Skip to main content
sharethis

งานวิจัยยืนยัน สารเคมีจากอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ปนเปื้อนถ่ายทอดสู่เด็ก ส่งผลต่อพัฒนาการผิดปกติ

28 กันยายน 2555 (กรุงเทพฯ) – ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีพบเด็กที่อาศัยใกล้โรงงานอุตสาหกรรมมีสารตะกั่วในเลือดสูงถึงขั้นอันตราย  และมูลนิธิบูรณะนิเวศนำเสนองานวิจัยยืนยัน สารพิษในสิ่งแวดล้อมส่งผลให้พัฒนาการทางสมองของเด็กผิดปกติอย่างถาวร

สืบเนื่องจากกรณีทารกวัย 8 เดือน ซึ่งเติบโตในโรงงานคัดแยกขยะอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลรามาธิบดีด้วยอาการชักจากพิษสารตะกั่ว โดยมีปริมาณตะกั่วในเลือดสูงกว่าค่ามาตรฐานถึง 17 เท่า ศูนย์วิจัยฯ โรงพยาบาลรามาธิบดีได้ลงพื้นที่ตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารตะกั่วในเลือดของเด็กเล็ก165 คน ที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงโรงงานดังกล่าว พบเด็กผู้ชาย 1 ใน 2 มีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินค่ามาตรฐาน (50 ใน 86 คน หรือ ร้อยละ 58.1) และเด็กผู้หญิง 1 ใน 3 มีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินค่ามาตรฐาน (24 ใน 79 คน หรือ ร้อยละ 30.4)ทั้งนี้ ค่ามาตรฐานของตะกั่วในเลือดที่ยอมรับได้ แม้ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าปลอดภัยแน่นอน คือ10 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)

แพทย์สันนิษฐานว่าสารตะกั่วจากโรงงานฟุ้งกระจายตามลม ตกสู่ดินและแหล่งน้ำ จนเข้าสู่ร่างกายเด็กผ่านระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหารโดยเด็กผู้ชายมีสารตะกั่วในเลือดสูงกว่าเด็กผู้หญิงอาจเกิดจากพฤติกรรมการเล่นของเด็กผู้ชายที่สัมผัสกับฝุ่นและดินมากกว่า

“การได้รับสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐานจะทำให้ระดับไอคิวในเด็กลดลง และยังทำให้ระบบประสาทผิดปกติ เกิดภาวะสมาธิสั้น ความสามารถในการเรียนรู้ผิดปกติ” รศ.นพ. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ รพ. รามาธิบดี กล่าว“กรณีสมุทรสาครเป็นตัวอย่างว่าผู้ประกอบการทำไม่ถูก แม้โรงงานจะถูกสั่งปิด แต่เด็กจะโง่ไปอีกนาน ไม่มีการชดเชย และยังมีโรงงานอื่นๆ อีกจำนวนมาก”

“การตรวจคัดกรองปริมาณตะกั่วในเลือดเด็กควรบรรจุในการตรวจสุขภาพประจำ โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่อาศัยในพื้นที่อุตสาหกรรม” รศ.นพ. อดิศักดิ์ กล่าวเสริม “อาจตรวจเมื่อเด็กเข้ารับวัคซีนเมื่อครบ 1 ขวบและ 5 ขวบ และควรพิจารณาว่าภาคเอกชนจะร่วมแบกรับภาระค่าใช้จ่ายนี้อย่างไร”

ผลงานวิจัยด้านประสาทพิษวิทยาที่เพิ่มขึ้นในยุคหลัง ซึ่งรวบรวมไว้ในหนังสือเรื่อง “บนทางแห่งภัย: เมื่อสารพิษคุกคามพัฒนาการเด็ก” จัดแปลเป็นไทยโดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ ยังชี้ชัดว่า “ค่ามาตรฐาน” ไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด เนื่องจากเด็กและทารกในครรภ์อยู่ระหว่างการสร้างเซลล์สมองและระบบประสาทอันอ่อนไหวต่อสารเคมีหลายชนิด

ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยในสหรัฐฯ หลายฉบับ พบว่าการได้รับสารตะกั่วแม้ในปริมาณน้อย หากเกิดต่อทารกในครรภ์และเด็กเล็ก จะเกิดผลกระทบระยะยาว ซึ่งอาจปรากฏผลภายหลังเมื่อเด็กเติบโตเป็นวัยรุ่น เช่น ภาวะสมาธิสั้น ความสามารถยั้งคิดบกพร่อง หงุดหงิดง่าย และอาจถึงขั้นมีพฤติกรรมก้าวร้าว

“เป็นที่น่าตกใจว่าระดับตะกั่วในเลือดที่จะไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพคือศูนย์นั่นคือต้องไม่มีตะกั่วในเลือดเลยเด็กไทยจึงจะปลอดภัย” ดร. อาภา หวังเกียรติ รองคณบดี วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว  “ถึงเวลาจริงๆแล้วที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องต้องหามาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน ก่อนที่เด็กไทยจะใช้ชีวิตและร่างกายเป็นเครื่องทดสอบสารพิษ จนสังคมไทยเต็มไปด้วยเด็กและผู้ใหญ่ที่มีความบกพร่องของสมองมากเหมือนสหรัฐอเมริกา”

ค่ามาตรฐานความปลอดภัยของสารปรอทลดลงเช่นกันตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เมื่อปี พ.ศ. 2515 สหรัฐฯ กำหนดค่าความปลอดภัยของการได้รับสารปรอทไว้ที่ 34 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม ต่อวัน (mg/kg/วัน) โดยกำหนดจากปริมาณสารปรอทที่เป็นเหตุให้ทารกปัญญาอ่อนอย่างรุนแรงแต่กำเนิดต่อมา นักวิทยาศาสตร์พบว่าเด็กที่ได้รับสารปรอทในปริมาณต่ำกว่าค่าความปลอดภัยดังกล่าว มีไอคิวต่ำ เริ่มพูดและเริ่มเดินช้ากว่าเด็กทั่วไป
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net