Skip to main content
sharethis

จุดยิง - บาลาเซาะห์ (อาคารละหมาดขนาดเล็ก) ซาบีลุลค็อยร์ บ้านนาพร้าว อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
จุดที่คนร้ายแต่งชุดดำ กราดยิงชาวบ้านเสียชีวิต เมื่อคืนวันพุธที่ 11 เมษายน 2555

 

ถนนสายเล็กๆ ในบ้านนาพร้าวที่ขนานไปกับชายหาด แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา เรื่องราวความรุนแรงสะเทือนขวัญ เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่มีทั้งคนพุทธและมุสลิมแห่งนี้ มาอย่างต่อเนื่องนับแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา

ทีมข่าวของโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ลงไปเจาะลึกถึงความเป็นไปในหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ในตำบลปะนาเระ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี แต่ดูเหมือนว่า ความจริงของแต่ละฝ่ายยังต่างกันลิบลับ

เหตุรุนแรงอันเป็นหมุดหมายสำคัญที่คนหมู่ที่ 2 ตำบลปะนาเระ กล่าวขวัญถึงคือเหตุยิงปะทะกันระหว่างทหารพรานกับกลุ่มที่รัฐเรียกว่าผู้ก่อความไม่สงบ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555

ครั้งนั้น ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (ศจฉ.กอ.รมน. ภาค 4 สน.) ระบุว่า มีคนร้ายประมาณ 6 คนใช้อาวุธสงครามและปืนพกยิงใส่จุดตรวจร่วมบนถนนในหมู่บ้าน หลังเสียงปืนสงบลง พบผู้เสียชีวิต 3 คน ส่วนทหารพรานและสมาชิกชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) บาดเจ็บเล็กน้อย

ถัดมาอีกเดือนกว่าๆ กำลังทหารพรานจากกรมทหารพรานที่ 44 ได้ควบคุมตัวครูสอนศาสนาหรืออุสตาซ 7 คนจากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามชื่อดังแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอปะนาเระ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2555 โดยใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก พวกเขาถูกสงสัยว่าเป็นแกนนำในระดับความคิดของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ

จากนั้นความรุนแรงในหมู่บ้านยิ่งถี่ขึ้น เริ่มจากวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2555 เกิดเหตุคนร้ายยิงสองพ่อลูกชาวมุสลิม โดยนายฮะ สาเระ เจ้าของร้านคาร์แคร์ผู้พ่อเสียชีวิต ส่วนลูกชายบาดเจ็บ

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2555 นายเอกชัย ทองใหญ่ ชาวพุทธในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นลูกจ้างแขวงการทางอำเภอปะนาเระถูกยิงเสียชีวิต

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2555 ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ชาวไทยพุทธถูกยิงบาดเจ็บเล็กน้อย

วันพุธที่ 11 เมษายน 2555 คนร้ายซุ่มยิงชาวบ้านบริเวณบาลาเซาะห์ (อาคารละหมาดขนาดเล็ก) ซาบีลุลค็อยร์ประจำหมู่บ้าน ช่วงหลังละหมาดอีซา (ละหมาดตอนค่ำ) ทำให้นายยาลี ตาเห อายุ 51 ปี และนายรอมลี หะยีดอเล็ง อายุ 50 ปี เสียชีวิต ส่วนภรรยาของนายรอมลีถูกยิงบาดเจ็บสาหัส

เสียงจากชาวบ้าน และขบวนการ?
“คนมุสลิมไม่มีทางที่จะยิงไปในมัสยิดแน่นอน” นายมะแอ กาเจ อดีตโต๊ะอิหม่ามวัย 65 ปีที่รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นกล่าว แม้ว่าจะไม่ได้มีหลักฐานใดๆ มะแอก็เชื่อว่าทหารพรานอาจเป็นคนที่ลอบเข้ามาทำร้ายคนมุสลิมในหมู่บ้าน

นายมะแอสะท้อนว่า ชาวบ้านในพื้นที่รู้สึกหวาดกลัวทหารชุดดำเป็นอย่างมาก เขาเล่าว่าทหารพรานเหล่านี้มักจะมาอยู่ในป่า หลบๆ ซ่อนๆ และคนที่มาเป็นทหารพรานก็มักเป็นพวกนักเลงหัวไม้ หรือคนไม่มีงานทำ “ตั้งแต่ทหารพรานมาอยู่ที่นี่ มีชาวบ้านเสียชีวิตหลายคนแล้ว” มะแอกล่าว

อดีตโต๊ะอิหม่ามผู้นี้ ไม่ได้ปฏิเสธการเข้ามาของทหารเสียทีเดียว เขาคิดว่าทหารก็มีหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ถ้าให้เขาเลือกได้ เขาอยากให้ “ทหารเขียว” (ทหารหลัก) มาอยู่ในหมู่บ้านมากกว่า

พ.อ.นิติ ติณสูลานนท์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 44 กล่าวว่า ทางกอ.รมน.ได้ปรับโครงสร้างการทำงาน เพื่อโอนงานให้ทหารพรานเข้ามารับผิดชอบพื้นที่แทนทหารหลักมากขึ้น โดยโอนพื้นที่อำเภอปะนาเระและยะหริ่ง จังหวัดปัตตานีจากมือของทหารหลักมาสู่ทหารพรานตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นมา

นายเจ๊ะอิซอ ตาเห ซึ่งเสียพี่ชายคนโตในเหตุการณ์ยิงมัสยิดเป็นอีกคนหนึ่งที่เชื่อว่าทหารพรานน่าจะเป็นจำเลยที่หนึ่งในเหตุการณ์ในครั้งนี้

“คนมุสลิมไม่ฆ่าคนในมัสยิด เพราะว่ามัสยิดเป็นบ้านของพระเจ้า” เขากล่าวหลังจัดงานทำบุญครบรอบเจ็ดวันหลังการเสียชีวิตของยาลี “ความรู้สึกของประชาชนเจ็บปวดมาก จะมาละหมาดที่บาลาเซาะห์ก็ไม่กล้า”

เขาคิดว่าทหารไม่ว่าจะชุดสีอะไรก็ตามไม่ควรจะมีอยู่ในหมู่บ้าน “[ผม] รู้สึกกลัว ถ้ามีทหาร ประชาชนจะกลัว” เจ๊ะอิซอกล่าว

ชาวบ้านเล่าว่า มีใบปลิวกล่าวหาว่าทหารพรานเป็นผู้ก่อเหตุวางไว้อยู่หน้ามัสยิดในหมู่บ้านไม่กี่วันหลังเกิดเหตุ เอกสารที่ชาวบ้านนำมาให้ดูจั่วหัวเป็นภาษาไทยว่า “ข้อเท็จจริงการกราดยิงมุสลิมในมัสยิดบ้านนาพร้าว (ไอปาแย 2)”

“ในนามนักรบฟาตอนี ที่แซกซึม [สะกดตามต้นฉบับ] อยู่ในทุกพื้นที่เราขอสัญญาว่า เลือดทุกหยด ทุกชีวิตที่พี่น้องมุสลิมเรา อ.ปะนาเระต้องสูญเสีย ณ วันนี้และต่อจากนี้จะไม่มีวันสูญเปล่าแน่นอน มันต้องชดใช้เป็น 100 เท่า ไทยพุทธ เจ้าหน้าที่ และ คนที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ไม่ว่ามันจะใช้เส้นทางไหน ทำอะไร ที่ไหน เราพร้อมที่จะปลิดชีพมันแน่นอน...” เอกสารชิ้นนี้ลงชื่อเป็นภาษามลายู Pejuang fatoni (นักรบฟาตอนี) 

นายทหารชุดดำ “รู้ดีว่าต้องตกจำเลย”
พ.อ.นิติ ในฐานะทหารผู้รับผิดชอบสูงสุดในพื้นที่ปานะเระรู้ดีว่าทหารพรานตกเป็นจำเลยในเหตุการณ์สังหารโหดที่มัสยิด เขาได้ไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านหลังละหมาดใหญ่วันศุกร์ สองวันหลังเกิดเหตุการณ์

“ยืนยันว่าลูกน้องผมไม่ได้ทำ แต่เราบังคับให้คนเชื่อไม่ได้”  คือคำยืนยันจาก พ.อ.นิติ

พ.อ.นิติ มองว่า เหตุการณ์ยิงมัสยิดนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ทหารพรานยิงฝ่ายขบวนการเสียชีวิตสามศพเมื่อเกือบสองเดือนก่อน รวมถึงการควบคุมตัวเจ็ดอุสตาซไปซักถามด้วย

เหตุการณ์แรกนั้น ทหารพรานนับเป็นวีรกรรมของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานครั้งนั้นเลยทีเดียว เพราะภายในฐานของกรมทหารพรานที่ 44 มีการเขียนข้อความในบอร์ดติดผนังขนาดใหญ่สีแดงว่า “เชิดชูเกียรติของกำลังพล”

“พวกเขาต้องการลดความเชื่อมั่นและศรัทธากับทหารพรานในพื้นที่” ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 44 กล่าว

นอกจากนี้ยังระบุว่า การยิงมัสยิดเป็นจุดที่จะทำให้เกิด “การปลุกระดม” และสร้างความแตกแยกในชุมชน

พ.อ.นิติ กล่าวว่า ทหารพรานเองได้สืบสวนในเชิงลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปอย่างชัดเจน

ทว่า เรื่องยาเสพติดและการเมืองท้องถิ่น อาจเป็นประเด็นผสมโรงที่ทำให้เกิดความรุนแรงด้วยก็เป็นได้ นั่นคือ คำทิ้งท้ายฝากไว้ให้คิดของ พ.อ.นิติ

เสียงจากคนพุทธแห่งปะนาเระ
บ้านนาพร้าวมีคนนักถือศาสนาพุทธอยู่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรประมาณ 1,400 คน

ผู้นำชุมชนคนพุทธในหมู่บ้านคนหนึ่งซึ่งไม่ขอเปิดเผยนาม กล่าวว่า เหตุรุนแรงระลอกล่าสุดนี้ดูเหมือนจะเป็นความพยายามของ “ฝ่ายโจร” ที่ต้องการจะดึงฐานมวลชนคืน หลังจากพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในเหตุโจมตีป้อมจุดตรวจทหารพราน ที่ทำให้สูญเสียสมาชิกไปถึง 3 คน

“เขาสร้างเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่สร้างไม่ขึ้น แต่ถ้าชาวบ้านเล่นด้วย จะกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก” เขากล่าว

ชาวพุทธคนนี้สูญเสียคนในครอบครัวไปกับเหตุความไม่สงบเมื่อหลายปีก่อน มองว่าพี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์รุนแรง เขาคิดว่า รัฐมองประเด็นผิดและพยายามจะเปลี่ยนแปลงคนที่ไม่ได้อยู่ในขบวนการ

“มีกลุ่มอยู่เพียงนิดหน่อยเท่านั้นที่เล่นอยู่ … เขาออกมาพูดไม่ได้ พูดคือตาย ต่อต้านคือตาย”

ชายหนุ่มคนนี้มองว่า สถานการณ์ในหมู่บ้านขณะนี้ กลุ่มที่เคลื่อนไหวด้วยอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนทำงานร่วมกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด “ปัจจุบันนี้ พ่อค้ายาเสพติดกับแนวร่วมของขบวนการนั้นเป็นคนคนเดียวกัน” เขากล่าว

เขาอธิบายว่า พวกพ่อค้ายาเสพติดมีเงินก็เอาไปจ้างกลุ่มเหล่านี้ให้สังหารคู่แข่งหรือศัตรูของตนเอง ส่วนพวกขบวนการเองก็ต้องการรายได้

คำอธิบายเช่นนี้ สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของทหารในช่วงหลังๆ ซึ่งก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ว่า เส้นทางของนักรบปาตานีที่ประกาศว่าตนต่อสู้เพื่อเอกราช ได้เดินทางมาบรรจบกับเส้นทางของกลุ่มอิทธิพลนอกกฎหมายจริงหรือ

ตำรวจกับการดำเนินคดี
พ.ต.ท.สมศักดิ์ สังข์น้อย พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรปะนาเระ ระบุว่า ข้อสรุปเบื้องต้นจากสอบสวนแต่ละคดี ดังนี้ เหตุยิงสองพ่อลูกคนมุสลิมน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว โดยผู้ตายเป็นอดีตอาสาสมัครรักษาดินแดน (อ.ส.) เคยมีประวัติถูกฟ้องคดีฆาตกรรมในอำเภออื่น แต่ศาลยกฟ้อง

ส่วนเหตุยิงคนไทยพุทธน่าจะเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบ เจ้าหน้าที่เชื่อว่า น่าจะเป็นการฉวยโอกาสเพื่อสร้างกระแสว่า เป็นการตอบโต้ระหว่างพุทธกับมุสลิม

ส่วนเหตุยิงช่างซ่อมจักรยานยนต์บาดเจ็บ ก็น่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งเกี่ยวข้องความไม่พอใจในการบริการซ่อมรถ

ส่วนเหตุการณ์ยิงมัสยิด(บาลาเซาะห์) ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า ใครเป็นผู้ที่กระทำผิด

“หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อาจช่วยไขความกระจ่างของเหตุการณ์ได้มากขึ้น คือ การพิสูจน์ปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 19 ปลอกที่พบในที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบว่า เป็นปืนเคยถูกใช้ก่อเหตุอื่นๆ หรือไม่ ซึ่งเป็นกุญแจดอกสำคัญในการคลี่คลายคดี”

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net