Skip to main content
sharethis

ศาลฎีกาพิพากษาคดีที่ดินลำพูนสิ้นสุด ยกฟ้อง2คน จำคุก1คน หลังคดียื้อมากว่า15ปี นัก กม.ชี้กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถแก้ปัญหาให้ชาวบ้านและคุกมีไว้ขังคนจน  ส่วนภาคประชาชน เฮ ประกาศถือเป็นชัยชนะขั้นต้น ฉวยจังหวะเสนอ5ข้อผลักดันโฉนดชุมชน

วันนี้ ( 6 มิ.ย.55) ณ ศาลจังหวัดลำพูน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดี "บุกรุกทำให้เสียทรัพย์ ความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้" (คดีที่ดินลำพูน) โดยมีจำเลยได้แก่ นายประเวศ ปันป่า นายสืบสกุล กิจนุกร และ นายรังสรรค์  แสนสองแคว โดยมีเครือข่ายภาคประชาชน นักวิชาการจากทั่วประเทศร่วมให้กำลังใจกว่า 500 คน

ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาจำเลยทั้งสามคนเมื่อปี 2551 ว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 73 วรรคสอง (1)  สำหรับ นายประเวศ ปันป่าให้ลงโทษฐานบุกรุกอันเป็นบนลงโทษหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมกับโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นลงโทษมีกำหนดโทษ 6 ปี ส่วนนายสืบสกุล กิจนุกร และนายรังสรรค์ แสนสองแควมีความผิดฐานบุกรุก สนับสนุนทำให้เสียทรัพย์และฐานสนับสนุนการทำไม้สักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90  ให้ลงโทษหนักสุดฐานสนับสนุนการทำไม้สักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ4 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือน และความผิดฐานสนับสนุนการบุกรุกและสนับสนุนให้เสียทรัพย์ เป็นความผิดกรรมเดียวต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษหนักสุดตามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 รวม 2 กระทง จำคุกกระทง 8 เดือน รวมจำคุกคนละ 16 เดือน ความผิดฐานสนับสนุนการบุกรุกจำคุกคนละ 8 เดือน รวมโทษทั้งหมด 48 เดือน(4 ปี)

ศาลฎีกาได้พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับนายประเวศ ปันป่าให้ลงโทษฐานร่วมกันบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา358,365(2) จำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่ามีหลักฐานภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นว่าอยู่ในที่เกิดเหตุจริงซึ่งเป็นประจักษ์พยานเพียงแค่แปลงเดียว ส่วนข้อหาเรื่องการทำไม้ พิสูจน์แล้วเห็นว่าไม่มีไม้ต้องห้ามตามพ.ร.บ.ป่าไม้มีเพียงต้นมะม่วง 20 ต้น จึงไม่มีความผิด

ส่วนกรณีนายสืบสกุล กิจนุกร และนายรังสรรค์ แสนสองแคว ศาลเห็นว่า เนื่องจากมีพยานเพียงคนเดียวและอยู่ห่างจากพื้นที่10 กิโลเมตร รวมถึงไม่เคยเห็นจำเลยทั้งสองเข้าไปในพื้นที่ เพียงแต่ฟังชาวบ้านเล่า  จึงไม่ใช่พยานเชิงประจักษ์นอกจากนี้การที่จำเลยทั้งสองไปร่วมเรียกร้องข้อเรียกร้องต่างๆเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินในช่วงนั้น จึงเป็นการกระทำที่ไม่ได้ขัดต่อกฎหมาย พิพากษาให้ยกฟ้อง

หลังจากศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมยังไม่เป็นกลไกที่จะแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านได้ เพราะคนที่ถูกจำคุก คือ ชาวบ้านที่เข้าไปปฏิรูปที่ดิน ซึ่งจะมีคดีนี้อีกเป็นจำนวนมาก ในแง่หนึ่งคนที่เข้าไปรณรงค์หรือทำงานเชิงนโยบาย ตามบรรทัดฐานคดีนี้คือไม่มีความผิด  แต่ชาวบ้านที่เข้าไปปฏิรูปที่ดินมีความผิด เพราะฉะนั้นคิดค่าควรมีกระบวนการอื่นๆเข้ามาช่วย เช่นนั้นคุกก็จะมีไว้ขัง "คนจน" เท่านั้น

นายรังสรรค์ แสนสองแคว กล่าวว่า การที่ตนสามารถหลุดพ้นผิดจากคดีที่ดินได้เพราะความช่วยเหลือจากพี่น้องทุกคน อยากให้รัฐบาลช่วยเข้ามาแก้ไขปัญหาโดยเดินหน้านโยบายที่ดิน โฉนดชุมชนที่ได้เดินหน้าไปแล้ว

ส่วนขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(P-move)  ที่ชุมนุมให้กำลังใจจำเลยทั้งสามตั้งแต่วานนี้ต่างโห่ร้องแสดงความดีใจ ประกาศเป็นชัยชนะขั้นต้น เนื่องจากศาลยกฟ้องแกนนำสองคน ส่วนอีกคนลดจากโทษ 6 ปี เป็น 1 ปี และได้ส่งตัวแทนประมาณ 50 คน ส่งนายนายประเวศ ปันป่าที่เรือนจำกลางจังหวัดลำพูน 

นายประยงค์ ดอกลำไย เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การพิพากษาชั้นฎีกาเป็นเพียงชัยชนะขั้นแรกเท่านั้น เพราะยังมีคดีที่ดินในลักษณะอีกร้อยกว่าคดี มีคดีที่จะตัดสิ้นในปีนี้อีกสองคดี ดังนั้นเราจึงจะเดินหน้าเจรจากับรัฐบาลต่อไป โดยทาง P-move ได้ประสานงานผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนไปเมื่อวานนี้ เพื่อหาข้อยุติการแก้ไขปัญหาที่สั่งสมมาอย่างยาวนานให้คลี่คลายประเด็นการเจรจาที่ P-move ต้องการเจรจามีอยู่ห้าข้อ คือ

หนึ่ง การเร่งรัดแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนชุมชนในคณะกรรมการบริหารจัดการธนาคารที่ดิน(องค์กรมหาชน)

สอง การดำเนินการโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน 5 ชุมชน(ตามมติครม.22 ก.พ.55 และ 18 มี.ค.54)

สาม การผลักดันพ.ร.บ.การรับรองสิทธที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน(ตามนโยบายรัฐที่แถลงต่อสภา)ในระหว่างที่กฎหมายดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ ให้ดำเนินการระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 และ พ.ศ.2555 

สี่ เร่งรัดแก้ไขกฎหมายป่าไม้ทั้ง 5 ฉบับให้สอดคล้องรัฐธรรมนูญ ในหมวดว่าด้วยสิทธิชุมชนและแนวทางในการยุติการฟ้องร้อง การดำเนินคดีโลกร้อน

ห้า เร่งรัดการแก้ไขปัญหาอื่นๆที่ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(ขปส.)ที่ได้ยื่นต่อรัฐบาลไว้แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ภายหลังรับฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(ขปส.) และเครือข่ายประชาชนที่ร่วมกำลังใจได้เคลื่อนขบวนกลับมายังศาลากลางจ.ลำพูน ได้จัดพิธีบายศรีสู่ขวัญแก่แกนนำทั้งสองคนที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง และแบ่งกำลังบางส่วนเคลื่อนขบวนไปให้กำลังแก่นายประเวศ ปันป่า ที่เรือนจำจังหวัดลำพูน ทั้งนี้ผู้ร่วมชุมนุมทั้งหมดจะกลับมาฟังคำตอบจากรัฐบาลที่บริเวณหน้าศาลากลางจ.ลำพูนในเวลาบ่ายสองโมง.

 

 
ที่มา:ประชาธรรม สถานีข่าวประชาชน

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net