Skip to main content
sharethis

 

9 พ.ค.55 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่โรงพยาบาลตำรวจ มีการผ่าพิสูจน์ศพนายอำพล ผู้ต้องขังคดีหมิ่นฯ ที่เพิ่งเสียชีวิตวานนี้ (8 พ.ค.) โดยมีฝ่ายต่างๆ ตามกฎหมาย รวมถึงมีนายแพท์ภายนอกเข้าร่วมสังเกตการณ์ 3 คน ได้แก่ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล และนพ.กิติภูมิ จุฑาสมิต

พ.ต.อ.สุพล จงพาณิชย์กุลธร นพ.(สบ5) ในฐานะโฆษก รพ.ตำรวจ เปิดเผยผลการชันสูตรศพว่า ผู้เสียชีวิตเป็นมะเร็งที่ตับ และกระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้มีภาวะการหายใจที่ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม หลังการผ่าชันสูตรศพ ต้องรอผลการตรวจชิ้นเนื้อประกอบด้วย

ด้านนพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ระบุว่า ที่พบมีปัญหาคือช่องท้องมีเนื้องอกบริเวณตับด้านซ้ายและลุกลามไปในช่องท้อง ลำไส้ แล้วก็มีน้ำในช่องท้องจำนวนมาก มีสองตายนิดหน่อย คาดว่าน่าจะเสียชีวิตเพราะมะเร็งระยะสุดท้าย อย่างไรก็ตาม มีการนำอาหารในกระเพาะ เลือด น้ำในช่องท้องไปตรวจว่ามีสารพิษไหม ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7 วันจึงจะทราบผล

นพ.เชิดชัยตอบคำถามนักข่าวว่า ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นมะเร็งอยู่นานพอสมควร คุณหมอที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์น่าจะเอาไปตรวจ ไม่ควรปล่อยให้เรื้อรังและลุกลาม อันนี้เป็นเรื่องของมนุษยธรรมนักโทษก็เป็นมนุษย์ควรได้รับการดูแลที่ดี ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็พยายามพูดถึงเรื่องนี้ในการประชุมพรรคทุกรอบ โดยพยายามเอาข้อเสนอของ คอป. เป็นจุดเริ่ม เช่น ย้ายผู้ต้องขังไปโรงเรียนตำรวจ แต่นักโทษคดีมาตรา 112 เป็นคนละเรื่องกัน กับอีกส่วนคือคดีที่ศาลพิพากษาไปแล้วซึ่งฝ่ายการเมืองไปยุ่งไม่ได้

นพ.ชิดชัยยังตอบคำถามอีกว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นความบกพร่องในระบบทำงานมากกว่า หมอต้องทำตามหลักวิชาการ ถ้าไม่มีเครื่องมือต้องส่งไปรักษาข้างนอก ส่วนหากกลัวว่าผู้ต้องขังจะหลบหนีก็สามารถให้เจ้าหน้าที่ดูแลควบคุมได้ ส่วนการนอนโรงพยาบาลรอ 3 วันก่อนจะได้ตรวจนั้นไม่สมควรแน่

“ต้องแยกให้ออกระหว่างมนุษยธรรมกับเรื่องคดี ถ้าคนไข้ได้รับการตรวจและรู้ว่าเป็นมะเร็งควรให้ประกันมารักษาข้างนอก” นพ.เชิดชัยกล่าว

นพ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ดูจากสภาพตับแบบนี้เชื่อว่าเป็นมะเร็งมาไม่ต่ำกว่า 3-6 เดือนขึ้นไป ดังนั้นสะท้อนว่า ระบบการรักษา การประเมินคนไข้ของกรมราชทัณฑ์มีปัญหา นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อคนไข้ใกล้จะเสียชีวิต โดยปกติเราต้องมีการปั้มหัวใจหรือใช้วิธีการต่างๆ เพื่อกู้ชีวิตคืนอย่างหนักหน่วง แต่เท่าที่ดูไม่เห็นร่องรอยการช่วยเหลือคนไข้อย่างหนักหน่วง

ด้านนพ.กิตติภูมิ ให้ความเห็นในภายหลังว่าระบุว่า น่าจะเสียชีวิตจากมะเร็งระยะสุดท้าย ที่ช่องปากที่เคยเป็นมะเร็ง มีแผลที่เคยผ่าตัด ไม่มีต่อมน้ำเหลืองโต แสดงว่ารักษาหาย ส่วนร่องรอยสมองฝ่อนั้นเป็นเรื่องปกติของวัยชราซึ่งน่าจะเป็นผลต่อการเบิกความต่อศาลว่าจำไม่ได้ว่านำโทรศัพท์มือถือไปซ่อมที่ร้านในที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว

นอกจากนี้ นพ.กิตติภูมิ ยังระบุด้วยว่า ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายน่าจะมีโอกาสได้ประกันตัวมารักษาตัวภายนอกเรือนจำ และใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตกับครอบครัว

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net