Submitted on Tue, 2012-09-04 23:02
4 กันยายน 2555 องค์กรผู้บริโภคอาเซียนเข้ายื่
ในวันเดียวกัน เวทีประชุมสภาผู้บริโภคอาเซียน ณ โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ ตัวแทนสมาชิกของประเทศต่างๆ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ ได้นำเสนอข้อมูลในเรื่องอั นตรายของผลิตภัณฑ์ที่ หลายประเทศในอาเซียนได้สั่งห้ ามยกเลิกการใช้และห้ามนำเข้ าไปนานแล้ว แต่ยังพบในอีกหลายประเทศร่วมภู มิภาคอาเซียน
นายเซีย เซ็งชุน (Mr. Seah Seng Choon) ผู้อำนวยการสมาคมผู้บริโภคแห่ งสิงคโปร์ กล่าวว่า “ในสิงคโปร์การคุ้มครองผู้บริ โภครุดหน้าไปมาก เมื่อสิบปีที่แล้วได้แบน แร่ใยหินหรือแอสเบสตอสไปแล้ว พอได้ฟังข้อมูลที่ประเทศไทยวั นนี้ ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเลื่ อนการแบนไปอย่างน้อยห้าปี รู้สึกตกใจมากเพราะแม้ ผลของโรคที่เกิดจากแร่ใยหินไม่ ได้เห็นในเวลานี้ แต่ผลกระทบจากการสะสมเริ่มแล้ วตั้งแต่วันนี้ ดังนั้นจึงเห็นด้วยว่าจะต้ องแบนแร่ใยหินทันที เพราะจะได้ไม่มีผลร้ายมากขึ้ นในอนาคต อย่างไรก็ตามในมุมมองเรื่ องการแบนสินค้าที่เกิดขึ้ นในประเทศของสิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันนั้น หากขาดประเทศไทยที่เดียวที่ไม่ มีการแบน ประเทศไทยก็ต้องเป็นแหล่งเดี ยวที่รับสินค้าอันตรายเช่นแร่ ใยหินเข้าประเทศไทยแทนประเทศอื่ นที่ได้สั่งแบนสินค้าไปแล้ว”
นางสาวโมฮานา ปรียา (Ms. Mohana Priya) จากสหพันธ์องค์กรผู้บริ โภคมาเลเซีย กล่าวว่า “ในมาเลเซียนั้น สารบีพีเอ ถูกแบนโดยไม่ยากนักเพราะมีข้อมู ลวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ยืนยันชั ดเจนว่า สารบีพีเอในขวดนม มีผลกระทบต่อสุขภาพทารกและเด็ก ซึ่งทำให้รัฐบาลมาเลเซียตัดสิ นใจอย่างไม่ยากเย็นในการห้ามใช้ สารบีพีเอในขวดนม เพราะว่าเป็นเรื่องสำคัญต่อสุ ขภาพของอนาคตของชาติที่ จะละเลยมิได้”
ในขณะที่ ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริ โภคด้านสุขภาพ (คคส.) กล่าวว่า จากประสบการณ์การจัดการปัญหาสิ นค้าไม่ปลอดภัย หน่วยงานราชการเกี่ยงกันไปมา ไม่มีหน่วยงานที่รับผิ ดชอบโดยตรงเช่น กรณีของบีพีเอ หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับแร่ ใยหิน ทั้งที่มีหลักฐานทางวิชาการอย่ างชัดเจนว่ามีอันตราย ดังนั้นจึงเห็นด้ วยหากประเทศใดในอาเซียนแบนสินค้ าใดสินค้าหนึ่ง ประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซี ยนควรแบนด้วย ไม่เช่นนั้น สินค้าอันตรายที่ถูกประเทศอื่ นยกเลิกแล้วจะเข้ามาทุ่ มตลาดในประเทศที่ยังไม่มี มาตรการเกี่ยวกับสินค้านั้น”
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า “นายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ควรเร่งผลักดันให้เกิดองค์การอิ สระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบอีกครั้งก่อนที่จะเป็ นกฎหมาย ซึ่งองค์การอิสระเพื่อการคุ้ มครองผู้บริโภคจะเป็นกลไกใหม่ ในการรักษาผลประโยชน์ของผู้บริ โภคและเป็นตัวแทนในประเด็นต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อผู้บริ โภคในวงกว้างเช่น สินค้าอันตราย ไม่ว่าจะเป็นกรณีแร่ใยหิน หรือ สารบีพีเอในขวดนม ที่มีการยกเลิกการใช้ ในหลายประเทศในอาเซียน ขณะที่ประเทศไทยไม่สามารถยกเลิ กได้ เพราะไม่มีหน่วยงานที่อยากจะรั บผิดชอบผู้บริโภคอย่างชัดเจนเบ็ ดเสร็จได้”
ทั้งนี้ ในวันพุธที่ 5 กันยายน เวลา 10.30 น. จะมีการแถลง "คำประกาศจุดยืนองค์กรผู้บริ โภคอาเซียน (SEACC Bangkok Declaration)" ด้วย