Skip to main content
sharethis

สำนักนายกฯ อุทธรณ์ไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายคดีนายรายู ตามคำสั่งศาลปกครอง กรณีเหยื่อถูกทรมานได้รับความเสียหาย เหตุการณ์วันเดียวกับกรณีอิหม่ามยะผา

เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕  สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔  ในคดีหมายเลขดำที่ ๙๔/๒๕๕๓  คดีหมายเลขแดงที่ ๔๘/๒๕๕๕  ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น(ศาลปกครองสงขลา)  ที่พิพากษาให้สำนักนายกรัฐมนตรี จ่ายค่าเสียหายให้แก่นายรายู ดอคอ ผู้ฟ้องคดี เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๔๖,๖๒๑ .๕๖ บาท  และยกฟ้องกระทรวงกลาโหม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑   กองทัพบก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒  และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓  

ศาลปกครองสงขลา ได้อ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๕  โดยพิพากษาให้สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔  ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔  ส่วนหน้า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) รับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายรายู ดอคอ ผู้ฟ้องคดี   ในคดีที่นายรายู ดอคอ  ได้ยื่นฟ้องกระทรวงกลาโหม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑   กองทัพบก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒   สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓  และสำนักนายกรัฐมนตรี  ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔  ต่อศาลปกครองสงขลา   เรียกค่าเสียหายทางละเมิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ  กรณีถูกเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ ๓๙  ซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่วัดสวนธรรม อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส  ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส  นำกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมากไปปิดล้อม ตรวจค้น จับกุมและควบคุมตัวนายรายู ดอคอ พร้อมกับอิหม่ามยะผา กาเซ็ง   นำตัวไปแถลงข่าวว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ และแถลงว่านายรายู ฆ่าผู้อื่น  โดยไม่เป็นความจริง ทั้งไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจเจ้าหน้าที่นำตัวประชาชนไปทำการแถลงข่าวดังกล่าว    แล้วนำตัวไปควบคุมที่ค่ายทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ ๓๙  และถูกซ้อมทรมาน ด้วยวิธีการอันทารุณโหดร้าย จนเป็นเหตุให้นายรายูได้รับบาดเจ็บต่อร่างกายและจิตใจ  และอิหม่ามยะผา กาเซ็ง ถึงแก่ความตาย  เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๑๙-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๑ ต่อเนื่องกัน

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕  ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ผู้รับมอบอำนาจของนายรายู ดอคอ ผู้ฟ้องคดี ได้ยื่นอุทธรณ์เช่นเดียวกัน เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับศาลปกครองชั้นต้นในประเด็นที่ศาลยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ ได้แก่  กระทรวงกลาโหม  กองทัพบก  และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามลำดับ ให้ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว โดยผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดสังกัดหน่วยงานทั้งสาม และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อหน่วยงานทั้งสามมาโดยตลอด ดังนั้น หน่วยงานทั้งสามซึ่งมีหน้าที่สั่งการ บังคับบัญชา และกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิด จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายร่วมกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า (ภายใต้ กอ.รมน.) ซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔    ผู้ฟ้องคดีจึงอุทธรณ์ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี   ทั้งนี้ เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบในการควบคุมดูแลเจ้าหน้าที่ในสังกัดของตน  ได้สำรวจตรวจสอบและควบคุมดูแลการใช้อำนาจโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ในสังกัดไม่ให้เกิดการละเมิดเช่นนี้อีกต่อไป และผู้ฟ้องคดีได้อุทธรณ์ในประเด็นค่าเสียหายด้วย เนื่องจากศาลได้พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นจำนวนเงินโดยรวมทั้งสิ้น ๒๔๖,๖๒๑ .๕๖ บาท  ดังกล่าวข้างต้นนั้น  ถือว่าต่ำเกินไป ไม่เหมาะสมกับความร้ายแรงแห่งพฤติการณ์ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำต่อผู้ฟ้องคดี

คดีนี้ ศาลปกครองสงขลารับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ฟ้องคดีไปแถลงข่าวทั้งที่ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ยินยอมโดยไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีให้กระทำเช่นนั้นได้ และเจ้าหน้าที่ทหารได้ทำร้ายร่างกายนายรายู ดอคอ จริง ตามผลการตรวจของแพทย์โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร และผลการตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของสภาเพื่อการฟื้นฟูผู้ถูกทรมานระหว่างประเทศ (International Rehabilitation Council for Torture Victims - IRCT) รวมทั้งผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทำร้ายร่างกายผู้ฟ้องคดีที่ฝ่ายทหารแต่งตั้งขึ้น    จึงพิพากษาให้สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า  กอ.รมน.  ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นค่าเสียหายต่อร่างกายและอนามัย  การได้รับความทุกขเวทนาต่อจิตใจ  ความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพ  เป็นเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท  ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้ เป็นเงินจำนวน ๑๐,๘๐๐ บาท  รวมเป็นเงินจำนวน ๒๑๐,๘๐๐ บาท  และเมื่อหนี้ดังกล่าวเกิดจากการกระทำละเมิด  ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔  จึงต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี  ของต้นเงินดังกล่าว  นับแต่วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นวันกระทำละเมิด  โดยดอกเบี้ยดังกล่าวคิดถึงวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นเวลา ๘๒๗ วัน เป็นเงิน ๓๕,๘๒๑.๕๖ บาท และต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ฟ้องคดีด้วย  โดยให้ชำระให้เสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด คำขอนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑  ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒  ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ 

คดีที่นายรายู ดอคอ ฟ้องต่อศาลปกครองสงขลาดังกล่าวนี้  เริ่มจากนายรายู ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลแพ่ง (ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒  ต่อมามีการโต้แย้งเรื่องเขตอำนาจศาล   ศาลแพ่งและศาลปกครองสงขลา เห็นพ้องกันว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสงขลา   ศาลแพ่งจึงได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบของศาลแพ่ง  นายรายู จึงได้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองสงขลา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓  

จากการอุทธรณ์คดีของคู่ความทั้งสองฝ่ายดังกล่าวข้างต้น  ศาลปกครองสูงสุดจะเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีต่อไป  และคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดถือเป็นที่สุด 

สำหรับเหตุการณ์เดียวกัน ในคดีอิหม่ามยะผา กาเซ็ง  ภรรยาและบุตรของอิหม่ามยะผา ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง มีการไกล่เกลี่ย คู่ความประนีประนอมยอมความตกลงกันได้  โดยทางกองทัพบกยินยอมจ่ายเงินค่าเสียหายให้แก่ครอบครัวอิหม่ามยะผา เป็นค่าเสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียงของอิหม่ามยะผา ผู้ตาย  เป็นจำนวนเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท  ค่าปลงศพเป็นจำนวนเงิน ๘๗,๐๐๐ บาท  และค่าขาดไร้อุปการะภรรยาและบุตรรวม ๔ คน  เป็นจำนวนเงิน ๔,๖๒๔,๐๐๐ บาท  รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๕,๒๑๑,๐๐๐ บาท  คดีถึงที่สุดในศาลชั้นต้น.  

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net