Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ชื่อบทความเดิม: ความสงบที่คนไทยโหยหา

ช่วงนี้คนไทยจะได้ยินแต่เสียงเรียกร้องให้เกิดความปรองดองของคนในชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะดังมาจากคนใกล้ชิดทักษิณในพรรคเพื่อไทยเป็นส่วนมาก ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ควรจะเลิกเล่นการเมืองไปเลี้ยงหลานได้แล้ว ยังออกมาขยับปากเรียกร้องปรองดองกันใหญ่ ทั้งบิ๊กจิ๋ว บิ๊กหนั่น และที่แปลกมากคือคนที่ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจมาจากทักษิณ คือ พลเอก สนธิ บุญรัตกลิน ดูเหมือนจะกลับตัวกลับใจ กลืนน้ำลายตัวเอง ลืมข้ออ้างในการทำรัฐประหาร 4 ข้อเสียสิ้น ทำเป็นสำนึกผิด เรียกร้องให้นิรโทษกรรมพวกเสื้อแดงที่ชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง และให้ยกเลิกคดีคอร์รัปชั่นทั้งหมดที่ คตส.ได้ตรวจสอบ ส่งฟ้องไว้ ทั้งๆที่พลเอกสนธิเป็นคนลงนามแต่งตั้งคตส.เอง และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ได้พิพากษาลงโทษจำคุก 1 คดี และยึดทรัพย์ 4 หมื่น 6 พันล้าน อีก 1 คดี แถมรอพิพากษาคดีอาญาอีกด้วย ที่แปลกไปใหญ่ก็คือ ญาติคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อปีพ.ศ. 2553 ออกมาประกาศไม่เอาด้วยกับกระบวนการปรองดองโดยไม่ไต่สวนหาผู้กระทำผิด (แต่หลายคนขอรับเงิน 7.75 ล้าน แปลกดีนะ) อีกทั้งคนไทยที่รู้ทันทักษิณก็ออกมาคัดค้านการนิรโทษกรรมให้กับทักษิณและเสื้อแดงทีเผาบ้านเผาเมือง ไม่เห็นด้วยกับการรวบรัดปรองดองแต่ทักษิณได้ประโยชน์ไปเต็มๆ แล้วอย่างนี้มันจะปรองดองกันได้หรือ

ก่อนที่เมืองไทยจะเข้าสู่ยุคทักษิณครองเมือง รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยก็ถูกกล่าวหาว่ามีการคอร์รัปชั่น กันทุกรัฐบาล แต่ไม่เคยมีสมัยใดเลยที่คนไทยจะแตกแยกแบ่งเป็นฝักฝ่ายประจันหน้ากันขนาดนี้ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ประชาชนก็เป็นหนึ่งอันเดียวกันต่อต้านรัฐบาลสุจินดาที่อ้างว่าเสียสัตย์เพื่อชาติ แม้จะเกิดนองเลือด แต่ก็สงบลงด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เมื่อเข้าสู่ยุคทักษิณก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และชนะการเลือกตั้ง (อย่างใสสะอาด?) จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้แสดงการแทรกแซงครอบงำศาลรัฐธรรมนูญจนพ้นผิดคดีซุกหุ้นอย่างขะมุกขะมอม แต่เขาก็ซ่อนหุ้น ใช้อำนาจหน้าที่หาผลประโยชน์ด้วยการแปลงสัมปทานต่างๆของบริษัทชินคอร์ปฯ จนได้ประโยชน์เข้าตัวมหาศาล ในขณะเดียวกันก็แต่งตั้งโยกย้ายเอาคนของตัวมาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ แม้แต่กองสลากก็ไม่เว้น มีการออกนโยบายประชานิยมจนเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน แต่ที่ชอบที่สุดคือกองทุนหมู่บ้าน ที่กลายเป็นนโยบายหาเสียงว่า ถ้าไม่เลือกพรรคของทักษิณ กองทุนหมู่บ้านจะถูกยุบ เรียกเงินคืน ชาวบ้านก็เลยต้องเลือกพรรคไทยรักไทยอยู่ร่ำไป ทักษิณเองถึงกับหลุดปากว่า พื้นที่ใดเลือกพรรคไทยรักไทย เขาจะดูแลก่อนเป็นพิเศษ

เมื่อถูกปฏิวัติรัฐประหาร ทักษิณก็ได้ใช้แกนนำวีระ จตุพร ณัฐวุฒิ เหวง กี้ร์ ฯลฯก่อการชุมนุมบุกบ้านสี่เสา ในยุครัฐบาลสุรยุทธ เมื่อพันธมิตรบุกทำเนียบ เสื้อแดงก็ออกมาโจมตีปะทะกันจนบาดเจ็บ มีการยิง M 79 ใส่พันธมิตรหลายครั้ง จนมีคนบาดเจ็บล้มตาย เมื่อสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในปีพ.ศ. 2552 ทักษิณก็ได้สั่งการให้แกนนำเสื้อแดงชุมนุมด้วยความรุนแรง บุกทำลายการประชุมอาเซียนที่พัทยา มีการบุกไปทำร้ายทุบรถนายกฯอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทย จนเลขาธิการนายกรัฐมนตรีบาดเจ็บ แต่ทหารก็ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ โดยไม่มีคนตาย ในปีพ.ศ. 2553 ทักษิณจึงให้แกนนำเสื้อแดงจัดการชุมนุมอีก คราวนี้มีการใช้กลุ่มติดอาวุธฝึกโดยเสธ.แดง สนับสนุน จนมีการยิงอาวุธสงครามใส่ทหารจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว มีนักข่าวญี่ปุ่นและคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง ล้มตาย ซึ่งเข้าทางทักษิณและแกนนำเสื้อแดงกล่าวหาว่า รัฐบาลและทหารเข่นฆ่าผู้ชุมนุม ซึ่งจากภาพข่าวที่ปรากฏไปทั่วโลกมันตรงกันข้าม เมื่อนักข่าวต่างประเทศสัมภาษณ์ทักษิณ ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมด้วยความรุนแรงนี้ใช่หรือไม่ ทักษิณถึงกับตอบปฏิเสธอย่างตะกุกตะกัก ว่าเขาไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ  เพราะภาพวีดิโอลิงก์ ที่ทักษิณประกาศกับคนเสื้อแดงอย่างชัดเจนว่า หากมีเสียงปืนแตกเมื่อใด เขาจะมานำหน้าประชาชนเสื้อแดงต่อสู้ (ซึ่งแม้จะมีการยิงกัน เสื้อแดงล้มตาย แต่ทักษิณก็ไม่ได้ทำตามที่พูด แกนนำก็ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย ได้เป็นใหญ่เป็นโต เสวยสุขเป็นอำมาตย์ จนปัจจุบัน)

ผมจึงสรุปได้ว่า “ความแตกแยกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้ เกิดจากความต้องการที่จะพ้นผิด กลับมามีอำนาจของทักษิณ ชินวัตร แล้วใช้อำนาจเงินปลุกระดมคนเสื้อแดง ให้ออกมาชุมนุมด้วยความรุนแรง ปะทะต่อสู้กับคนที่ต่อต้านทักษิณ  เสมือนกับเกราะป้องกันทักษิณ และเป็นอาวุธทำลายและข่มขู่คนที่ต่อต้านทักษิณ”

นี่คือสิ่งที่ผมให้สัมภาษณ์กับนักวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งผมได้อ่านรายงานการวิจัยฯแล้ว รายงานที่ออกมาดูเหมือนว่าไม่เคยได้สัมภาษณ์ผมเลย กลับมีข้อเสนอให้ไปพูดคุยกันว่าจะยกโทษให้ทักษิณ โดยการยกเลิกคดีที่คตส.ทำไว้ โดยอ้างโน่นนี่นั่น (ซึ่งข้อเสนอนี้น่าจะมาจากทักษิณ หรือ ลิ่วล้อที่ถูกสัมภาษณ์ด้วย) พลเอกชวลิต ถึงกับบอกว่าต้องยกเลิกคดี เพราะคตส.ตั้งกฎภายหลังการทำผิด หรือพูดเหมือนกับว่าคตส.ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับทักษิณตัดสินคดีเองอย่างมีอคติ ซึ่งเป็นการหลงผิดอย่างสิ้นเชิง (สมกับความเป็นอัลไซเมอร์)

คนในสถาบันพระปกเกล้าคลุกคลีกับคนในวงการเมืองมานาน ก็น่าจะรู้ทันว่าการขอให้สถาบันพระปกเกล้าทำการวิจัยครั้งนี้ เป็นเพียงการหาตัวช่วยทางการเมือง สร้างความชอบธรรม เป็นข้ออ้างในการออกพรบ.ปรองดอง หรือนิรโทษกรรมทักษิณเท่านั้น แม้รายงานจะระบุว่า เป็นเพียงหัวข้อให้นำไปพูดคุยอภิปรายจนได้ข้อสรุปในหมู่ประชาชน ความปรองดองจึงจะเกิดขึ้น แต่คณะกรรมาธิการปรองดอง ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ก็มาจากพรรคเพื่อทักษิณก็ไม่สนใจใจความสำคัญของรายงานวิจัยดังกล่าว เลือกแต่จุดที่ทักษิณได้ประโยชน์ เมื่อถูกทักท้วงหนักๆ เข้า พลเอกสนธิ ประธานคณะกรรมาธิการปรองดอง ถึงกับบอกว่าให้ลืมๆ อดีตไปเสีย ให้อภัยทักษิณ ทั้งๆ ที่ทักษิณไม่เคยสำนึกผิด บอกว่าตัวเองไม่มีความผิด  แล้วคนที่เขารักความเป็นธรรมเขาจะยอมได้อย่างไร

ในสัปดาห์นี้ ( 3 เม.ย. 55) สภาสถาบันพระปกเกล้าจะประชุมกันเรื่องรายงานวิจัยปรองดองนี้ ก็หวังว่า คณะกรรมการบริหารของสถาบันตลอดจนคณะผู้วิจัย จะได้หามาตรการที่เหมาะสมที่จะดำเนินการกับการนำผลการวิจัยของสถาบันไปใช้อย่างผิดๆ อย่างน้อยทางคณะผู้วิจัยจะต้องเปิดเผยต่อสังคมว่าเจตนารมณ์ที่แท้จริงของรายงานการวิจัยฉบับนี้เป็นอย่างไร เพราะคนจำนวนมากยังไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าคณะกรรมาธิการปรองดองได้บิดเบือนเอาผลการวิจัยของสถาบันฯไปใช้อย่างผิดเจตนารมณ์เช่นไร และผลของการบิดเบือนนั้นจะนำมาสู่การนิรโทษกรรมให้กับนักโทษหนีคุก (The Fugitive) ทักษิณ อันเป็นการปล่อยให้คนชั่วคนโกงลอยนวล ไม่ต้องรับโทษ นำไปสู่ความแตกแยกในสังคมไทยอย่างรุนแรง ซึ่งคงไม่ใช่วัตถุประสงค์ของสถาบันพระปกเกล้าและคณะผู้วิจัยเป็นแน่แท้ การที่หัวหน้าคณะผู้วิจัยใช้คำว่า ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด คงเป็นการปัดความรับผิดชอบต่อความแตกแยกที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทย อันเนื่องมาจากการอ้างรายงานการวิจัย เพียงเพื่อช่วยทักษิณให้พ้นโทษ

ผมขอเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องกับรายงานการวิจัยเรื่องการปรองดองของสถาบันพระปกเกล้าทุกระดับ ตระหนักถึงความสำคัญของการค้นหาความจริง ต้นเหตุที่แท้จริงของความแตกแยกในสังคมไทย ควรเป็นผู้จัดการสานเสวนา ในหัวข้อต่างๆ ตามข้อเสนอในรายงานวิจัย เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันในสังคมไทย การที่คนไทยสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งรู้ทันการโกงของทักษิณ เรียกร้องให้มีการจับกุมคนโกงมาลงโทษทั้งข้อหาคอร์รัปชั่น และข้อหาสนับสนุนให้เกิดการก่อการร้าย กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เห็นทักษิณเป็นเทวดามาโปรด ทั้งๆ ที่เงินที่เอาไปใช้ในโครงการประชานิยมต่างๆ ก็ไม่ใช่เงินทักษิณ แต่ในขณะเดียวกันทักษิณก็กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวอย่างมหาศาล (ขนาดถูกยึดทรัพย์ 4 หมื่น 6 พันล้าน ยังมีเงินทองใช้สอยในต่างประเทศอย่างสุขสบาย แสดงว่าตอนเป็นนายกฯ ซุกซ่อนทรัพย์สิน ไม่แจ้งรายการให้ ปปช.ทราบมากมายขนาดไหน) ในช่วงเวลาที่องค์กรต่างๆ ตกอยู่ใต้อำนาจเงินของทักษิณหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่สื่อมวลชนจำนวนมาก หากสถาบันพระปกเกล้าจะมีความรับผิดชอบต่อแผ่นดินไทย ทำความจริงให้กระจ่างว่าทักษิณดีหรือเลว สุจริตหรือคดโกงกันแน่ เมื่อคนไทยทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน ความแตกแยกก็จะหมดสิ้นไป ความสงบสุขที่หายไปจากแผ่นดินไทยมานานจะได้กลับคืนมา ไม่ต้องจำใจทำเป็นแกล้งลืมความเลวความชั่วที่ทักษิณทำไว้ อย่างที่พลเอกสนธิ ประธาน คชม. (คนช่วยแม้ว) บอกให้เราลืม คนไทยที่รักความเป็นธรรมเขาประกาศก้องแล้วว่า เราไม่ยกโทษให้คนโกงชาติ สร้างความแตกแยก อย่างเด็ดขาด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net