่งกลุ่ม ทำร้ายผู้หญิงคนอื่นๆ (ที่ทำงานร่วมสาขาอาชีพเดียวกัน) แต่เป็นการพลิกกลับวาทกรรมนั้น ให้เห็นว่า แล้วทำไมล่ะ ? การใช้เนื้อตัวร่างกายในการทำมาหากิน (อย่างเช่นการเป็นพริตตี้ที่เราต้องยอมรับว่ารูปลักษณ์นั้นคือเครื่องมือทำมาหากินอันดับหนึ่ง) มันผิดตรงไหน ? นี่ไม่ใช่เรื่องต่ำเรื่องสูง ไม่ใช่เรื่องมีสมอง ไม่มีสมอง แต่มันเป็นเรื่องของการ ‘ทำมาหากิน’ ถ้าอาชีพที่ทำไม่ได้ต้องการ ‘ความมีสมอง’ แต่ต้องการ ‘คุณสมบัติอย่างอื่น’ ในเมื่อเรามีคุณสมบัติอย่างอื่นที่อาชีพนั้นต้องการ เราจะทำไม่ได้หรือ เราก็ต้องยืนยันไปตามเนื้อผ้าสิ (ก็พริตตี้ต้องสวย ฉันสวยฉันก็ทำได้ ยิ่งสวยมาก ยิ่งได้ค่าตัวสูง เหมือนดารานั่นไง ผิดตรงไหน เรื่องนี้มีสมอง หรือไม่มีสมองไม่เกี่ยว) นี่ไม่ใช่แค่การย้อนแย้งอย่างทื่อๆ แต่มันเป็นการยืนยันถึงความภูมิใจ สิทธิ ในเนื้อตัวร่างกายของตัวเองของผู้หญิง ที่ไม่ควรได้รับการดูถูก ไม่ควรได้รับการประเมินค่าว่าต่ำต้อย ไม่ควรต้องเอาคำว่า ‘การศึกษา’ หรือสมอง ‘มาช่วยยกระดับร่างกาย ‘ หรือเป็นข้ออ้างในการเปิดเผยเนื้อตัวร่างกาย’ (ที่สามารถทำได้มากกว่าผู้หญิงที่มีการศึกษาต่ำกว่า หรือโปรไฟล์ที่ต่ำกว่า) การใช้เนื้อตัวร่างกายเป็นเครื่องมือหากินนั้นมันด้อยค่า ด้อยศักดิ์ศรีตรงไหน สิ่งที่เราควรกระทำคือการยืนยันในสิทธิ และศักดิ์ศรีตรงนี้ของผู้หญิงในตรงนี้ต่างหาก

เพราะถ้าหากน้องๆ พริตตี้มีสมองทั้งหลาย อยากจะโชว์ความรู้ มันสมอง จริงๆ ไม่ต้องมาดีเบตหรอก ขอแนะนำว่าไปออกรายการเกมส์โชว์ตอบคำถามความรู้รอบตัวดีกว่าค่ะ หรือถ้าอยากจะสวยทั้งรูปทั้งจิตใจทั้งสมองจริงๆ ก็ไปสมัครเป็นครูชายแดนไหมคะ ? รับรองคนทั่วประเทศสรรเสริญในคุณงามความดีและมันสมองของน้องแน่ๆ ไม่ต้องมาเป็นพริตตี้หรอก ไปทำอย่างอื่นที่ได้ใช้ ‘สมอง’ จริงๆ เหอะ แต่แน่นอนว่า การเป็นพริตตี้นั้นได้รับ ‘ราคา’ ที่มากกว่า (ในบทสัมภาษณ์กล่าวถึง ‘พริตตี้เงินล้าน’) เพราะฉะนั้นก็รับมาอย่างซื่อๆ กันไปเลยว่า งานพริตตี้นี้ เป็นงานที่ได้เงินดี ไม่ต้องทำอะไรเยอะ เพราะจุดขายของพริตตี้คือเนื้อตัว ร่ายกาย รูปลักษณ์ รูปร่างหน้าตา และก็จงยืนยันต่อไปถึงสิทธิและศักดิ์ศรีในงานของตัวเองว่า การใช้ เนื้อตัว ร่ายกาย รูปลักษณ์ รูปร่างหน้าตา เป็นความชอบธรรมโดยบริสุทธิ์ ที่กระทำได้ ไม่ได้ไร้ศักดิ์ศรี ไม่จำเป็นต้องเอาใบปริญญามาอ้าง เพราะน้องไม่ได้ถือใบปริญญา เกียรตินิยม ไปยืนในงานมอเตอร์โชว์ด้วย และจะได้ไม่ไปกีดกัน แบ่งกลุ่ม ถีบส่ง เพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ จงยืนหยัดเชิดหน้าสวยๆ ขึ้นสู่ว่า ฉันเป็นพริตตี้ ฉันใช้ความสวยงามของเนื้อตัวร่างกายทำมาหากิน และได้เงินดีมากๆ และฉันก็ภูมิใจ ด้วยการทำงานวิธีนี้ลักษณะนี้รูปแบบนี้แหละ เพราะฉะนั้นจงเคารพในเนื้อตัวร่างกายของฉันและฉันก็จะเคารพยกย่องมัน (เช่นเดียวกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เดินอยู่ข้างถนน ที่ไมได้ยืนเคียงข้างรถสวยหรู)

ถ้าจะมีสมองก็ขอให้มีสมองอย่างไม่ใจร้าย! และซื่อสัตย์ต่อตัวเองกว่านี้หน่อย

การปฏิเสธซึ่งวาทกรรมแบบเจ๊เบียบ และยืนยัน ภูมิใจในสิทธิของเนื้อตัวร่างกาย ความสวยงามของตัวเองในฐานะการเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพ โดยไม่ได้ใช้ใบปริญญา เกียรตินิยม สถาบันการศึกษามาเป็นเกราะกำบังเพื่อเอาตัวรอดนั้น มันไม่ใช่แค่การปกป้องตัวเองเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องถึงสิทธิของผู้หญิงทุกคนบนโลกใบนี้ (ให้ได้รับความเคารพในเนื้อตัวร่างกาย แม้จะแต่งตัวสวยเซ็กซี่ แต่ถ้าไม่ได้ยืนข้างรถหรู หรืออยู่ในทีวี ก็ควรได้รับการเคารพและไม่ถูกล่วงละเมิด ไม่ว่าในระดับใด) ทุกสาขาอาชีพ (แม้จะไม่ได้ใช้ความสวยงามของเนื้อตัวร่างกายประกอบอาชีพก็ตาม) ทุกระดับการศึกษา ในการดำรงตนในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงทั่วไปในสังคม อย่างเช่น วันนี้อากาศร้อน อาจใส่สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น พอดีว่านมใหญ่ เลยล้นออกมานิดนึง นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีสมอง ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ดูไม่เป็นลูกผู้หญิงที่ดี อาจถูกล่วงละเมิดได้ แต่นั่นคือสิทธิภายใต้ร่างกายของตนเองที่เราสามารถจะกระทำต่อมันได้ และไม่จำเป็นต้องพกบัตรปริญญาเดินไปทุกที่เพื่อป้องกันข้อครหาอันเกิดจากการเปิดเผยเนื้อตัวร่างกายของตัวเอง การศึกษา สมอง และร่างกายนั้นมันคนละส่วนกัน และสมองกับร่างกายก็ไม่ควรจะมีอันใดอันหนึ่งที่ถูกให้ค่ามากไปกว่ากัน

ปัญหาของสังคมไทยอยู่ที่ว่าร่างกาย (โดยเฉพาะของผู้หญิง) มักจะถูกกดให้ ‘ต่ำ’ อยู่เสมอ โดยเฉพาะถ้าเมื่อใดที่มันเปิดเผย ‘มากเกินไป’ และมักยกย่องหัวสมอง จิตใจ ให้อยู่สูงและเป็นใหญ่กว่าร่างกาย (ดูอย่างการปะทะคารมกันครั้งนี้ ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างการ ‘มีสมอง’) ซึ่งจะว่าไปแล้ว ถือเป็นสังคมปากว่าตาขยิบซะเหลือเกิน เพราะในขณะที่อั้ม พัชราภา ออกงานอีเวนต์ ‘โชว์ตัว’ (นี่ก็ใช้เนื้อตัวร่างกายความสวยงามรูปลักษณ์ ทำมาหากินใช่หรือเปล่า ? และอั้มพัชราภา กับพริตตี้แต่งตัวผิดไปจากกันมากน้อยกันเชียว ? ดิฉันไม่เห็นอั้ม พัชราภา จะเดือดร้อนเรื่องมีสมองหรือไม่มีสมองเลย) ไปไม่กี่ชั่วโมง (ดีไม่ดีไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ) ได้ค่าตัวเรือนแสน (คาดว่าน่าจะสองแสนต่องานได้) เช่นเดียวกัน นางสาวรุ้งรวี ศิริธรรมไพบูลย์ นั่งเขียนบทความ พยายามเค้นเนื้อหาสาระให้ออกมาจากสมอง (ที่ไม่ค่อยมี) ให้ได้บทความ 3-4 หน้ากระดาษนั้น สิริรวมได้ค่าต้นฉบับ เอ่อ...อย่าบอกตัวเลขเลยค่ะ อ๊าย....อาย หลักพันต้นๆ เท่านั้นเอง

นี่หรือคือสังคมที่ยกย่องสมองเหนือกว่าร่างกาย ?

โอ๊ยยยย...ถ้าดิฉันเป็นอั้มพัชราภาได้ ก็คงไม่มานั่งเขียนต้นฉบับแบบนี้หรอกค่ะ ดิฉันคงเลือกหากินด้วยการใช้เนื้อตัวร่างกายเหมือนกัน เพราะคาดว่าถ้าใช้สมองคงอดตายกันก่อนพอดี ดิฉันก็ไม่ได้ยุยงให้ไม่ว่าใครก็ตามไปด่าประนามอั้ม พัชราภา หรือผู้หญิงคนอื่นๆ เพราะถ้าหากคุณคิดว่าสมองนั้นสูงว่าเนื้อตัวร่างกายจริง สิ่งที่ควรจะทำไม่ใช่การประนามคนที่ทำงานด้วยการใช้เนื้อตัวร่างกาย ความสวยงามรูปลักษณ์เป็นเครื่องมือทำมาหากิน แต่คุณควรให้ ‘ราคา’ ของการทำงานด้วยสมองให้มากเท่าเนื้อตัวร่างกายต่างหาก

เพราะฉะนั้น กรุณาออกมาก่อหวอดประท้วงให้นักเขียนทั่วประเทศไทยด้วยค่ะ

สิ่งที่เหล่าพริตตี้มีสมองได้กระทำลงไป จึงไม่ใช่การปกป้องอาชีพของตัวเอง หรือปกป้องศักดิ์ศรีของผู้หญิง แต่เป็นการปกป้องตัวเอง และถีบหัวคนอื่น ที่สำคัญไม่ได้ช่วยต่อสู้เพื่อผู้หญิงเลยสักนิด เช่นเดียวกันกับสื่อมวลชนที่ทำข่าวนี้ เขาก็ไม่ได้ปกป้องอะไรนอกจากการหล่อเลี้ยงวาทกรรมที่ว่าร่างกายของหญิงสาวนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นสิ่งที่ต่ำ แต่ถ้าจะไม่ต่ำและขายได้ ผู้หญิงคนนั้นต้องมีสมอง (ในความหมายคือ การศึกษาดี มหาวิทยาลัยดี เกรดเฉลี่ยดี เกียรตินิยมด้วย) เนื้อตัว ร่างกาย ของผู้หญิงจึงยังเป็นสิ่งที่ถูกปฏิเสธ และถูกดให้ต่ำเสมอมา และปัญหานี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น มันจะย้อนวนเวียน (แต่เปลี่ยนกรณี) มาให้เราได้อ่านข่าวแบบนี้ต่อไป ในเมื่อสิทธิในร่างกายของผู้หญิงนั้น ไม่ได้รับการยืนยัน การให้ค่า ให้ศักดิ์ศรี (ด้วยตัวของมันเอง) โดยเฉพาะด้วยตัวผู้หญิงด้วยกันเอง ทั้งเจ๊เบียบ และเหล่าพริตตี้แสนสวย มีสมองทั้งหลาย

 

Pretty Motor Show 2012 IMG_0431
Pretty Motor Show

 

ภาพประกอบจาก: Pretty Motor Show 2012 (ตอนที่ 1)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net