ข้อสงสัยหลังกรณีขับไล่เลดี้กาก้า หรืออินโดนีเซียยอมรับความต่างน้อยลง?

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการยอมรับความหลากหลาย แต่กรณีทีมงานของเลดี้กาก้าประกาศยกเลิกทัวร์ ก็ไม่ใช่กรณีเดียวเท่านั้นที่ทำให้คนกลัวว่า อินโดฯ จะเปลี่ยนไป

 
จากกรณีที่ผู้จัดทัวร์คอนเสิร์ทของเลดี้กาก้าสั่งยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ตในอินโดนีเซีย เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัย หลังจากที่มีกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงขู่จะออกมาก่อความวุ่นวายหากเลดี้กาก้าเข้ามาในประเทศอินโดนีเซีย
 
ล่าสุดในเว็บไซต์ของสำนักข่าว BBC มีรายงานเรื่องนี้ในชื่อ "อินโดนีเซียเริ่มยอมรับต่อความต่างได้น้อยลงจริงหรือ?"
 
ปูตรี นูรายนี ผู้จัดการแผนกขายอายุ 28 ปีชาวอินโดนีเซีย หลังว่าการแสดงของเลดี้กาก้าจะจัดขึ้นในอินโดนีเซียตามแผน แต่เมื่อวันอาทิตย์ (27) ที่ผ่านมา ทางผู้จัดก็สั่งยกเลิกด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยหลังจากที่กลุ่มอิสลามสุดขั้วขู่จะก่อความวุ่นวาย
 
ปูตรี บอกว่าเธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนกลุ่มนี้ถึงต่อต้านเลดี้กาก้ามากนัก
 
"ฉันก็เป็นชาวมุสลิมคนหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจว่าพวกเขาต้องการอะไร" ปูตรีกล่าวอย่างเผ็ดร้อน "มันไม่มีเหตุผลเลย เลดี้กาก้าได้ขึ้นไปทำรักบนเวทีเสียที่ไหน ไม่เลย เธอแค่มาแสดง มันน่าตลกจริงๆ"
 
แต่เอฟฟีและลูกชายอายุ 9 ชวบของเธอ อาเดดูจะไม่เห็นด้วยกับปูตรี
 
ในขบวนผู้ชุมนุมชาวมุสลิมอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านเลดี้กาก้า เจ้าหนูอาเดก็ยุ่งอยู่กับการถือป้ายโปสเตอร์ขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวเขา ป้ายที่เขียนไว้ว่า "จงปฏิเสธปีศาจเลดี้กาก้า"
 
เอฟฟีเล่าว่า เธอพาลูกชายของเธอมาในการประท้วงเช่นนี้ตั้งแต่เขายังอยู่ในครรภ์แล้ว มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับมุสลิมคนหนุ่มสาวที่จะลุกขึ้นปกป้องความเชื่อของตน
 
ผู้สื่อข่าว BBC ถามว่าเหตุใดเธอถึงไม่พอใจดารานักร้องผู้นี้นัก หากเธอไม่ชอบดนตรีก็แค่ไม่ต้องไปคอนเสิร์ทก็ได้ ทำไมถึงไม่ยอมให้ชาวอินโดนีเซียคนอื่นๆ ได้เข้าร่วมคอนเสิร์ท
 
"ทุกคนมักจะบอกว่าชาวมุสลิมในอินโดนีเซียเป็นคนที่อดทนต่อความต่างได้" เอฟฟีกล่าวอย่างหนักแน่น "พวกเราเป็นเช่นนั้นจริง แต่พวกเราก็ไม่ได้อยากถูกเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลา พวกเราต้องลุกขึ้นเรียกร้องเพื่อศาสนาอิสลามแล้ว"
 
กรณีทำร้ายนักสตรีนิยม
กรณีของเลดี้กาก้าเป็นเพียงแค่หนึ่งในกรณีที่แสดงให้เห็นถึงความอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่างมีน้อยลงในกลุ่มศาสนาของอินโดนีเซีย
 
อินโดนีเซียเป็นประเทศมุสลิมที่มีประชากรมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นรัฐฆราวาสด้วย
 
อินโดนีเซียมีประวัติศาสตร์ยาวนานด้านการยอมรับต่อความต่างทางศาสนาที่มีระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ และถูกทางชาติตะวันตกนำไปใช้เป็นพิมพ์เขียวแบบอย่างชาติมุสลิมที่เป็นประชาธิปไตย เพื่อนำไปใช้กับชาติตะวันออกกลาง
 
แต่ในช่วงไม่นานมานี้กลุ่มมุสลิมฝ่ายสุดขั้วก็เริ่มออกมาเรียกร้องมากขึ้น มีความกังวลว่ารัฐบาลจะไม่ได้หาทางหยุดยั้งพวกเขา
 
มีความกลัวว่า อินโดนีเซียกำลังมีความอดทนอดกลั้นต่อความต่างน้อยลงเรื่อยๆ และพวกสุดขั้วจะเริ่มฉวยโอกาสได้เปรียบ
 
อรีชาด แมนจิ มุสลิมนักปฏิรูปนิยมและนักสตรีนิยมเชื่อเช่นนี้
 
เธอและทีมงานของเธอถูกกลุ่มมุสลิมสุดโต่งโจมตีขณะที่ออกงานเสวนาเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ของเธอชื่อ "องค์อัลเลาะห์ เสรีภาพ และความรัก" ในประเทศอินโดนีเซีย มีเพื่อนร่วมงานของเธอคนหนึ่งถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลจากการบาดเจ็บที่แขน
 
"พวกเขา (กลุ่มมุสลิมสุดโต่ง) เข้ามาพร้อมกับหมวกเหล็กและหน้ากากซ่อนหน้าตา ใช้ไม้เหล็กและไม้กระบองทุบตีคน" อรีชาดกล่าว "พวกเขาไม่เพียงแค่ทำลายทรัพย์สิน แต่ทำให้มีคนเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาลหลายคน มีเพื่อนของฉันรวมอยู่ด้วย"
 
"พวกเราไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากเจ้าหน้าที่เลย" เธอเล่าต่อ แสดงความขุ่นเคืองใจออกมาให้เห็น "มีชาวอินโดนีเซียจำนวนมากบอกฉันว่า พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถรายงานเรื่องการข่มขู่คุกคามและการใช้กำลังแบบอันธพาลได้ เพราะจะไม่มีคนระดับสูงคนไหนทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้"
 
"หากพวกเขารายงานเรื่องนี้ พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ถูกกระทำรุนแรงในท้ายที่สุด หากพวกเขาไม่ ความรุนแรงก็ยังจะดำเนินต่อไป ดังนั้นพูดตรงๆ เลยคือ สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นกับรัฐพหุนิยมนี้ กำลังเดินไปตามรอยทางของปากีสถาน แทนที่จะไปในทิศทางเดียวกับประชาธิปไตยที่แท้จริง"
 
กลัว 'การไม่ยอมรับความต่าง' กลายเป็นเรื่อง 'ตกสำรวจ' 
ผู้สังเกตการณ์การเมืองในอินโดนีเซียหลายคนเป็นห่วงในเรื่องนี้
 
"ในเดือน ส.ค. 2011 มีเหตุเผาโบสถ์ 3 แห่งในสุมาตรา" แอนเดรีย ฮาร์โซโน จากฮิวแมนไรท์วอทช์ เขียนไว้ในบทบรรณาธิการล่าสุดของนิวยอร์กไทม์
 
"ไม่มีใครถูกตั้งข้อหาเลยสำหรับกรณีนั้น... ต่อมาเกิดการจู่โจมที่โหดเหี้ยมที่สุดในเดือนก.พ. ชายชาวอาเมดิส 3 คนถูกสังหาร ศาลได้ดำเนินคดีกับกลถ่มติดอาวุธ 12 คนในกรณีนี้ แต่ก็ตัดสินคดีแบบโทษไม่หนักมากเพียงแค่จำคุก 4-6 เดือน"
 
นักสิทธิมนุษยชนกลัวว่า การไม่ยอมรับความต่างทางศาสนาในอินโดนีเซียกำลังกลายเป็นเรื่องที่ตกสำรวจ
 
"ในตอนนี้มีกรณีการไม่อดทนยอมรับความแตกต่างเกิดขึ้นในอินโดนีเซียเกือบทุกวัน" โบนาร์ ไนโปโปส นักวิจัยจากสถาบันเซทารากล่าว
 
"มีการเพิ่มขึ้นของกรณีแบบนี้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรกับมันเลยเพราะว่าพวกเขากลัวว่าจะเสียคะแนนเสียงของชาวมุสลิม แม้ว่าชาวมุสลิมส่วนมากในอินโดนีเซียจะเป็นสายกลาง เป็นพลังเงียบที่เป็นเสียงข้างมาก ถ้าหากพวกเราไม่แก้ไขตรงนี้ พวกเราอาจจะแปรสภาพจากประเทศสายกลางกลายเป็นประเทศที่ถูกควบคุมโดยพวกหัวรุนแรง"
 
แต่รัฐบาลอินโดนีเซียก็ปฏิเสธคำวิจารณ์นี้
 
รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์ตี นาตาเลกาวา กล่าวปกป้องจุดยืนของรัฐบาลอย่างแข็งขัน
 
"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหตุหนึ่งก็ถือว่ามากเกินไป" มาร์ตีกล่าว "แต่สถานการณ์มันไม่ได้ย่ำแย่หนักขาดที่คุณพูดถึง อินโดนีเซียในตอนนี้เป็นประชาธิปไตยและเป็นสังคมที่เปิดกว้างมาก... พวกเรามีพันธกิจในการส่งเสริมการยอมรับความแตกต่างทางศาสนา"
 
"และในเหตุการณ์ที่อ้างพูดถึงนั้น ผมจะกล่าวอย่างชัดเจนและเด็ดขาดว่า การกระทำเหล่านี้ไม่มีพื้นที่ให้กระทำแน่ พวกเราจะประณามมันอย่างเต็มที่ให้ถึงที่สุด"
 
แต่นักวิจารณฺ์ก็บอกว่า แค่การประณามไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นนัก
 
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่สร้างตัวขึ้นมาจากปรัชญาของพหุนิยม คำขวัญประจำชาติของประเทศนี้คือ "มีเอกภาพในความหลากหลาย" (Unity in Diversity)
 
แต่การที่รัฐบาลไม่ทำอะไรเลย ทำให้ประเทศนี้ ซึ่งเคยเป็นประเทศแห่งการยอมรับความแตกต่างหลากหลายในภูมิภาคนี้ เริ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียคุณค่าตรงจุดนี้ และขณะเดียวกันก็ได้ทำลายรากฐานที่ใช้สร้างประเทศนี้ขึ้นมา
 
 
 
 
ที่มา
Is Indonesia becoming less tolerant?, Karishma Vaswani, BBC, 29=05-2012
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท