Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.pataniforum.com

“หนึ่งทศวรรษหลัง 9/11 เรื่องที่เป็นปริศนาไม่ใช่ว่าทำไมมุสลิมจำนวนมากจึงหันสู่การก่อการร้าย แต่กลับเป็นว่าทำไมเป็นส่วนน้อยต่างหากที่เข้าร่วมญิฮาดของอัลกออิดะห์”

รถเช่าคันนั้นเลี้ยวเข้าสู่ทางเดินด้านหลังสำนักทะเบียนและเล่นไปช้าๆ บนถนนอิฐที่ทอดผ่านโรงอาหารและภาควิชาภาษาอังกฤษ ห่างเพียงไม่กี่ก้าวจากที่ทำงานของผม เพลง “Beyond Time” เพลงแดนช์อัพบีตเยอรมัน เป็นเพลงที่เปิดในเครื่องเสียงรถยนต์ คนขับคือ โมฮัมเหม็ด ตาฮรี-อซาร์ (Mohammed Taheri-Azar) เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโลไลนาแห่งนี้เมื่อสามเดือนก่อน ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดี พ้นไปจากโรงอาหารจะเป็นลานกว้างที่เรียกกันว่า เดอะพิต (the Pit) ที่นักศึกษาจะมานั่งเล่นกันในตอนเที่ยงในวันอากาศอบอุ่นในฤดูหนาวของต้นปี 2006 ตาฮรี-อซาร์วางแผนว่าจะฆ่าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เขาไม่มีอาวุธอะไรเลยนอกจากมี สเปรย์พริกไทยและรถ SUV ขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่เขาเช่ามาเพื่อพุ่งชนคนแล้วร่างที่ถูกชนจะไม่ติดกับตัวรถ  เมื่อขับถึงเดอะพิต ตาฮรี-อซาร์ เร่งความเร็วและหักเลี้ยวชนคนที่อยู่กระจัดกระจาย นักศึกษาถูกชนล้มลงบ้างถูกเกี่ยวติดบังโคลนในขณะที่จำนวนมากถูกชนจนลอยม้วนจากฝากระโปรงและร่วงตกลงมาจากกระจกหน้า ตาฮรี-อซาร์เลี้ยวไปทางซ้ายจนสุดลานกว้างชนนักศึกษาอีกสองคนที่หน้าหอสมุดจากนั้นจึงเร่งเครื่องออกจากมหาวิทยาลัยตรงบริเวณที่ทำงานผม

ตาฮรี-อซาร์ขับรถลงจากเนินอันเป็นที่มาของวิทยาเขตชาเปล ฮิลล์ (Chapel Hill) จนถึงย่านที่พักอาศัยอันเงียบสงบ เขาจอดรถและกด 911 จากโทรศัพท์มือถือของเขา “ผมเพิ่งขับรถชนคนหลายคนมาครับ” เขาพูดกับโอเปอเรเตอร์ “ผมไม่มีอาวุธหรืออะไรทั้งสิ้น คุณสามารถมาจับตัวผมได้เลยตอนนี้”

โอเปอเรเตอร์ถามว่าเขาทำไปทำไม เขาตอบว่า “ที่ผมทำลงไปเป็นการลงโทษรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับปฏิบัติการทางทหารที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วโลกขณะนี้” ดังนั้นคุณทำสิ่งนี้เพื่อลงโทษรัฐบาล? “ใช่ครับ” เขาปฏิบัติตามคำแนะนำของโอเปอเรเตอร์ วางโทรศัพท์ที่กระโปรงหน้ารถยนต์และเอามือทั้งสองวางบนศีรษะเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึง

ก่อนออกจากอพาร์ตเมนต์ในเช้าวันนั้น ตาฮรี-อซาร์ทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับบนเตียงนอนเพื่ออธิบายสิ่งที่เขาทำอย่างละเอียด ความว่า:

“เนื่องจากการเข่นฆ่าชายหญิงผู้ศรัทธาภายใต้การบงการของรัฐบาลสหรัฐฯ ผมได้ตัดสินใจใช้ข้อได้เปรียบที่ผมอยู่บนแผ่นดินสหรัฐฯ ในวันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2006 ผมจะเอาชีวิตชาวอเมริกันและผู้สมรู้ร่วมคิดให้ได้มากที่สุดที่ผมจะสามารถทำได้เพื่อเป็นการลงโทษสหรัฐฯ สำหรับการกระทำที่ไร้ศีลธรรมที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ในอัลกุรอ่าน อัลเลาะห์ทรงอนุญาตให้ชายและหญิงผู้มีศรัทธาฆ่าใครก็ตามที่รับผิดชอบต่อการฆ่าชายหญิงผู้ศรัทธาคนอื่น ผมรู้ว่าอัลกุรอ่านเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แท้จริงและชอบธรรมเพราะได้รับการตรวจสอบอย่างครบถ้วนจากวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และยังได้รับการถอดรหัสทางคณิตศาสตร์ด้วยหมายเลข 19 ที่อยู่เหนือความสามารถของมนุษย์  หลังจากได้ทำสมาธิและไตร่ตรองอย่างเต็มที่แล้ว ผมได้ตัดสินใจที่จะใช้สิทธิในการตอบโต้ด้วยความรุนแรง ที่อัลเลาะห์ทรงมอบให้อย่างเต็มที่เท่าที่ผมจะสามารถจะกระทำได้ในปัจจุบัน

ผมได้เลือกสถานที่เป็นการเจาะจงไว้แล้ว มหาวิทยาลัยจะเป็นเป้าหมายของผมเพราะผมรู้ดีว่าที่นั่นมีโอกาสสูงที่ผมจะฆ่าคนได้หลายคนก่อนที่ผมจะฆ่าตัวตายหรือถูกจับกุมคุมขังตามแต่อัลเลาะห์ประสงค์ พระบัญชาจากองค์อัลเลาะห์ไม่เคยเป็นที่กังขาและพระบัญชาของพระองค์ต้องปฏิบัติตาม”

ในวันนั้นมีคนกระดูกหักและบาดเจ็บอื่นๆรวม9 ราย โชคดีที่ ตาฮรี-อซาร์ ไม่ได้ฆ่าใครตาย เดิมที ตาฮรี-อซาร์มีแผนที่จะเข้าร่วมต่อสู้ในอัฟกานิสถานหรืออิรัก แต่เขาเปลี่ยนใจเพราะข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่าท่องเที่ยวของประเทศเหล่านี้ จากนั้นเขาจึงสนใจที่จะเข้าสมัครเป็นทหารและจะทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงที่วอชิงตัน ดี.ซี. แต่นึกขึ้นได้ว่าเขาสายตาสั้นเกินกว่าที่ทางกองทัพจะยอมรับให้เป็นนักบิน เขาจึงมองมาใกล้ตัวมากขึ้น อย่างการยิงกราดใส่ฝูงชนในมหาวิทยาลัย จดหมายจากเรือนจำของเขาระบุว่าเขาเคยคิดแผนการที่จะยิงกราดในโรงอาหาร ซึ่งผมไปกินข้าวเที่ยงที่นั่นเป็นประจำ

หลายสัปดาห์ก่อนหน้าการโจมตี ตาฮรี-อซาร์ซ้อมยิงปืนแบบมีที่ชี้เป้าเลเซอร์ ที่สนามยิงปืนใกล้ๆ บ้านแต่เขาพบว่าเขาไม่สามารถซื้อปืนได้โดยที่ไม่มีใบอนุญาต ที่จริงตาฮรี-อซาร์สามารถซื้อไรเฟิลได้เลยเพียงแค่กรอกแบบฟอร์มของรัฐบาลกลาง แต่เขาตั้งใจจะซื้อปืนกล็อก ต่อมาที่อพาร์ตเมนต์ เขาเริ่มกรอกแบบฟอร์มขอใบอนุญาต แต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อพบว่าเขาจะต้องหาเพื่อนสามคนมาเซ็นรับรองว่ามีความประพฤติดี เขาบ่นไว้ในจดหมายที่ทิ้งไว้บนเตียงว่า “กระบวนการในการขอใบอนุญาตครอบครองปืนของเมืองนี้มีความเข้มงวดมากและผมไม่สามารถเข้าถึงมันได้ในตอนนี้” หนึ่งเดือนต่อมา ในคุก เขาได้เหตุผลต่อการตัดสินใจของเขาคือ “บางทีปืนอาจเกิดขัดข้องและการมีปืนสักกระบอกอาจจะทำให้ผมเป็นที่เพ่งเล็งจากพวก FBI ซึ่งจะทำให้แผนการโจมตีของผมล้มเหลว” ตาฮรี-อซาร์อาจเป็นผู้ก่อการร้ายเพียงรายเดียวในโลกที่มีปัญหากับกฎหมายควบคุมอาวุธปืน

ความไร้ความสามารถของตาฮรี-อซาร์ในฐานะผู้ก่อการร้ายอาจจะเป็นเรื่องชวนหัว แน่นอนว่าคนๆหนึ่งที่ต้องการที่ฆ่าและตายด้วยเป้าหมายบางอย่าง ใช้เวลาหลายเดือนในการไตร่ตรองคิดแผนโจมตีควรจะพบวิธีฆ่าคนที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้   ทำไมเขาถึงไม่สามารถหาอาวุธปืนหรือประดิษฐ์ระเบิดหรือลองใช้วิธีการสังหารนับร้อยที่เรารู้กันผ่านภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต นี่ไม่ต้องพูดถึงจากข่าวต่างๆ แต่ตาฮรี-อซาร์เลือกที่จะขับรถชนคน ทำไมเขาถึงเลือกสถานที่ที่ไม่มีพื้นที่มากพอที่จะเร่งความเร็วได้?

ที่น่าฉงนไปกว่านั้นคือเราไม่เห็นการก่อการร้ายแบบนี้เท่าไรนัก ในรอบทศวรรษของ “สงครามต่อต้านการก่อการร้ายโลก” ที่ก่อโดยสหรัฐฯ ที่เป็นการตอบโต้การโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ถ้ารถยนต์ทุกคันสามารถเป็นอาวุธได้ ทำไมเราจึงไม่ค่อยพบการโจมตีด้วยรถยนต์มากกว่านี้? คาร์บอมบ์เกิดขึ้นมาตั้งแต่ในทศวรรษ 1920 โดยคันแรกระเบิดที่วอลล์สตรีท แต่การจะทำอย่างนั้นได้ต้องใช้ทักษะขั้นสูง ในทางกลับกัน การฆ่าโดยขับรถพุ่งชน  อาศัยทักษะความชำนาญเพียงน้อยนิด การฆ่าคนด้วยรถยนต์มีมาตั้งแต่รถยนต์ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาและการโจมตีด้วยรถยนต์เพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองเป็นที่รู้จักผ่านภาพยนตร์ดังเมื่อปี 1966 เรื่อง The Battle of Algiers ที่นักปฏิวัติอัลเจียเรีย 2 คนขับรถพุ่งเข้าชนป้ายรถโดยสารประจำทางที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารชาวฝรั่งเศสที่ยืนรอรถเมล์อยู่ กระนั้นมีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เลือกใช้วิธีการนี้เป็นการก่อการร้าย ในจำนวนมุสลิมหลายล้านคนในสหรัฐฯ มีเพียงตาฮรี-อซาร์เป็นคนแรกที่พยายามใช้วิธีการโจมตีแบบนี้ และอาจเป็นได้ว่ามีอีก 2 รายที่ลอกเลียนวิธีการนี้ อันนำไปสู่การเสียชีวิตของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจำนวน 1 ราย (ในการไต่สวน โอมีด โปปาล ผู้สังหารคนเดินถนนหนึ่งรายนั้น ถูกเลื่อนออกมาหลายปีเพราะต้องพิสูจน์สภาพจิตของผู้ต้องหาว่ามีความพร้อมที่จะได้รับการไต่สวนหรือไม่) นอกจากรถยนต์แล้ว มีอาวุธในการก่อการร้ายอื่นๆ จำนวนมากมายที่สามารถหาได้อย่างง่ายดาย คู่มือสำหรับผู้ก่อการร้ายอิสลามนิยมฉบับหนึ่ง ที่เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตเมื่อปี 2006 ให้รายชื่อ “อุปกรณ์พื้นฐาน” 14 อย่างที่ “ใช้และหาได้ง่ายสำหรับทุกคนที่ต้องการต่อสู้กับศัตรูที่มายึดครอง” หนึ่งในนั้น คือ “ขับรถยนต์พุ่งชนบุคคลอื่น” (หมายเลขที่ 14) และ “วางเพลิงเผาบ้านหรือห้องขณะที่ทุกคนนอนหลับ” (หมายเลขที่ 10)

ถ้าวิธีการก่อการร้ายต่างๆ สามารถที่จะกระทำได้อย่างง่ายๆ อย่างการใช้รถยนต์ ทำไมจึงมีผู้ก่อการร้ายอิสลามนิยมเพียงน้อยนิดเท่านั้น? ท่ามกลางความตายและการทำลายล้างที่ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ก่อ คำถามนี้ออกจะไร้สาระ  แต่ถ้าคิดดูดีๆ ว่าโลกเรามีมุสลิมมากกว่าพันล้านคน พวกเขาจำนวนมากน่าจะเกลียดชังตะวันตกและปรารถนาจะพลีชีพ  ทำไมเราจึงไม่เห็นการโจมตีก่อการร้ายในทุกหนทุกแห่งและทุกๆ วัน?

ผู้ก่อการร้ายอิสลามนิยมก็ถามคำถามนี้เช่นกัน ในมุมมองของพวกเขาตะวันตกได้รุกรานโจมตีสังคมมุสลิมมาอย่างยาวนาน ก่อนหน้า 9/11 มานานนัก การรุกรานนี้ทั้งได้แก่การโจมตีทางทหาร การครอบงำทางการเมืองและเศรษฐกิจ และความเสื่อมทรามทางวัฒนธรรม และพวกเขาเชื่อว่าการคุกคามเหล่านี้นับวันจะยิ่งหนักหน่วงยิ่งขึ้น อิสลามนิยมเสนอทางออก คือ การสถาปนาการปกครองแบบอิสลาม อิสลามนิยมแบบปฏิวัติเสนอยุทธศาสตร์ในการสถาปนารัฐอิสลามได้แก่ การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ นักปฏิวัติแบบก่อการร้ายเสนอกลยุทธ์ในการปลุกระดมให้เกิดการลุกฮือด้วย การโจมตีพลเรือน เพราะเชื่อว่าการโจมตีจะทำลายขวัญกำลังใจของศัตรู ปลุกจิตใจชาวมุสลิมให้ฮึกเหิม และทำให้ความขัดแย้งแหลมคมยิ่งขึ้น อันจะทำให้ชาวมุสลิมสู่การตระหนักว่าการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธเป็นวิถีทางเดียวในการปกป้องอิสลาม

แต่ผู้ก่อการร้ายอิสลามนิยมกำลังเป็นวิตกว่ามันไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังเอาไว้ การก่อการร้ายไม่ได้นำชาวมุสลิมสู่การปฏิวัติ ผู้ก่อการร้ายชั้นนำคร่ำครวญเสมอว่า ทำไมชาวมุสลิมจึงไม่ออกมาต่อต้านตะวันตกมากกว่านี้? ต้องทำอะไรมุสลิมจึงจะออกมาจับอาวุธต่อสู้?

อุซามะฮ์ บิน ลาเดนผู้ล่วงลับก็เคยกล่าวในทำนองนี้เป็นประจำ “แต่ละวัน ฝูงแกะหวังว่าหมาป่าจะหยุดฆ่าพวกเขา แต่บทสวดอ้อนวอนเหล่านี้กลับหาได้รับคำตอบไม่” เขาประกาศเอาไว้เมื่อปี 2008 “ใครก็ตามที่มีเหตุมีผลย่อมมองเห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นถูกชักจูงให้หวังลมแล้งๆ เรื่องเหล่านี้แหละคือภารกิจของเรา” บิน ลาเดนและอัยมัน อัซเซาะวาฮิรี  ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำของอัลกออิดะห์ ได้แสดงถ้อยแถลงด้วยน้ำเสียงแห่งชัยชนะและแรงบันดาลใจ แต่ความไม่พอใจต่อสถานการณ์กลับถูกเผยให้เห็นตลอดถ้อยแถลง “ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับคนที่ยังหลบอยู่ข้างหลังการต่อสู้นี้” อัซเซาะวาฮิรีบรรยายในวิดีโอที่เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตเมื่อปี 2007 “พวกเรายังคงเป็นนักโทษ ที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนขององค์การ [อิสลามกระแสหลัก] และมูลนิธิต่างๆ ไม่ให้กระโจนเข้าสู่สนามรบ เราจำต้องทำลายห่วงโซ่ที่พันธนาการกีดขวางเรากับการปฏิบัติหน้าที่ส่วนตนของเราให้จงได้”

วิดีโอปลุกระดมจัดตั้งของอัลกออิดะห์เมื่อปี 2008 ถามว่า “พี่น้อง บอกข้าทีสิว่า เมื่อไหร่พวกคุณจะโกรธ? ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเราถูกละเมิด สิ่งก่อสร้างของเราถูกทำลาย และคุณยังไม่โกรธ ถ้านักรบของเราถูกฆ่า ศักดิ์ศรีถูกหยามหมิ่นและโลกของเรามาถึงจุดจบ แล้วคุณยังไม่โกรธ บอกข้าทีสิ เมื่อไหร่ที่คุณจะโกรธ?” วิดีโอสรุปว่าถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีความเป็นชายพอที่จะเข้าร่วมญีฮาด “ดังนั้นจงอยู่อย่างกระต่ายและตายอย่างกระต่าย”

ผู้ก่อการร้ายอื่นๆ ใช้ข้อความเสียดแทงใจเหมือนๆ กันนี้เพื่อชักจูงให้มุสลิมเข้าร่วมกิจกรรมปฏิวัติ “เกิดอะไรขึ้นกับประชาชาติมุสลิม?” กลุ่มสู้รบชาวปากีสถานฮาร์กัต อุลมูจาฮิดิน (Harkat ul-Mujahideen) กล่าวไว้ในเวปไซต์ของพวกเขา “เมื่อกาฟีร์เอามือมาแตะต้องลูกสาวของพวกเขา ชาวมุสลิมไม่แม้กระทั่งจะขยับนิ้วเพื่อปกป้อง” อาบู มูซาบ อัล-ซูริ นักยุทธศาสตร์ของการปฏิวัติอิสลามชื่อดัง กล่าวว่ามันเป็นเรื่อง “น่าละอาย” (regrettable) ที่มีมุสลิมเพียงน้อยนิด เพียงหนึ่งในล้านคนที่เข้าร่วมญีฮาดในอัฟกานิสถาน

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ผู้สนับสนุนญีฮาดแบบใช้ความรุนแรงได้ประณามและพูดให้เพื่อนมุสลิมรู้สึกผิดมานานหลายทศวรรษแล้ว ซัยยิด กุฎบฺนักฟื้นฟูอิสลามชาวอียิปต์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจแก่ขบวนการอิสลามหลายต่อหลายรุ่น ประกาศเอาไว้ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ว่า “ความเป็น ประชาชาติมุสลิมได้สูญสิ้นมาเป็นเวลานานหลายศตวรรษแล้ว” มีเพียงการปฏิวัติเพื่อสถาปนารัฐอิสลามเท่านั้นจึงจะทำให้ชาวมุสลิมสามารถได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ศรัทธา”

กุฎบฺเสนอว่าญีฮาดปฏิวัติเป็นหน้าที่รวมหมู่ของมุสลิม ในทศวรรษ 1980 อิสลามนิยมสู้รบทำให้การตัดสินทางศาสนามีความชัดเจนขึ้นว่า “ทุกวันนี้ ญีฮาดเป็นหน้าที่ส่วนตัวที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ” เขียนโดยมูฮัมหมัด อับดุล อัลซาลาม ฟาราจ (Muhammed abd al-Salam Faraj) ผู้นำความคิดของกลุ่มที่ลอบสังหารประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต แห่งอียิปต์เมื่อปี 1981 ระบุว่าหน้าที่ดังกล่าวจะถือว่าได้ปฏิบัติแล้วก็ต่อเมื่อ “เผชิญหน้าและเลือด” เท่านั้น อับดุลลาห์ อัซซาม (Abdullah Azzam) หนึ่งในจัดตั้งใหญ่ของขบวนการแนวร่วมญีฮาดต่อต้านโซเวียตในอัฟกานิสถานในทศวรรษ 1980 เรียกร้องให้มุสลิมเข้าร่วมกับการต่อสู้ ไม่ใช่เพียงการบริจาคเงินสนับสนุน แต่เป็นหน้าที่ส่วนบุคคล “ที่มุสลิมทุกคนบนโลกใบนี้ต้องทำ ตราบจนภารกิจนี้จะสำเร็จ รัสเซียและคอมมิวนิสต์จะถูกขับไล่ออกไปจากอัฟกานิสถาน ไม่เช่นนั้นบาปจะยังคงแขวนติดอยู่ที่คอของพวกเราอยู่” เมื่อปี 1998 บิน ลาเดนและผองเพื่อนใช้ภาษาแบบเดียวกันนี้ประกาศสงครามกับสหรัฐ “ประกาศให้สังหารชาวอเมริกันและพันธมิตร ทั้งพลเรือนและทหาร เป็นหน้าที่ส่วนบุคคลที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติในทุกประเทศที่สามารถจะกระทำได้”

เป็นเวลาหลายทศวรรษจนถึงปัจจุบัน ผู้ก่อการร้ายอิสลามนิยมได้เรียกร้องให้มุสลิมปฏิบัติหน้าที่ญีฮาดติดอาวุธต่อต้านผู้ปกครองของตนเอง ต่อต้านโซเวียตและต่อมาคือต่อต้านอเมริกัน คนหลายหมื่นคนปฏิบัติตามคำเรียกร้องเหล่านั้น หรือจากการประเมินของกระทรวงความมั่นคงสหรัฐฯ ที่อาจจะมีจำนวนถึงแสนคนในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา จำนวนดังกล่าวนี้คือนักรบที่มีศักยภาพที่จะใช้ความรุนแรง แม้ว่าจำนวนมากจะไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจังและต่อมาจะออกจากขบวนการก็ตาม แต่ในเวลาเดียวกันมุสลิมมากกว่าพันล้านคน หรือมากกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำเรียกร้องให้ปฏิบัติการ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องปรกติสำหรับขบวนการปฏิวัติทุกประเภท ที่มีคนเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่เข้าร่วมขบวนการ ขบวนการก่อการร้ายฝ่ายซ้ายอย่างเวเธอร์แมน (Weatherman) ในสหรัฐฯ กองทัพแดงในเยอรมนีตะวันตก กองทัพแดง (the Red Brigades) ในอิตาลีดูจะประสบความสำเร็จในการจัดตั้งน้อยกว่าเสียด้วยซ้ำ ที่มีจำนวนนักรบไม่มากไปกว่าพันคนในช่วงกระแสสูงในทศวรรษ 1970 และ 1980 การจัดตั้งที่มีประสิทธิภาพมากกว่าดูเหมือนจะเป็นขบวนการที่สัมพันธ์กับดินแดนอย่าง IRA หรือ ETA (the Basque Homeland and Freedom Group) และกลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์ ที่ได้รับการประเมินว่ามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมากในช่วงยึดครองฉนวนกาซาในปี 2007 คือมีจำนวนสมาชิกในอัตราประมาณ 1 คนต่อประชากร 100 คน ซึ่งจากการประเมินของผม ขบวนการก่อการร้ายอิสลามนิยมระดับโลกสามารถจัดตั้งสมาชิกได้น้อยกว่า 1 คนต่อประชากรมุสลิม 15,000 คนในรอบ 25 ปีที่ผ่านมาและน้อยกว่า 1 ต่อ 100,000 คนหลังกรณี 9/11

ความยากลำบากในการจัดตั้งได้สร้างปัญหาคอขวดสำหรับกลยุทธที่เป็นเอกลักษณ์ของการก่อการร้ายอิสลามนิยม คือ ระเบิดฆ่าตัวตาย องค์กรเหล่านี้มักอ้างว่าตนมีรายชื่ออาสาสมัครที่ต้องการจะพลีชีพ ซึ่งถ้ามีจริงคงเป็นรายชื่อที่ไม่ยาวนัก จัดตั้งของอัลกออิดะห์ นาม คาลิด ชีค โมฮัมเหม็ด (Khalid Sheikh Mohammed) ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2002 หลายเดือนก่อนที่เขาจะถูกจับกุม อย่างมั่นใจถึงความสามารถในการจัดตั้งอาสาสมัครสำหรับ “ภารกิจพลีชีพ” ซึ่งเป็นการเรียก ระเบิดฆ่าตัวตายของชาวก่อการร้ายอิสลามนิยม “เราไม่เคยขาดผู้ผลีชีพที่มีประสิทธิภาพ แน่นอนเรามีแผนกๆ หนึ่งเรียกว่า แผนกพลีชีพ”

“มันยังคงอยู่ใช่มั้ย” โยสรี โฟดา (Yosri Fouda) นักข่าวอัลจาซีร่า ผู้ถูกปิดตาขอให้พาไปสัมภาษณ์ที่อพาร์ทเมนท์ของโมฮัมเหม็ดในการาจี ปากีสถาน ถาม “ใช่แล้ว และยังคงอยู่ตราบที่เรายังคงญีฮาดต่อต้านพวกนอกรีตและไซออนนิสต์ เรามีรายชื่ออาสาสมัคร ปัญหาเดียวที่เรามีในเวลานี้คือการเลือกคนที่เหมาะสม ซึ่งต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับตะวันตก” จำนวนรายชื่อในที่นี้ ไม่ใช่หลักหลักร้อย และเกือบทั้งหมดไม่เหมาะที่จะปฏิบัติภารกิจก่อการร้ายในตะวันตก หลังจากโมฮัมเหม็ด  ถูกจับกุมและได้รับ “การสอบสวนอย่างเข้มข้น” จาก CIA ที่ใช้วิธีการที่รัฐบาลสหรัฐฯประณามมาเป็นทศวรรษว่าเป็นการทรมาน รัฐบาลกลางก็แถลงผลการสอบสวนว่านายโมฮัมเหม็ดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนปฏิบัติการระเบิดฆ่าตัวตาย 39 ครั้งและหนึ่งในนั้นคือ การโจมตี 9/11 ที่มีผู้ก่อการจี้เครื่องบินจำนวน 19 คน “เพราะเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะหาได้และสามารถส่งมายังสหรัฐฯ ได้ก่อน 9/11” จากข้อมูลต่อต้านก่อการร้ายของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาว แผนการเดิมของ 9/11 จะมีการโจมตีพร้อมกันที่ฝั่งตะวันตกด้วย แต่อัลกออิดะห์ไม่สามารถหาคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะปฏิบัติภารกิจนี้ได้ บางทีที่โมฮัมเหม็ด อ้างว่าอัลกออิดะห์“ ไม่เคยขาดผู้พลีชีที่มีศักยภาพ” นั้นอาจเป็นเพียงแค่ราคาคุย

 

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net