Skip to main content
sharethis

นักข่าวสายสงครามตะวันออกกลาง ชวนมองเหรียญอีกด้านในสงครามกลางเมืองซีเรีย จากแง่มุมของการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งเรื่องความขัดแย้งระหว่างนิกาย เกมตบตาของชาติตะวันตก และการเลือกปฏิบัติของนักประท้วง

 
โรเบิร์ท ฟิสค์ ผู้สื่อข่าวสายตะวันออกกลางของหนังสือพิมพ์ The Independent ของอังกฤษ ผู้เคยรายงานข่าวสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับอัฟกานิสถาน และการบุกอิรักในปี 2003 ได้เขียนบทความเกี่ยวกับบทบาทของชาติตะวันตกต่อสงครามกลางเมืองในซีเรีย ในชื่อ "สงครามซีเรีย สงครามแห่งความเสแสร้งหลอกลวง" โดยบอกว่า แท้จริงแล้วเป้าหมายที่แท้จริงของชาติตะวันตกไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลเผด็จการของซีเรียผู้เหี้ยมโหด แต่เป็นชาติอิหร่านและอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเขา
 
ต่อไปนี้เป็นเนื้อหาของบทความจาก The Independent 
 
0 0 0
 
เมื่อก่อนนี้เคยมีสงครามตะวันออกกลางที่เสแสร้งหลอกลวงอยู่ใช่หรือไม่ สงครามที่แสนขี้ขลาดและไร้จริยธรรม ที่มาจากโวหารปลอมๆ และการสร้างความอัปยศต่อหน้ามวลชน ในที่นี้ตัวผมไม่ได้กำลังพูดถึงเหยื่อในเชิงกายภาพที่เกิดขึ้นจากโศกนาฏกรรมในซีเรีย ผมกำลังกล่าวถึงการโกหกและหลอกลวงของผู้เป็นนายเรา และความเห็นส่วนใหญ่ของประชาชนเราเอง ทั้งฝ่ายโลกตะวันตกและโลกตะวันออกที่ตอบสนองต่อการเข่นฆ่า ดั่งนักเชิดหุ่นผู้ที่เหมาะกับผลงานแนวเสียดสีของโจนาธาน สวิฟท์ มากกว่าจะเป็นตอลสตอย หรือเชคสเปียร์
 
ขณะที่กาตาร์และซาอุดิอาร์เบียให้อาวุธและเงินสนับสนุนแก่กลุ่มกบฏในซีเรียเพื่อโค่นล้มเผด็จการพรรคบาธ นิกายอะลาไวท์/ชีอะ บาชาร์ อัล-อัสซาด แต่สหรัฐฯ ก็ไม่ได้แม้แต่จะกล่าววิจารณ์พวกเขาเลย ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า และ รมต. ต่างประเทศ ฮิลลารี่ คลินตัน บอกว่า พวกเขาต้องการประชาธิปไตยในซีเรีย แต่กาตาร์เป็นประเทศเผด็จการ และซาอุดิอารเบียก็เป็นจอมเผด็จการที่อันตรายที่สุดในประเทศโลกอาหรับ ผู้นำของทั้งสองประเทศต่างก็สืบทอดอำนาจจากครอบครัวเช่นที่บาชาร์ทำ และประเทศซาอุฯ ก็เป็นพันธมิตรกับกบฏนิกายซาลาฟิสท์-วาฮาบี ในซีเรีย เช่นเดียวกับที่พวกเขาเป็นผู้สนับสนุนอย่างแรงกล้าให้กับกลุ่มตอลีบันในช่วงยุคมืดของอัฟกานิสถาน
 
จริงๆ แล้ว ผู้ก่อการสังหารหมู่ด้วยการยึดเครื่องบินเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2001 มี 15 ใน 19 คน ที่มาจากซาอุดิอารเบีย ซึ่งหลังจากนั้น เป็นที่รู้กันว่า พวกเราก็ไปทิ้งระเบิดใส่อัฟกานิสถาน ประเทศซาอุฯ เองก็ทำการกดขี่ชนกลุ่มน้อยนิกายชีอะ เช่นเดียวกับที่ตอนนี้พวกเขาต้องการทำลายชนกลุ่มน้อยนิกายอะลาไวท์-ชีอะห์ ในซีเรีย แล้วแบบนี้พวกเรายังจะเชื่ออีกหรือว่าซาอุดิอารเบียต้องการสร้างประชาธิปไตยในซีเรีย
 
ขณะเดียวกันพวกเราก็มีพรรคซีอะ ฮิซบอลเลาะห์ กับกลุ่มติดอาวุธในเลบานอน ที่เป็นมือขวาของนิกายชีอะห์อิหร่าน และเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลบาชาร์ อัล-อัสซาด กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้คอยปกป้องกลุ่มนิกายชีอะที่ถูกกดขี่ทางตอนใต้ของเลบานอนจากการรุกรานโดยอิสราเอลมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว พวกเขาแสดงตนว่า เป็นผู้ปกป้องสิทธิของชาวปาเลสไตน์เหนือดินแดนเขตเวสท์ แบงค์ กับกาซ่า แต่ก็ต้องเจอกับการล่มสลายอย่างช้าๆ จากพันธมิตรที่เหี้ยมโหดในซีเรีย พวกเขาไม่มีคำพูดใดๆ ไม่ได้พูดอะไรเลยเกี่ยวกับเหตุการณ์ข่มขืนและสังหารหมู่ประชาชนชาวซีเรียโดยทหารของอัสซาดและกองกำลัง 'ชาบิยา'
 
แล้วเราก็ยังมีเหล่าฮีโร่จากอเมริกา คุณเธอคลินตัน รมต.กลาโหม ลีออน พาเนตตา แล้วก็ตัวโอบาม่าเอง คลินตันได้ส่งคำเตือนถึงอัสซาด พาเนตตา คนเดียวกับที่ส่งกองทัพไปอิรักครั้งล่าสุด ผู้ที่เคยโกหกเกี่ยวกับว่า ซัดดัมเกี่ยวข้องกับเหตุ 9/11 ได้ประกาศว่าซีเรีย "เข้าสู่ภาวะควบคุมไม่ได้แล้ว" พวกเขาทำอะไรแบบนี้มาอย่างน้อยหกเดือนแล้ว เขาเพิ่งจะรู้ตัวกันหรือ? แล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โอบาม่าก็บอกกับเราว่า "จากการที่รัฐบาลพวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง พวกเราก็จะทำให้อัสซาดรู้ว่า...โลกกำลังมองเขาอยู่" นี้ไม่ฟังดูเหมือนสมัยหนังสือพิมพ์ Skibbereen Eagle ของเทศมณฑลคอร์ก (ไอร์แลนด์) ประกาศว่าพวกเขา "กำลังจ้องมอง...ซาร์แห่งรัสเซีย" เพราะกลัวว่ารัสเซียจะมีแผนขยายอำนาจไปยังจีนหรอกหรือ
 
แต่ตัวรัฐบาลสหรัฐฯ เองต้องการให้ข้อมูลการใช้ความรุนแรงของบาชาร์ออกมาสู่สายตาพวกเราจริงหรือ? ทำไมเมื่อไมกี่ปีก่อนหน้านี้ รัฐบาลบุชถึงได้ส่งชาวมุสลิมไปยังดามาสกัสให้กับนักทรมานของบาชาร์ทำการถอนเล็บพวกเขาออกเพื่อหาข้อมูล แล้วขังพวกเขาไว้ตามคำขอของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่แหล่งเลวร้ายแหล่งเดียวกับที่กบฏของซีเรียระเบิดทิ้งไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีทูตตะวันตกคอยทำหน้าที่ป้อนคำถามสำหรับเหยื่อให้กับผู้ทรมานนักโทษ บาชาร์ที่เราเห็นนั้น ก็เป็นเด็กน้อยจากผลผลิตของพวกเราเอง
 
แล้วก็ยังมีประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นหนี้บุญคุณเราใหญ่หลวงมากคืออิรัก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อิรักเกิดเหตุระเบิด 29 ครั้งในวันเดียว ใน 19 เมือง ทำให้มีคนเสียชีวิต 111 คน และบาดเจ็บอีก 235 คน ในวันเดียวกันเหตุนองเลือดในซีเรียก็ทำให้มีคนบริสุทธิ์เสียชีวิตไปในจำนวนเท่ากัน แต่เรื่องในอิรักกลายเป็นข่าวหน้าหลังถัดจากซีเรีย เพราะว่า พวกเราได้ให้อิสรภาพแก่อิรักแล้ว ด้วยประชาธิปไตยแบบโทมัส เจฟเฟอร์สัน และอื่นๆ อีกมากมาย จริงไหม? ดังนั้นการสังหารหมู่ในทางภาคตะวันออกของซีเรียไม่ได้มีผลกระทบเท่ากันจริงไหม? สิ่งที่เราทำในปี 2003 ไม่มีอะไรเลยที่ส่งผลทำให้อิรักเจ็บปวดมาจนถึงทุกวันนี้จริงไหม?
 
เมื่อกล่าวถึงการเป็นผู้สื่อข่าวแล้ว ใครกันในหมวดข่าวรอบโลกของ BBC ที่ตัดสินใจว่า การตระเตรียมกีฬาโอลิมปิคควรมีความสำคัญมาก่อนเหตุรุนแรงในซีเรียเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ปกติแล้วหนังสือพิมพ์อังกฤษและ BBC ในอังกฤษ ควรจะกล่าวถึงโอลิมปิคในหมวดข่าวในประเทศ แต่ในการตัดสินใจที่น่าสลดหดหู่ของ BBC พวกเขาเผยแพร่ข่าวรอบโลกเป็นเรื่องการส่งคบเพลิงโอลิมปิคว่า มีความสำคัญกว่าเด็กในซีเรียที่กำลังจะตาย แม้ว่านักข่าวผู้กล้าหาญของพวกเขาจะส่งข่าวมาอย่างทันด่วนจากอเล็ปโป
 
แล้วแน่นอนว่าก็ยังมีพวกเรา เหล่าผู้ที่เรียกตนว่าเป็นเสรีชน ผู้ที่ออกไปประท้วงบนท้องถนนของลอนดอนจากเหตุที่อิสราเอลสังหารชาวปาเลสไตน์ ซึ่งก็เป็นเรื่องถูกต้องอยู่ เมื่อผู้นำทางการเมืองของพวกเราสนุกกับการประณามอาหรับว่าป่าเถื่อนไร้อารยะ แต่กลับขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดวิจารณ์เมื่อกองกำลังอิสราเอลกระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือมองดูพันธมิตรของพวกเขากระทำการเดียวกันในเลบานอน คนธรรมดาอย่างพวกเราควรแสดงให้โลกเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ขี้ขลาดแบบนักการเมือง
 
แต่เมื่อตัวเลขแต้มแห่งความตายในซีเรียสูงขึ้นถึง 15,000 หรือ 19,000 บางทีอาจจะมากกว่าเหตุสังหารหมู่ที่ฉนวนกาซ่าอย่างไร้อารยะโดยฝีมือของอิสราเอลในปี 2008-2009 ถึง 14 เท่า กลับไม่มีผู้ประท้วงคนใดเลย ถ้าไม่นับชาวซีเรียนอกประเทศ ที่จะออกมาเดินบนท้องถนนเพื่อกล่าวหาว่า พวกนั้นกระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมของอิสราเอลไม่เคยมากถึงระดับนี้มาตั้งแต่ปี 1948 ไม่ว่าจะผิดหรือถูกยังไงก็ตาม สิ่งที่นักประท้วงได้สื่อออกไปสรุปง่ายๆ คือ "พวกเราต้องการความยุติธรรมและสิทธิในการมีชีวิตอยู่สำหรับชาวอาหรับ หากพวกเขาถูกเข่นฆ่าโดยชาติตะวันตกหรือพันธมิตรของอิสราเอล แต่ไม่จำเป็นหากพวกเขาถูกเข่นฆ่าโดยพวกชาวอาหรับด้วยกันเอง"
 
และในขณะนั้นเอง พวกเราก็ลืมความจริงใหญ่ๆ ข้อหนึ่ง นั่นคือความพยายามบดขยี้เผด็จการในซีเรียนั้นไม่ได้มาจากความรักที่มีต่อชาวซีเรีย หรือความเกลียดชังต่อเพื่อนเก่าของเราอย่างบาชาร์ อัล-อัสซาด หรือเพราะความไม่พอใจต่อรัสเซีย ซึ่งรัสเซียได้ประทับอยู่ในวิหารของความเสแสร้งอย่างชัดเจน เมื่อเรามองสิ่งที่พวกเขาแสดงต่อเหล่าสตาลินกราดน้อยทั่วซีเรีย
 
ไม่เลย แรงจูงใจของเราทั้งหมดอยู่ที่อิหร่านแ ละความปรารถนาที่จะบดขยี้สาธารณรัฐอิสลามและแผนการนิวเคลียร์นรก ในกรณีที่มันมีอยู่จริง และไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือสิทธิในการมีชีวิตอยู่ หรือแม้แต่ความตายของทารกในซีเรีย ยอดระยำจริง!
 
 
 
ที่มา
Robert Fisk: Syrian war of lies and hypocrisy, The Independent, 29-07-2012

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net