Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

ป้ายโฆษณา “ตักบาตรแอปเปิ้ลรับเกรด A” เป็นที่วิจารณ์กันในโซเชียลมีเดีย บ้างก็ว่า “เป็นการมอมเมา งมงาย ไม่ซื่อตรงต่อหลักการพุทธศาสนาที่เน้นปัญญา ความมีเหตุผล” บ้างก็ว่า “นี่เป็นกุสโลบายดึงคนหนุ่มสาวปัจจุบันที่ห่างวัดให้หันมาสนใจใส่บาตรทำบุญ” หรือพยายามพูดให้ดูมีเหตุผลว่า “เมื่อใส่บาตรแล้วสบายใจ จิตสงบก็ทำให้มีสติดูหนังสือ และสอบได้เกรด A” บ้างว่า “มันเป็นสิทธิที่เขาจะทำเช่นนั้นได้ ตราบที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าจะทำการตลาดกับศรัทธาทางศาสนาของชาวบ้านก็เป็นเรื่องปกติ เพราะอะไรๆ ในสังคมปัจจุบันก็เป็นเรื่องการตลาดทั้งนั้น”

แต่ปัญหาที่ผมสนใจคือ ศาสนาที่ใช้ “กุสโลบาย” ทำนองนี้ (ที่ทำกันอยู่ทั่วไป) กำลังเดินสวนทางกับสิ่งที่เรียกว่า “ศีลธรรม” หรือไม่?

ศีลธรรมที่ผมพูดถึง หมาย ถึงศีลธรรมที่อยู่บนพื้นฐานการ “เคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์” ผมกำลังพูดศีลธรรมตามทัศนะของค้านท์ (Immanuel Kant) ซึ่งผมคิดว่า มีความหมายใกล้เคียงกับศีลธรรมตามสาระสำคัญของพุทธ สำหรับค้านท์ศักดิ์ศรีมนุษย์อยู่ที่ศักยภาพที่จะใช้เสรีภาพและเหตุผลเลือก “กฎศีลธรรม” สำหรับตนเอง (ลองคิดเปรียบเทียบหลวมๆ ถ้าสิทธัตถะมัวแต่เดินตามทางของคนอื่น ไม่เชื่อในเสรีภาพและปัญญาของตน ก็ไม่มีพุทธะที่ค้นพบอิสรภาพภายในด้วยตนเอง แน่นอนไม่มีใครค้นพบมันเพื่อคนอื่นได้)

หากมองจากหลักศีลธรรมแบบค้านท์ กุสโลบาย “ตักบาตรรับเกรด A” (หรือ ทำบุญแล้วรวย สวย หล่อ เจริญด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือ “การกระทำภายใต้เงื่อนของการหวังผลตอบแทนใดๆ”) ย่อมไม่ใช่การกระทำที่มีศีลธรรม เพราะความมีศีลธรรมไม่ได้ขึ้นต่อเงื่อนไข หรือผลลัพธ์ที่ต้องการ ไม่ใช่เป้าหมายกำหนดความถูกต้องของวิถี (end justifies means) แต่วิถีหรือตัวการกระทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องในตัวมันเอง ไม่เกี่ยวกับผลที่เป็นบวกหรือลบ ความพอใจ ไม่พอใจ ฯลฯ

เพราะถ้าอ้างผลลัพธ์ที่ต้องการมาตัดสินความถูกต้องของการกระทำ ย่อมมีปัญหาตามมา เช่น ทำให้การกระทำที่ผิดศีลธรรมเป็นสิ่งที่ถูก (ลอกข้อสอบแล้วได้เกรด A ถ้าเอาผลลัพธ์เป็นเกณฑ์ตัดสิน การลอกข้อสอบก็ไม่ผิด เพราะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ) ทำให้การกระทำที่ไม่ใช่เรื่องศีลธรรมกลายเป็นเรื่องทางศีลธรรม (ชมสาวๆ ว่าสวยแล้วเธอปลื้มใจ ถ้าเอาผลคือความปลื้มใจเป็นเกณฑ์ การชมว่าสวยซึ่งเป็นคำพูดธรรมดาๆ ก็กลายเป็นความดีทางศีลธรรมไป) หรือแม้กระทั่งการอ้างประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เพื่อละเมิดความเป็นมนุษย์ของคนส่วนน้อย ก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องทางศีลธรรม (เช่น ใช้ ม.112 เชือดไก่ให้ลิงดู เป็นการจัดการกับคนส่วนน้อยที่อ้างว่าเพื่อคำนึงถึง “ความรู้สึก” ของคนส่วนใหญ่ที่รักเจ้า)

สมมติเราถามว่า “ทำไมเสรีภาพจึงเป็นสิ่งมีค่า?” ถ้าตอบว่า เสรีภาพมีค่าเพราะมันก่อให้เกิดความสุขระยะยาวแก่คนส่วนใหญ่ คำตอบนี้ก็จะมีปัญหาว่า ถ้ามีหลักประกันความสุขระยะยาวที่ดีกว่าเสรีภาพ เช่นความจงรักภักดี เผด็จการโดยธรรม เผด็จการโดยทุนที่ทำให้คนส่วนใหญ่ร่ำรวยสุขสบายได้ หรือ ฯลฯ (ซึ่งใครๆ ก็อาจอ้างได้) เสรีภาพก็ไม่จำเป็น แน่นอน ค้านท์ย่อมไม่ตอบแบบนี้ สำหรับค้านท์เสรีภาพเป็นสิ่งที่มีค่าเพราะว่ามัน “มีค่าในตัวมันเอง” หรือค่าของเสรีภาพอยู่ที่เสรีภาพ ไม่ขึ้นอยู่กับว่ามันจะนำไปสู่ผลลัพธ์อะไร คุณปกป้องเสรีภาพแล้วเจ็บปวด ติดคุก หรือถูกฆ่าตาย ก็ไม่ได้ทำให้เสรีภาพเป็นสิ่งไร้ค่า ในทางตรงข้ามใครที่ทำลายเสรีภาพของเพื่อมนุษย์แล้วสุขสบาย มีอำนาจวาสนา ก็ไม่ได้ทำให้การกระทำที่เลวนั้นเป็นเป็นสิ่งที่ดี หรือมีเกียรติทางศีลธรรมไปได้

ฉะนั้น การกระทำที่ดีจึงเป็นสิ่งที่มีค่าในตัวมันเอง มันไม่ได้มีค่าเพราะว่าเป็นวิถี หรือเป็นเครื่องมือไปสู่สิ่งอื่น ด้วยเหตุนี้ เราจึงทำดีเพื่อความดี ทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อรักษาความถูกต้อง เราปกป้องเสรีภาพ ความยุติธรรม เพราะเสรีภาพ ความยุติธรรมมีค่าในตัวมันเอง ไม่เกี่ยวกับว่าปกป้องเสรีภาพ ความยุติธรรมแล้วใครจะได้หรือเสียประโยชน์ เช่น เป็นหน้าที่ที่เราต้องต่อต้านรัฐประหาร และ/หรือระบบอำนาจใดๆ ที่ทำลายเสรีภาพและความยุติธรรม การต่อต้านนี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องในตัวของมันเอง ไม่เกี่ยวกับว่าใครหรือฝ่ายไหนจะได้ หรือเสียประโยชน์     

ถ้าคำนึงว่าใครจะได้หรือเสียประโยชน์ ก็เท่ากับว่าการได้หรือเสียประโยชน์เป็นเงื่อนไขของความถูกต้องของการปกป้องเสรีภาพและความยุติธรรม แต่นิยามของ “ได้-เสียประโยชน์” เป็นสิ่งที่ลื่นไหลไม่แน่นอนตายตัว การปกป้องเสรีภาพและความยุติธรรมภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวจึงไม่แน่นอนตายตัวไปด้วย เราไม่มีทางปกป้องเสรีภาพและความยุติธรรมในกรณีที่ศัตรู หรือคนที่เราเกลียดจะได้ประโยชน์ (เช่นไม่มีทางที่คนเกลียดทักษิณจะยอมรับการล้างผลพวงรัฐประหาร) หรืออาจสะใจที่ศัตรู คนที่เราเกลียดถูกละเมิดเสรีภาพ หรือถูกกระทำอย่างอยุติธรรม

ฉะนั้น จึงมีแต่การยอมรับว่าเสรีภาพ ความยุติธรรมมีค่าในตัวมันเองเท่านั้น เราจึงจะเกิดสำนึกปกป้องเสรีภาพและความยุติธรรมว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำอย่างปราศจากเงื่อนไข และนี่จึงทำให้การกระทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อความถูกต้อง (เช่น ปกป้องเสรีภาพเพื่อรักษาเสรีภาพ หรือปกป้องความยุติธรรมเพื่อรักษาความยุติธรรม) เป็นไปได้

การยอมรับว่า ความดีความถูกต้องเป็นสิ่งมีค่าในตัวมันเอง (ไม่เกี่ยวกับว่าทำสิ่งที่ดีที่ถูกต้องแล้วจะทำให้ตนเองดูดี เป็นคนดี) อยู่บนฐานของการยอมรับว่า “มนุษย์มีคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเอง” การกระทำที่ดีหรือถูกต้องจึงอยู่บนพื้นฐานของการเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์ทั้งของตนเองและผู้อื่น หรือ “มนุษยชาติ” ทั้งมวล คุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์คือ “ศักยภาพที่จะมีเสรีภาพและเหตุผล” เลือกกฎศีลธรรมสำหรับตนเอง ที่สามารถทำให้เป็นกฎศีลธรรมสากลสำหรับมนุษย์ทุกคนได้ ความคิดดังกล่าวนี้ของค้านท์ถูกอ้างอิงอย่างหนักแน่นในการสนับสนุนหลักสิทธิมนุษยชน ที่วางอยู่บนพื้นฐานของการเคารพคุณค่าสากลที่มนุษย์ทุกคนมีร่วมกัน

ในทัศนะของค้านท์ แม้โดยธรรมชาติมนุษย์อาจถูกชักจูงด้วยอารมณ์ สัญชาตญาณ ความต้องการ กิเลสตัณหาต่างๆ แต่มนุษย์ก็มีศักยภาพที่จะมีเสรีภาพเหนือสิ่งเหล่านั้น เสรีภาพไม่ได้มีความหมายแค่ว่า “ไม่ถูกบังคับ” แต่เสรีภาพคือการกระทำตาม “อัตตาณัติ” (การกระทำที่เป็นอิสระ-autonomously) หมายถึง การกระทำตามกฎที่เรากำหนดให้กับตนเอง ไม่ใช่กฎของธรรมชาติ หรือธรรมเนียมของสังคม

วิธีเข้าใจเสรีภาพตามความคิดของค้านท์ เราต้องเปรียบเทียบ อัตตาณัติที่ตรงข้ามกับ “อัญญาณัติ” (heteronomy) เวลาที่เราทำตามอัญญาณัติ หมายถึงเรากำลังทำตามเหตุปัจจัยที่นอกเหนือจากตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเหตุปัจจัยทางสังคม ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี กฎธรรมชาติ เช่น เราหล่นจากที่สูง (หรือถูกผลัก) ขณะที่เรากำลังตกลงสู่พื้นไม่มีใครบอกว่าเราเป็นอิสระ เพราะการเคลื่อนไหวของเราถูกกำกับด้วยแรงโน้มถ่วง ถ้าบังเอิญเราทับใครตายก็ไม่ต้องรับผิดชอบทางศีลธรรม ค้านท์กำลังจะบอกว่าเราต้องมีเสรีภาพจากการกำหนดโดยสิ่งอื่นๆ การกระทำใดๆ ของเราจึงจะมีค่าทางศีลธรรม [i]

ประเด็นของค้านท์คือ เมื่อเรากระทำสิ่งใดๆ ตามแรงปรารถนา หรือแรงดึงดูดจากสิ่งอื่น เช่น อยากได้เกรด A เราไม่ได้มีเสรีภาพ เพราะเราถูกกำกับโดยสิ่งอื่น (อัญญาณัติ) ไม่ต่างอะไรจากการหล่นจากที่สูงที่เราถูกกำกับโดยแรงโน้มถ่วง เมื่อเรา “ใส่บาตรเพราะอยากได้เกรด A” ดูเผินๆ เหมือนกับว่าเราเลือกอย่างอิสระ เพราะไม่มีใครบังคับ แต่ที่จริงเราไม่ได้เลือกอย่างอิสระ เราถูกความอยากได้ผลลัพธ์ (เกรด A) กำหนดให้เราทำ หรือเกรด A คือเงื่อนไขให้เราใส่บาตร เราไม่ได้เป็นเจ้าของเป้าหมายที่อยู่นอกตัวเรา แต่เราตกเป็นเครื่องมือของเป้าหมาย (ใดๆ) ที่เราไล่ตาม มันคือการที่เราลดทอนความเป็นมนุษย์ของตนเองให้เป็นสิ่งของที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายนอกตัว

โดยเฉพาะเป็นเป้าหมายนอกตัวจาก “การวางเงื่อนไข” โดยคนอื่น คนที่โฆษณาชวนเชื่อให้มาตักบาตรรับเกรด A ก็คือคนที่ใช้เพื่อนมนุษย์เป็นเครื่องมือ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกเขาเอง เช่น พวกเขาอาจจะมีเป้าหมายว่า เพื่อดึงคนให้หันมาสนใจใส่บาตรทำบุญให้มากๆ หรือต้องการให้คนศรัทธาในศาสนามากขึ้น หรือแม้แต่เป้าหมายแบบ “คิดแทน” คนอื่นๆ ว่าเมื่อพวกเขาได้มาใส่บาตรแล้วเขาจะมีความสุข เป็นคนดี ฯลฯ ก็ล้วนแต่เป็นการไม่เคารพความเป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพและเหตุผลในตนเองของคนอื่นๆ ทั้งสิ้น

การมีเสรีภาพจึงหมายถึง การเป็นอิสระที่จะทำตามเหตุผล (ไม่ใช่ทำตามเงื่อนไขชักนำของอารมณ์ความรู้สึก กิเลส กฎธรรมชาติ ศาสนา ประเพณีฯลฯ) นักประโยชน์นิยมอาจมองว่า เราใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือเพื่อให้บรรลุผลประโยชน์ที่ต้องการ มันช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ธอมัส ฮอบส์ เรียกเหตุผลว่า “แมวมองของความปรารถนา” (scout for the desires) ส่วนเดวิด ฮูม เรียกเหตุผลว่า “ทาสของอารมณ์” (slave of the passions)[ii]

แต่สำหรับค้านท์ การใช้เหตุผลที่แสดงว่า มนุษย์มีเสรีภาพเลือกกฎศีลธรรมสากลได้ หมายถึง “เหตุผลบริสุทธิ์เชิงปฏิบัติ” (a pure practical reason) ที่เป็นอิสระจากอารมณ์ อคติ อิทธิพลของเงื่อนไขทางศาสนา สังคม วัฒนธรรม และเหตุผลนี่เองที่รู้ว่าอะไรคือความถูกต้อง และเห็นว่าความถูกต้องคือหน้าที่ที่ต้องทำ หรือทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อความถูกต้องไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์อื่นใด

การใช้เหตุผลตามทัศนะของค้านท์ จึงหมายถึง การมีเจตนาทำสิ่งที่ถูกต้องเพราะเห็นว่ามันถูกต้องโดยไม่ขึ้นกับเงื่อนไขว่าผลลัพธ์จะเป็นบวกหรือลบ เป็นความสุขหรือความเจ็บปวด พอใจหรือไม่พอใจ ฯลฯ สิ่งที่ถูกต้องมันถูกต้องในตัวมันเอง เช่น การพูดความจริงถูกต้องเสมอ ไม่ว่าคนจะชอบหรือไม่ก็ตาม (การมีกฎหมายอย่าง 112 ห้ามพูดความจริงจึงผิดหลักการนี้) การเอาสิ่งที่คนชอบมาล่อ หรือเป็น “กุสโลบาย” ให้คนทำสิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งที่มีค่าหรือมีเกียรติทางศีลธรรม มันไม่ต่างอะไรกับการลงทุนเพื่อหวังกำไรเหมือนการทำธุรกิจทั่วๆ ไป

แน่นอน ผมกำลังพูดถึง “การใส่บาตรแอปเปิ้ลรับเกรด A” เป็นเพียงกรณีตัวอย่าง แท้จริงแล้วสังคมเราเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมการใช้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องมือไปสู่ผลประโยชน์ที่ตนเองต้องการ จึงเป็นสังคมที่ไม่สามารถเดินไปได้บน “หลักการที่ถูกต้อง” คือ หลักเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ จึงเกิดรัฐประหารมากที่สุดในเอเชีย และจึงไม่มีตัวบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร สถาบันไหนจะมี “ความเป็นกลาง” ที่น่าเชื่อถือได้จริง มีแต่หลักการที่ถูกต้องในตัวมันเองเท่านั้นที่มีความเป็นกลางจริงๆ

ผมคิดว่า แก่นสาระของพุทธคล้ายกับค้านท์ (แม้จะมีรายละเอียดบางด้านต่างกัน) เพราะพุทธศาสนามองว่า คุณค่าในตัวเองของมนุษย์คือ “พุทธภาวะ” หมายถึง ศักยภาพที่จะมีเสรีภาพด้านใน และเสรีภาพด้านในจะแสดงตัวออกมาเป็นปัญญาที่ปราศจากการครอบงำ (พูดภาษาค้านท์ คือเป็นอิสระจากอัญญาณัติ- heteronomy) ปัญญา คือการเห็นตามเป็นจริง และเห็นว่าความถูกต้องเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อพอกพูนความต้องการสิ่งอื่นๆ หรือเพื่อไปสู่เป้าหมายอื่นๆ ที่รอคอยอยู่ข้างนอกจากการกระทำที่ถูกต้องนั้นๆ ฉะนั้น “วิถีกับจุดหมายจึงเป็นหนึ่งเดียวกัน” หรือ “จุดหมายที่ถูกต้องงอกงามออกมาจากวิถีที่ถูกต้อง” (ท่านพุทธทาสพูดคล้ายกับค้านท์ว่า “ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่” ซึ่งมีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าจะนำมาพูดเพียงล้อเล่น)

แท้จริงแล้ว ค้านท์ไม่ได้ปฏิเสธอารมณ์ความรู้สึก ความปรารถนา ความต้องการ หรือกิเลสของมนุษย์ หรือไม่ยอมรับความจริงว่า มนุษย์มักทำสิ่งต่างๆ บนเงื่อนไขของการต้องการผลประโยชน์บางอย่าง แต่เขาเห็นว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ฐานอ้างอิงของศีลธรรมได้เลย ศีลธรรมต้องมาจากเสรีภาพและเหตุผลของมนุษย์ และเป็นศีลธรรมที่อยู่บนพื้นฐานของการเคารพคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเองของมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่การใช้ตัวเองและเพื่อนมนุษย์เป็นเครื่องมือไม่ว่าในกรณีใดๆ ฉะนั้น ศีลธรรมคือหน้าที่ที่ต้องเคารพคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเองของมนุษย์!

คิดจากศีลธรรมปกป้องคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเองของมนุษย์แบบค้านท์แล้ว ผมไม่แน่ใจว่าพุทธศาสนาบ้านเราปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ “อย่างมีศีลธรรม” หรือไม่?

 

 

  




[i] ผมสรุปเนื้อหาตรงนี้จาก หนังสือ “ความยุติธรรม: JUSTICE: WHAT”S THE RIGTH THING TO DO?” ของ Mjchael J. Sandel แปลโดย สฤณี อาชวานันทกุล หน้า 146

[ii] อ้างในเรื่องเดียวกัน หน้า 157

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net