ความเปลี่ยนแปลงเชิงวัตถุที่กำลังถาโถมเมืองในอ้อมกอดขุนเขาอย่างเมืองเชียงใหม่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ชื่อชั้นระดับประเทศ “พรอมเมนาดา” ย่านดอนจั่น “เซ็นทรัลเฟสติวัล” ตรงสี่แยกศาลเด็ก “เมยา” โรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟบริเวณสี่แยกรินคำ “แพลทตินั่ม” ในโครงการเชียงใหม่บิสสิเนสพาร์ค คอนโดมิเนียมหลากยี่ห้อแบรนด์ “คาซ่า” ของควอลิตี้เฮาส์บนถนนโชตนา “ศุภาลัยมอนเต้” บริเวณสี่แยกศาลเด็กของศุภาลัย “ดีคอนโด” โดยแสนสิริย่านหลัง มช. “นอร์ท 8” ของเครือแลนด์แอนด์เฮ้าส์บริเวณถนนวงแหวนรอบกลางแม่เหียะ แทรกซึมอยู่ตามมุมเมืองต่าง ๆ แน่นอนเมื่อโครงการเหล่านี้แล้วเสร็จเมืองเชียงใหม่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากกระแสความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ครั้งนี้บางคนมองว่า นี่แหละคือความเจริญก้าวหน้าของเมืองเชียงใหม่ หากแต่คนจำนวนหนึ่งกลับมองในมุมตรงกันข้ามว่าการผุดขึ้นอย่างพร้อมใจกันของโครงการขนาดใหญ่ตั้งแต่ช่วงปี 2554 เรื่อยมา จะสร้างปัญหาให้เมืองเชียงใหม่ในระยะยาว ที่เห็นได้ชัดเจนคือกลุ่มคนเหล่านี้มองว่า โครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ไม่เหมาะทั้งสิ้นทั้งปวงกับความเป็นเมืองเก่าของเชียงใหม่ และสภาพภูมิศาสตร์ของเมืองที่โอบด้วยภูเขา ดังนั้นการมีตึกสูงก็ไม่ต่างอะไรกับการมีกำแพงคอนกรีตกักอากาศเสียไว้ให้สูดดมกลับเข้าไปในร่างกายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทว่าสมการของการลดลงของพื้นที่สาธารณะ และแทนที่ด้วยอาคารสูง อาจไม่ได้ผลลัพธ์เพียงแค่เป็นการใช้ที่ดินอย่างคุ้มค่าตามหลักคิดของนายทุน, เป็นการทำลายอัตลักษณ์ของท้องถิ่นในมุมมองนักอนุรักษ์ หรือเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างที่นักสิ่งแวดล้อมกล่าวอ้าง ในอีกมุมมองหนึ่ง พื้นที่สาธารณะ และ ตึกสูง ยังเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมได้เช่นเดียวกัน
ภายใต้หลากทัศนะของนักอาชญาวิทยาที่มีต่อปัญหาอาชญากรรม ในจำนวนมีแนวคิดสำคัญที่มีชื่อภาษาไทยว่า ความไร้ระเบียบทางสังคม (Social Disorganization) หากกล่าวอย่างรวบรัดเนื้อหาส่วนหนึ่งของแนวคิดนี้มองว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมในด้านต่าง ๆ จะนำมาซึ่งความไร้ระเบียบทางสังคมซึ่งไปลดทอนการควบคุมดูแลซึ่งกันและกันของชุมชน และนี่เองเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการเกิดอาชญากรรม แนวคิดของทฤษฎีนี้ชัดเจนขึ้นเมื่อนำมามองปรากฎการณ์ความเปลี่ยนแปลงของเชียงใหม่ในขณะนี้ การมีพื้นที่สาธารณะให้ผู้คนในชุมชนได้มาใช้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะที่หน่วยราชการจัดสร้างขึ้น, พื้นที่พักผ่อนของหมู่บ้านจัดสรร หรือจะเป็นที่ดินรกร้างสักผืนของผู้มีอันจะกินที่ถูกเหล่าเด็กหนุ่มในชุมชนแผ้วถางให้กลายเป็นสนามฟุตบอลขนาดย่อม หรือแม้แต่ศาลามุงสังกะสีไว้รอรถข้างทาง พื้นที่สาธารณะเช่นนี้ทำให้คนในชุมชนได้มีโอกาสพบปะหน้าตา สร้างปฏิสัมพันธ์ เมื่อมีความรู้สึกผูกพันจะมากหรือน้อยก็ตามแต่ ก็จะทำให้ผู้คนตระหนักต่อชีวิตผู้คนรอบข้างมากขึ้น
ในทางตรงกันข้าม ความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในชุมชนทำให้ความสัมพันธ์ของผู้คนห่างไกลกันมากขึ้น เช่น การเกิดขึ้นของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลใกล้ชุนแม่คาว
ตามแนวคิดทฤษฏีนี้ ชุมชนที่ผู้คนไม่มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิด กลไกการป้องกันอาชญากรรมจะอ่อนแอตามไป เมื่อเกิดอาชญากรรมขึ้นในชุมชนก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงมากกว่าร่วมหาทางแก้ไข เพราะความรู้สึกร่วมต่อส่วนร่วมต่ำนั่นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น คนไม่ได้เลือกที่จะไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ หากแต่เพราะสภาพแวดล้อมต่างหากที่ทำให้สายสัมพันธ์ของผู้คนเปลี่ยนไป ความอ่อนแอจึงเกิดทั้งกับผู้คนและชุมชน ในขณะที่อาชญากรรมกลับเข้มแข็งขึ้นในพื้นที่เหล่านี้
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)