Skip to main content
sharethis

อภิปรายที่ Book Re:public โดย “ชัชวาล ปุญปัน” และ “นิธิ เอียวศรีวงศ์” ตั้งแต่เรื่องอนุภาคพระเจ้า กาลิเลโอ สสารมืดในเอกภพ หนังสือต้องห้าม วิกิลีกส์ จนถึงเรื่องประชาธิปไตยไทย

วันที่ 6 ต.ค. 55 ร้าน Book Re:public จังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดเสวนาในหัวข้อ“โลกแห่งวิทยาศาสตร์ ในโลกแห่งประชาธิปไตย” โดยมี อ.ชัชวาล บุญปัน อดีตอาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นวิทยากร ร่วมพูดคุยโดย ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ และดำเนินรายการโดยพิภพ อุดมอิทธิพงศ์

คลิปอภิปราย "โลกแห่งวิทยาศาสตร์ ในโลกแห่งประชาธิปไตย" (ที่มา: Book Re:public/youtube.com)

 

.ชัชวาล บุญปัน เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงการค้นพบอนุนาคพระเจ้า (God Particle หรือ Higgs Particle) โดยในทางฟิสิกส์มีการศึกษาองค์ประกอบของสิ่งต่างๆ และค้นหาอนุภาคมูลฐานจำนวนมาก นำไปสู่การจัดกลุ่มจัดหมวดหมู่ของอนุภาค และมีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งซึ่งตอนนั้นอายุ 35 ปี คือ Peter Higgs คิดว่ายังน่าจะมีอนุภาคอีกตัวหนึ่ง ปัจจุบันเขาอายุกว่า 80 ปีแล้ว จากการทดลองของ CERN (องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป) ก็ได้ประกาศการค้นพบอนุภาคนี้ เมื่อวันที่ 4 ก.ค.55 โดยก่อนหน้านี้นักฟิสิกส์อีกท่านคือ Stephen Hawking ได้พนันกับเพื่อนว่าจะไม่เจออนุภาคนี้เป็นเงิน 100 เหรียญ จนเมื่อมีการประกาศการค้นพบ เขาก็ได้แสดงความยินดีในการค้นพบความจริงเหล่านั้น

อ.ชัชวาลชวนกลับมามองในประเทศไทย เหตุการณ์ที่ท่านผู้บัญชาการทหารบกได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ว่า คนไทยไม่ควรมีเสรีภาพทางความคิด ซึ่งขัดแย้งในสองโลกสองสังคม ในโลกที่คิดว่าเราเป็นประชาธิปไตย กับโลกที่เป็นวิทยาศาสตร์ จึงอยากจะกล่าวถึงสองโลกนี้ที่แตกต่างกัน และพิจารณาเรื่องเสรีภาพในการแสวงหาความจริง

อ.ชัชวาลอธิบายว่าในโลกวิทยาศาสตร์ กว่าจะพัฒนามาเป็นความรู้ในปัจจุบัน มันเริ่มมาจากความเชื่อในชุดความจริงที่ว่าโลกไม่เคลื่อนที่ ส่วนดวงอาทิตย์และสิ่งต่างๆ เคลื่อนที่รอบตัวเราทั้งสิ้น เรื่องที่น่าสนใจคือบันทึกในทางดาราศาสตร์แต่โบราณที่พูดเรื่องการเคลื่อนที่ย้อนกลับ ดวงดาวต่างๆ ไม่ได้เคลื่อนที่โคจรเป็นวงรอบโลก แต่เคลื่อนที่เป็นวงย้อนกลับเป็นปกติ ก็มีความพยายามอธิบายบนพื้นฐานว่าโลกไม่เคลื่อนที่ โลกอยู่ตรงกลาง เขาจึงพยายามสร้างวงโคจรย่อย ในวงโคจรใหญ่ พยายามให้คำอธิบายบนกระดาษสอดคล้องกับความจริงบนท้องฟ้า

แต่ต่อมา มีการพิสูจน์ทางเลขาคณิต ว่าวงโคจรย่อยมันกลับไม่ได้เคลื่อนที่รอบโลก จุดศูนย์กลางมันเคลื่อนไป ไม่ได้อยู่ที่โลก จึงเกิดคำถามข้อสงสัยขึ้นกับคำอธิบายแบบเดิม นักบวชในสมัยนั้นอย่างโคเปอร์นิคัส จึงมองว่าโลกนั้นเคลื่อนที่ อันอื่นมันเคลื่อนที่เป็นวงกลมตามปกติ ไม่ต้องเคลื่อนที่ย้อนกลับ โลกเพียงแต่เคลื่อนที่อยู่ในวงโคจรวงใน ดาวอังคารอยู่ในวงโคจรวงนอก

แต่สิ่งนี้มันกลับเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะคุณพูดเรื่องโลกเคลื่อนที่ไม่ได้ เพราะในมุมมองทางศาสนา โลกเป็นธาตุที่ไม่สะอาดเปลี่ยนแปลงตลอด แต่ขณะที่สิ่งที่อยู่เหนือดวงจันทร์เป็นธาตุสวรรค์ วัตถุจะอยู่เฉพาะในธาตุของมัน วิธีคิดแบบนี้จึงอันตราย คณะกรรมการคาร์ดินัลในขณะนั้นได้วิจารณ์ความคิดของโคเปอร์นิคัส ความคิดที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาลจึงปักหลักอยู่กับที่ เป็นความคิดนอกรีต โง่เขลา พิลึกพิลั่นในเชิงปรัชญา ส่วนความคิดว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางก็ไร้ตรรกะในเชิงปรัชญา และหย่อนศรัทธา

หรือกรณีบรูโน่ (Giordano Bruno 1548-1600) นักคณิตศาสตร์ ที่เขียนเกี่ยวกับเอกภพไม่มีที่สิ้นสุด ก็ถูกเรียกไปถามว่าคุณยังศรัทธาอยู่หรือเปล่า เมื่อบรูโน่ยืนยันความเชื่อก็ถูกจับเผา ภาษาปัจจุบันเรียกว่า “เบียดเสียดคนไม่ดีไม่ให้มีที่ยืนในสังคม”

หนังสือต้องห้ามของกาลิเลโอ

หลังจากโคเปอร์นิคัสตายไป 89 ปี กาลิเลโอได้เขียนหนังสือบทสนทนาโดยตัวแทนทางความคิด ระหว่าง อริสโตเติล โตเลมี และโคเปอร์นิคัส เถียงกันในประเด็นต่างๆ และหนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือต้องห้าม และกาลิเลโอถูกไต่สวนโดยศาลศาสนา โดยสังฆราชอูรบันที่ 8 และกลายเป็นพระสันตะปาปา ซึ่งเคยเป็นเพื่อนและเคยชื่นชมความคิดของกาลิเลโอเองด้วย แต่มีม้าเร็วได้ลักลอบเอาหนังสือนี้ไปให้นักประวัติศาสตร์นอกกรุงโรม มีการแปลจากภาษาอิตาลีเป็นภาษาละติน จนอีก 20 ปีต่อมามีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ในตลาดมืดราคาของหนังสือเล่มนี้ก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า

การอภิปรายเรื่องการเคลื่อนที่ของโลกต้องโทษหนักถึงขั้นขับออกจากศาสนา และห้ามขาดในการกล่าวถึงโคเปอร์นิคัสไม่ว่าทางใด และห้ามเชื่อว่า “โลกเคลื่อนที่” แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีการพิสูจน์ พลังอธิบายของเรื่องนี้ก็มากขึ้น สิ่งที่กาลิเลโอกล่าวไว้ได้กลายเป็นฐานความเข้าใจให้นิวตันนำมาสร้างกฎการเคลื่อนที่ได้ จนเกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ปฏิวัติอุตสาหกรรม ผ่านไป 180 ปี หนังสือเล่มนี้จึงถูกวาติกันปลดจากการเป็นหนังสือต้องห้าม เวลาผ่านไปอีก 324 ปี สำนักกระทรวงวารสารต้องห้ามของศาสนจักรถูกยุบไป จน 350 ปีผ่านไป พระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ประกาศสนับสนุนปรัชญาของกาลิเลโอ ต่อมาเกือบสี่ศตวรรษ ในปี 1995-1999 ยานกาลิเลโอก็ไปสำรวจดาวพฤหัส ยืนยันการค้นพบของกาลิเลโอ ที่บันทึกดวงจันทร์ของดาวพฤหัสไว้ และเรียกว่าเป็นดาวบริวารดาวพฤหัส กาลิเลโอตั้งชื่อว่าดาวเมเดซี่ (Medici)

จะเห็นสิ่งที่เป็นความจริงมันได้พิสูจน์ตัวเอง และกลายเป็นสิ่งปฏิเสธไม่ได้ สิ่งที่ถูกล้มไม่ใช่ศาสนจักร ไม่ใช่ตัวบุคคล แต่เป็นการล้มความเท็จ ใครก็ตามที่จะสามารถเข้าใจความเปลี่ยนแปลงและข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไป ก็น่าจะอยู่กับความจริงใหม่นั้นได้อย่างยั่งยืน

อ.ชัชวาลชวนกลับมาพิจารณาสังคมไทย ก็พบว่ามีสิ่งต้องห้ามมากมายเลย ตนเคยถามนักศึกษาในชั้นเรียนว่าทราบไหมว่าหนังสืออะไรเป็นหนังสือต้องห้ามบ้าง ส่วนใหญ่แทบจะไม่ค่อยรู้ ในหนังสือ “KING BHUMIBOL ADULYADEJ: A Life’s Work” (2011) ในหน้า 179 ได้พูดถึงหนังสืออีกเล่มหนึ่งว่าข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ ข้อมูลไม่ตรง คนไทยไม่สนใจ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นหนังสือที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสังคมไทย แต่กลับไม่ได้พูดว่าหนังสือเล่มนี้ถูกสั่งห้ามไม่ให้จำหน่ายในประเทศ นั่นคือหนังสือ “The King Never Smile” (2006) กลายเป็นว่าหนังสือเล่มหนึ่งสามารถอ่านได้ ถูกกฎหมาย แต่อีกเล่มถูกห้ามไม่ให้อ่าน

รวมทั้งเอกสารอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือวิกิลิกส์ (Wikileaks) ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับประเทศ มีบทสนทนาของทูตคุยกับบุคคลสำคัญในประเทศ คล้ายกรณีของกาลิเลโอใช้กล้องโทรทัศน์ส่องเข้าไปในจักรวาล เพื่อดูข้อเท็จจริงต่างๆ ในขณะที่จูเลียน อาสซานจ์ (Julian Assange ผู้บริหารวิกิลิกส์) มีฮาร์ดดิสต์อันหนึ่ง แล้วสามารถเผยแพร่ข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ไปทั่วโลกได้ ข้อเท็จจริงสองอันนี้ถูกห้ามเหมือนกัน อ.ชัชวาลกล่าวต่อว่าเคยถามเพื่อนสองคนที่อยู่ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ก็ไม่ได้มีการห้ามเข้าและเผยแพร่เอกสารของวิกิลิกส์ แต่ในประเทศไทยกลับไม่ใช่บรรยากาศแบบนั้น

หลายคนที่ได้รู้ข้อเท็จจริงบ้าง หรือมองเห็นสังคมที่เคลื่อนไปสวนทางกับประชาธิปไตย ก็พยายามที่จะออกมาพูด แต่ก็กลับโดนข่มขู่คุกคาม หรือโดนฟ้องด้วยมาตรา 112 เช่นกรณีของคุณเอกชัย ที่เอาเอกสารวิกิลิกส์ไปขายชุดละ 20 บาท และถูกจับดำเนินคดีขึ้นศาล กรณีนี้น่าจะเป็นกรณีแรกที่เราได้มองเห็นความจริงของการพูดในศาล ศาลได้พูดในคดีนี้ว่า “ถ้าเป็นจริงก็ผิด ถ้าไม่จริงก็โคตรผิดเลย” ซึ่งสามารถแปลเป็นภาษาวิทยาศาสตร์ได้ว่า “ถ้าคุณพูดจริงว่าโลกไม่เคลื่อนที่ คุณผิด และถ้ายิ่งโลกดันไม่เคลื่อนที่จริงอีก คุณยิ่งผิดเลย” โดยไม่ต้องมาพิสูจน์กันว่าโลกนั้นเคลื่อนที่หรือไม่ เพียงแค่เอ่ยว่าโลกเคลื่อนที่ก็ผิดแล้ว มันสะท้อนว่าสังคมประชาธิปไตยเรามันเหมือนย้อนไป 4 ศตวรรษ การแสวงหาความจริงกลายเป็นสิ่งที่ยากลำบากขึ้น

อ.ชัชวาลสรุปว่าในทางวิทยาศาสตร์ มีการพยายามค้นหาเข้าไปในเอกภพ และพบว่าสิ่งที่เราไม่รู้มากกว่าสิ่งที่เรารู้มากเลย เราพบว่าสสารที่เรารู้จักมีแค่ 3.6% อีก 22% เป็นสสารมืด (Dark Matter) และอีก 74% เป็นพลังงานมืด (Dark Energy) เนื่องจากทฤษฎีทีมีอยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถพยากรณ์การเคลื่อนที่ของดาราจักรได้ กลับต้องมีอะไรอย่างอื่นอีกในเอกภพ

“เป็นไปได้ไหมว่าในระบบการเมืองการปกครอง Dark Matter คือ Dark Information เราไม่รู้ข้อมูลอันนั้นเลย แต่มันขับเคลื่อนอะไรบางอย่าง ในขณะที่ Dark Energy ก็คือ Dark Politics คืออำนาจมืดอะไรต่างๆ ที่มันขับเคลื่อนสังคมไปอยู่ตลอดเวลา แล้วทำให้เราไม่มีวันเข้าใจ”

แผนภูมิแสดงอัตราส่วนสสารต่างๆ ในจักรวาล

 

ในช่วงต่อมา .ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้กล่าวเสนอต่อว่า ท้องเรื่องหลักอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เราตั้งแต่โบราณ คือเรื่องของพันธนาการและการปลดปล่อย เรื่องของการที่มนุษย์พันธนาการกัน เอาเปรียบกัน ทำให้เขาไม่มีอำนาจต่อรอง จนหลายร้อยปีต่อมา ก็จะมีคนมาบอกว่าการพันธนาการนั้นไม่เป็นธรรม เปลี่ยนแปลงความคิด และปลอดปล่อยคนจากพันธนาการ โดยเวลาเราพูดถึงพันธนาการ ไม่ได้หมายถึงการใช้กำลังอาวุธ หรือมีพรรคพวกมาก ไปบังคับให้คนอื่นยอมเสียเปรียบ ยอมให้อะไรต่ออะไรเท่านั้น ยิ่งมาถึงโลกปัจจุบันที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แล้วดูประหนึ่งว่าไม่มีพันธนาการ และดูประหนึ่งว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องปลดปล่อย หากในความเป็นจริง พันธนาการก็ยังมีอยู่ ในท่ามกลางการมีการเลือกตั้ง มีความมั่นคงของรัฐสภา เรายังพบว่ายังมีการครอบงำมีพันธนาการผ่านสิ่งหลักๆ สองอย่าง

หนึ่ง คือผ่านสิ่งที่เรียกว่าความคิด ความรู้ หรือที่ชอบใช้คำว่า “วาทกรรม” คือทำชุดของความรู้ ชุดของความจริงอันหนึ่งที่ทำให้ทุกๆ คนในสังคม หรือคนส่วนใหญ่ยอมรับว่าไอ้นั่นคือธรรมชาติ ไอ้นั่นคือความจริง และคือสิ่งปกติ เมื่อไรที่คุณไม่เชื่อสิ่งนั้น ไม่ยอมรับสิ่งนั้น ก็กลายเป็นว่าคุณกำลังวิกลจริต หรือมองโลกผิดปกติ ทั้งหมดนั้นสรุปสั้นๆ ก็คือความรู้นั่นเอง ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือพันธนาการของโลกยุคใหม่ที่มีพลังอย่างยิ่ง ความรู้ที่ถูกจัดองค์กรไว้เรียบร้อย (Organize) แล้ว ถูกสถาปนาขึ้นเหนือการสงสัยต่างๆ ของเรา

และสอง คือเงิน ซึ่งกลายไปเป็นตัวแทนของทรัพยากรอื่นๆ ทั้งหมด เพื่อจะครอบครองทรัพยากรไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร คุณใช้เงินไปครอบครองได้หมด อำนาจสองแบบนี้ได้ขัดขวางประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

ศ.ดร.นิธิกล่าวต่อถึงวิทยาศาสตร์ ในระยะแรกนั้นได้ทำหน้าที่ปลดปล่อยพันธนาการที่มีมาก่อน นั่นคือพันธนาการจากศาสนา และการจัดสรรอำนาจบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อเหล่านั้น วิทยาศาสตร์แบบของกาลิเลโอ ของโคเปอร์นิคัส ของนิวตันก็ตาม มันได้ไปทำลายอำนาจที่ปลูกฝังผ่านประเพณี ที่มีมานานในยุโรป ในแง่นี้วิทยาศาสตร์ไปช่วยเสริมอำนาจของคนที่สามารถหาเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ หรือคนที่พิสูจน์เชิงประจักษ์ได้เก่งที่สุด กลายไปเป็นผู้สามารถตัดสินนโยบายสาธารณะต่างๆ ได้ วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์จึงเปลี่ยนอำนาจของคนไปพร้อมกัน จึงมีผลในทางการเมืองค่อนข้างมาก จึงมีผลในการปลดปล่อยทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ การปลดปล่อยวิชาความรู้ หรือโลกทัศน์อย่างมาก

แต่อีก 300-400 ปีต่อมา วิทยาศาสตร์ไม่ได้ทำหน้าที่แบบนั้นแล้ว ตรงกันข้ามมันกลายเป็นเครื่องมือการสร้างพันธนาการแบบใหม่ด้วยซ้ำไป เช่น การใช้เทคโนโลยีต่างๆ หรือการสร้างระบบความรู้ ที่ใช้วิธีวิทยาในเชิงวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเนื้อหาสาระ ที่ทำให้คนอื่นๆ เถียงไม่ได้ เช่น เวลานักวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่มีพระเจ้าหรือไม่มีนิพพาน หากก็มีสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถจะรู้ได้ในโลกนี้อีกมากเลย แต่วิทยาศาสตร์ได้เสนอตัวเองประหนึ่งว่าให้คำตอบสุดท้ายทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ชีวิต หรือจักรวาล ในแง่นี้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กลายเป็นเครื่องมือของการครอบงำ

อีกด้าน คือวิทยาศาสตร์ได้ฝากตัวเองกับทุนอย่างแนบแน่น หรือทุนฝากตัวเองกับวิทยาศาสตร์ก็ตาม ทุนกับวิทยาศาสตร์ได้กลายเป็นสองฝ่ายที่มีผลประโยชน์ร่วมกันสูงมาก จนกระทั่งมันถูกใช้เป็นเครื่องมือในการที่ทุนจะเอาเปรียบเยอะมาก และเป็นเครื่องมือที่โต้แย้งลำบาก เช่น อุตสาหกรรมยาทีสนิทแนบแน่นกับวิทยาศาสตร์ ก็สามารถใช้รัฐเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองกับประเทศคู่ค้าต่างๆ

ศ.ดร.นิธิสรุปว่าในแง่นี้ 400 ผ่านไป วิทยาศาสตร์ก็อาจจะไม่ได้เป็นมิตรกับประชาธิปไตยเหมือน 400 ปีก่อน มันอาจกำลังพันธนาการมนุษย์อยู่ในทุกวันนี้ก็ได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net