ศาลปกครองยกฟ้อง คดี 'บ.กัลฟ์ฯ' ฟ้องห้ามเปิด 'สัญญาซื้อขายไฟฟ้า' แต่ยังขอดูเอกสารไม่ได้

คำพิพากษาศาลปกครองกลางยืนตามคำสั่งคณะกรรมการวินิจฉัยฯ เปิดเนื้อหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟฝ.-บริษัทเอกชน แต่ให้คำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งมีผลต่อไปจนกว่าจะพ้นระยะเวลาอุทธรณ์หรือมีคำสั่งศาลปกครองสูงสุด

 
 
เมื่อวันที่ 25 ก.ย.55 เวลา 13.30 น.ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ 1971/2552 ที่เครือข่ายภาคประชาชน 4 เครือข่าย อันได้แก่ เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม เครือข่ายรักษ์แปดริ้ว และเครือข่ายติดตามผลกระทบโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน ร้องสอดเข้าไปเป็นคู่กรณีฝ่ายที่ 3 ในคดีที่บริษัทเพาเวอร์ เจเนอเรชั่น ซัพพลาย จำกัด หรือบริษัทกัลฟ์ เจพี เอ็นเอส จำกัด ฟ้องคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟฝ.) 
 
คดีดังกล่าว โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยฯ ที่มีมติให้ กฟผ.เปิดเผยข้อมูลสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งทำกับบริษัทแก่เครือข่ายฯ ในฐานะผู้ขอข้อมูล และเพิกถอนคำสั่งของกฟผ.ที่เห็นควรเปิดเผยข้อมูลสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
 
สืบเนื่องจากรณีที่ เมื่อวันที่ 10 พ.ย.51 เครือข่ายภาคประชาชนที่คัดค้านโรงไฟฟ้า 4 พื้นที่ ได้มีการชุมนุมและยื่นหนังสือเรียกร้องให้ กฟผ.เปิดเผยสัญญา ที่กฟผ.ได้ลงนามซื้อขายไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) 3 ราย จาก 3 โครงการ คือ 1.โรงไฟฟ้าถ่านหิน บริษัท เก็คโค่-วัน จำกัด ในพื้นที่นิคมมาบตาพุด จ.ระยอง 2.โรงไฟฟ้าก๊าซบางคล้า บริษัท สยามเอ็นเนอร์จี จำกัด ในพื้นที่ ต.เสม็ดเหนือ-ใต้ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา และ 3.โรงไฟฟ้าหนองแซง ของ บริษัท เพาเวอร์เจเนอเรชั่น ซัพพลาย จำกัด ในพื้นที่ อ.หนองแซง จ.สระบุรี และ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา โดยที่ขณะนั้นโรงไฟฟ้าเขาหินซ้อน ของ บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด ในพื้นที่ ต.เขาหินซ้อน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ยังไม่มีการเซ็นสัญญา
 
ทั้งนี้ ศาลปกครองมีคำพิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มีเจตนารมณ์ให้ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารของรัฐ เพื่อสามารถแสดงความคิดเห็นและแสดงออกทางการเมือง เว้นแต่การเปิดเผยนั้น ทำให้เกิดความเสียหายอย่างชัดแจ้ง ประกอบกับ มาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ รับรองสิทธิในการขอข้อมูลข่าวสาร โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ ดังนั้น ผู้ร้องสอดในฐานะประชาชนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาจึงสามารถขอข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐได้
 
ส่วนประเด็นที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าการเปิดเผยข้อมูลตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและข้อตกลงเพิ่มเติมจะทำให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจนั้น ศาลเห็นว่า การเปิดเผยข้อมูลนี้ไม่ถึงขนาดกระทบต่อความเป็นอยู่ของประเทศและเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่ข้อมูลที่ต้องห้ามมิให้เปิดเผย
 
อีกทั้งการเปิดเผยเนื้อหาสัญญาและข้อตกลงก็มิใช่การรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจาก พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ได้กำหนดนิยามของข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ไว้เฉพาะข้อมูลข่าวสารของบุคคลธรรมดาเท่านั้น ไม่รวมข้อมูลของบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคล การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามมิให้เปิดเผยเช่นกัน
 
เมื่อคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนแล้ว การใช้ดุลพินิจในการเปิดเผยข้อมูลย่อมชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการเปิดเผยดังกล่าวไม่ได้ละเมิดสิทธิในเรื่องความลับทางการค้า เนื่องจากเป็นไปเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและตรวจสอบการดำเนินการของรัฐ โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการค้าแต่อย่างใด ดังนั้น ไม่ว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นความลับทางการค้าหรือไม่ก็ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ความลับทางการค้า พ.ศ.2545
 
อย่างไรก็ตาม แม้คำพิพากษาของศาลปกครองจะยืนยันตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งให้คัดถ่ายเนื้อหาสัญญา ที่ไม่คลอบคลุมถึงเอกสารเรื่องความพร้อมจ่ายพลังงานไฟฟ้า และเอกสารเรื่องค่าพลังงานไฟฟ้า ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปตรวจดูได้ แต่ในปัจจุบัน ประชาชนก็ยังไม่สามารถเข้าตรวจดูหรือคัดถ่ายเอกสารดังกล่าวได้ เนื่องจาก ศาลปกครองให้คำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดียังมีผลต่อไปจนกว่าจะพ้นระยะเวลาอุทธรณ์หรือศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 ก.ย.55 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ 1970/2552 คดีหมายเลขแดงที่ 1708/2555 ที่บริษัท กัลฟ์ เจพี ยูที จำกัด หรือบริษัท สยามเอ็นเนอร์จี จำกัด ยื่นฟ้องคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรมและการเกษตร และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟฝ.) เรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจากกรณีเดียวกันนี้ โดยพิพากษายกฟ้อง และให้คำสั่งทุเลาการบังคับสิ้นผลนับตั้งแต่วันมีคำพิพากษา  
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท