Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วัฒนธรรมการเล่าข่าวทางทีวีได้รับความนิยม นักข่าวทางหน้าจอทีวีได้เปลี่ยนสถานะจากผู้อ่านข่าว คอยรายงานสถานการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น มาสู่ผู้แสดงความคิดเห็น ผสมผสานระหว่างการรายงานและวิเคราะห์วิจารณ์ไปในตัว

เดิมทีสื่อมวลชนสายทีวีไม่ได้มีพื้นที่สื่อมากมายให้แสดงความคิดเห็นส่วนตัว ด้วยเหตุผลเรื่องเวลาในสื่อทีวีที่มีอยู่อย่างจำกัดประกอบกับรูปแบบในการนำเสนอเนื้อหาที่เน้นการรายงานข่าว ซึ่งตามหลักการต้องห้ามแสดงความคิดเห็นลงไป ต่างจากสื่อสิ่งพิมพ์ที่นักข่าวสามารถวิเคราะห์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นผ่านบทความซึ่งถูกกำหนดพื้นที่ไว้เผื่อไว้อยู่แล้ว

เมื่อผู้ประกาศทางทีวีสามารถแสดงความคิดเห็นในข่าวได้ ผู้ชมจำนวนไม่น้อยจึงรับชมไปพร้อมๆ กับซึมซับเอาความคิด ทัศนคติ ต่อประเด็นๆ ต่างของผู้ประกาศเหล่านั้นไปด้วย ทุกวันนี้เราเห็นได้หลายปรากฏการณ์ที่รายการเล่าข่าวและตัวผู้ประกาศมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวาระความสำคัญของสังคม และที่สำคัญคือผู้ชมไม่น้อยคิดว่าความคิดทัศนคติที่ถูกพูดถ่ายสื่อออกมานั้นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ว่ากันกลายๆ ผู้ประกาศทางทีวีมีสถานะเป็น Opinion Leader ที่ผู้ชมพร้อมเงี่ยหูรับฟังความคิดเห็น

พอมีเฟซบุ๊กด้วยแล้ว ผู้ประกาศข่าวหลายคนสร้างเว็บแฟนเพจขึ้นมาเพื่อแสดงความคิดเห็นส่วนตัวโดยเฉพาะ แต่ละเพจนั้นมีผู้เข้าไปติดตามเป็นจำนวนมาก มีสเตตัสใหม่ๆ เมื่อใด มียอดกดไลค์หลักพัน คนร่วมแสดงความคิดเห็นเป็นร้อยๆ

หลายครั้งการพูดในทีวีไม่สามารถพูดได้เต็มปาก ต่างจากการพิมพ์ผ่านเฟซบุ๊กที่เป็นอิสระ ถึงไหนถึงกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หลายๆ ครั้งการแสดงความคิดเห็นมักไม่ได้ไตร่ตรองตรรกะให้ถ้วนถี่ คิดอยากจะโพสต์อะไรก็โพสต์ ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์ตามมาในแง่ความไม่สมเหตุสมผลไม่น้อย

ล่าสุด ผู้ประกาศชื่อดังท่านหนึ่งโพสต์ถึงที่มาของแสลงคำว่า “จุงเบย” ว่าเกิดจากตัวอักษรในมือถือใกล้กัน เลยกดพลาดไปโดน พร้อมกับบอกว่าการพิมพ์ผิดได้รับความนิยม เลยเข้าใจได้ว่าทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญให้นักโทษพ้นผิด

(ข้อความเต็มๆ ว่าดังนี้ "เพิ่งรู้นะ คำว่า "จุงเบย" ที่มาจาก "จังเลย" มาจากแป้นพิมพ์สระอุ อยู่ใกล้กับไม้หันอากาศ และ บ อยู่ใกล้กับ ล แค่เนี้ย?? การพิมพ์ผิดกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยม สามารถใช้ได้ มิน่าล่ะ..นักโทษที่ยังไม่ได้ชดใช้ความผิด..แล้วพยายามแก้รัฐธรรมนูญ ล้มกฎหมายแม่มันซะเลย ตัวเองจะได้กลายเป็นคนบริสุทธิ์..สบายจุงเบยเนอะ")

หากมาดูกันที่เนื้อสาร อะไรคือตรรกะของสเตตัสนี้ เชื่อมโยงกันได้อย่างไร การเอาเรื่องการพิมพ์ผิดมาเกี่ยวข้องกับการแก้รัฐธรรมนูญมันคือเรื่องเดียวกันหรือ แม้โลกนี้จะมีทฤษฎี chaos ที่กล่าวว่าทุกสิ่งเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งบนโลกล้วนเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน ทว่าลำพังเรื่องพิมพ์ บ. กับ ล. ลิงแล้วคิดอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร แถมคำว่า “มิน่าล่ะ” นี่ช่างน่าสงสัยว่าทำหน้าที่สื่อความใดในประโยค

แน่นอนว่าเฟซบุ๊กเป็นที่ที่ใครก็สามารถโพสต์อะไรก็ได้ (และก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลตรรกะใดๆ ด้วย) ทว่าในฐานะที่ผู้ประกาศข่าวได้ยกสถานะตัวเองกลายเป็นบุคคลสาธารณะที่มีผู้ติดตามความคิดเห็นอยู่เสมอ การโพสต์อะไรย่อมต้องครุ่นคิดให้ดี มิฉะนั้นแล้วอารมณ์อยากเพียงแค่กระแนะกระแหนจะกลายเป็นหนามแหลมคมย้อนกลับมาทิ่มแทงให้เจ็บช้ำในภายหลัง

ลำพังกระแนะกระแหนด้วยแค่ต้องการให้แฟนคลับมากดไลค์และพิมพ์ด่า “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” ต่อยอดไปเรื่อยๆ โดยไม่สนว่าเรื่องที่พิมพ์จะจริงจะเท็จ จะใช้ตรรกะเหตุผลดีอย่างไร ท้ายที่สุดก็ได้แค่ความสะใจชั่วครั้งชั่วคราว สวนทางกับเครดิตที่เคยมีก็เริ่มจางหายเพราะคนสงสัยในความคิดและการใช้เหตุผล (ซึ่งสำคัญมากๆ สำหรับผู้ที่เป็น Opinion Leader)

แต่ก็เอาเถอะ จะใช้อย่างไรก็สิทธิ์ของแต่ละคน วันข้างหน้าที่เครดิตหาย พูดอะไรไม่มีใครเชื่อ บทบาทของความเป็นสื่อมวลชนเริ่มสั่นคลอน ก็น่าคิดว่าจะยังทำงานในวงการสื่อต่อไปได้อีกหรือเปล่าหนอ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net