บันทึกคำบอกเล่าจำเลย: 'พินิจ จันทร์ณรงค์' จากแรงงานต่างประเทศ สู่ นักโทษคดีเผา CTW

 

พินิจ จันทร์ณรงค์ เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ (Central World – CTW) เหตุเกิดเมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 เขาถูกจับกุมตัวที่ลานจอดรถของห้าง ทุกวันนี้เขาอยู่ที่เรือนจำพิเศษหลักสี่ร่วมกับผู้ต้องขังเสื้อแดงในคดีเกี่ยวเนื่องทางการเมืองคดีอื่นๆ

คดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์นี้มีผู้ต้องหาร่วมกันอีกคนหนึ่งคือ สายชล แพบัว รวมถึงเยาวชนอีก 2 คนซึ่งได้รับการประกันตัวและต่อมาศาลเยาวชนได้พิพากษายกฟ้องไปเมื่อ 12 ธันวาคม 2555  (อ่านที่ศาลยกฟ้อง 2 เยาวชน จำเลยคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เจ้าตัววอนเยียวยา "เรียนและงาน") เยาวชนทั้งสองยังโดนข้อหาปล้นเซ็นทรัลเวิลด์ด้วย แต่ภายหลังศาลก็สั่งยกฟ้องเช่นกัน (อ่านที่ยกฟ้อง 2 เยาวชน คดีปล้นเซ็นทรัลเวิลด์ ปี 53-ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รอกำหนดโทษ 1 ปี) ขณะที่คดีปล้น จำเลยที่เป็นผู้ใหญ่อีก 7 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิง 2 คนถูกขังยาว 1 ปีครึ่งก่อนศาลจะพิพากษายกฟ้อง (อ่านที่ยกฟ้อง! เสื้อแดงปล้น CTW ฝ่าฝืนพ.ร.ก.สั่งจำคุกครึ่งปี หลังถูกขังปีครึ่ง)

วันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมาที่ศาลอาญากรุงเทพใต้คดีนี้สืบพยานเสร็จสิ้น ก่อนนัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 25 มี.ค.นี้ เวลา 9.00 น.

เราคุยกับสายชลผู้ต้องหาร่วมในคดีนี้ไปแล้ว (อ่านที่ บันทึกคำบอกเล่าจำเลย: สายชล แพบัว ) และครั้งนี้เป็นการพูดคุยกับพินิจ ทั้งหมดเป็นเพียงคำบอกเล่าของเขา ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้พูดกับสังคม ส่วนที่เหลือนั้นคงขึ้นกับวิจารณญาณผู้อ่าน

 

พินิจ จันทร์ณรงค์ เป็นชาว อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2527 ฐานะทางบ้านแม้ไม่ร่ำรวยแต่ก็ไม่ยากจน เขาชอบที่จะทำงานหารายได้มากกว่าเรียนหนังสือ หลังจากที่เขาจบการศึกษาชั้น ม.3 จาก ร.ร.หนองบัวแดงวิทยาคม เขาจึงเดินทางเข้ามากรุงเทพโดยอาศัยอยู่กับน้าและทำงานเป็นพนักงานในโรงงานขนาดเล็กผลิตภาชนะพลาสติกแห่งหนึ่งแถวหนองแขม ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ทำงานของน้าโดยมีได้รายได้เพียงวันละ160 บาท

1 ปีผ่านไปรายได้ไม่สัมพันธ์กับรายจ่ายเขาจึงลาออก และกลับไปเรียนต่อปวช.สาขาไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่วิทยาลัยสารพัดช่างชัยภูมิจนสำเร็จการศึกษาเขาเดินทางไป จ.อยุธยาเพื่อทำงานในโรงงานอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่งใน อ.วังน้อยโดยทำหน้าที่ Quality Assurance (QA) เขาเช่าห้องอยู่คนเดียวโดยมีได้รายได้เพียงวันละ180 บาท

8 เดือนผ่านไปรายได้ไม่สัมพันธ์กับรายจ่ายเขาจึงลาออกอีกครั้ง ครั้งนี้บิดาของเขาแนะนำให้เขาเรียนเรียนวิชาชีพช่างไม้เพื่อที่จะได้ไปขุดทองที่ต่างประเทศ เขาจึงเรียนวิชาชีพช่างไม้ในโรงเรียนฝึกอาชีพแห่งหนึ่งแถวดอนเมือง แม้จะใช้เวลาเรียนเพียง3 เดือนแต่ค่าเล่าเรียนสูงถึง 100,000 บาททางบ้านยอมกู้เงินเพื่อให้เขาเรียนเพราะหวังให้เขาไปขุดทองที่ต่างประเทศ(โรงเรียนแห่งนี้รับรองผลผู้ที่จบการศึกษาจะได้ไปทำงานต่างประเทศ)

หลังจบการศึกษาเขาเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อทำงานในโรงงานผลิตท่อสแตนเลสสำหรับใช้ในโรงกลั่นน้ำมันโดยทำสัญญาการจ้างงานเป็นเวลา1 ปี เขามีรายได้วันละ 35 ดอลล่าสิงคโปร์(ประมาณกว่า800 บาท) และได้ค่าล่วงเวลา(OT) อีกชั่วโมงละ 5 ดอลล่าสิงคโปร์ (ประมาณกว่า100 บาท) ระหว่างที่เขาทำงานอยู่ที่นี่เขาอาศัยอยู่ในย่านชุมชนชาวไทยในสิงคโปร์ทุกเดือนเขาจะส่งเงินกลับบ้านประมาณ 10,000 บาท

ที่แห่งนี้แม้จะมีรายได้สูงกว่าประเทศไทยมากแต่เขาก็ทนคิดถึงบ้านไม่ไหว หลังครบสัญญา 1 ปีแม้โรงงานจะให้เขาต่อสัญญาอีกแต่เขาก็ปฏิเสธ และเลือกที่จะกลับประเทศไทย แต่ก่อนที่จะกลับประเทศไทยเขาได้จดรายละเอียดการรับสมัครงานของบริษัทหลายแห่งของที่นี่ (ป้ายรับสมัครงานคนไทยมีติดตามร้านค้าย่านชุมชนชาวไทยในสิงคโปร์) เผื่อว่าในอนาคตเขาจะกลับมาทำงานที่นี่อีกครั้งเขากลับประเทศไทยพร้อมกับเงินเก็บกว่า 100,000 บาท

หลังจากที่เขากลับมาอยู่จ.ชัยภูมิเขาทำงานที่ Index Living Mall ในอ.เมืองโดยมีได้รายได้เพียงวันละ 200 บาทระยะทางที่ห่างไกลเขาจึงต้องอาศัยอยู่ในอ.เมือง โดยเช่าห้องอยู่คนเดียวหลายเดือนผ่านไป เขาคิดที่จะกลับไปทำงานที่สิงคโปร์อีกครั้งการสมัครงานครั้งนี้ง่ายกว่าครั้งก่อน เพราะไม่ต้องเสียค่านายหน้าเขาเขียนจดหมายสมัครงานโดยตรงกับบริษัทที่รับสมัครงานในสิงคโปร์

เดือนเม.ย. 53 มีการชุมนุมที่หน้าศาลากลาง จ.ชัยภูมิเป็นการชุมนุมหลังการสลายการชุมนุม10 เม.ย. 53 เขารู้สึกไม่พอใจที่ทหารใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมดังนั้นเขาและพี่ชายจึงเดินทางเข้าร่วมการชุมนุมด้วยหลายวันโดยร่วมชุมนุมหลังจากเลิกงานมีแกนนำท้องถิ่นหลายคนระดมคนเข้าไปในกรุงเทพ เขาและพี่ชายจึงเดินทางเข้ากรุงเทพด้วยโดยเสียค่าเดินทาง 400 บาท พวกเขาต้องเช่ารถแท็กซี่เพราะขึ้นรถที่แกนนำฯจัดไว้ไม่ทัน

เมื่อเดินทางมาถึงสี่แยกราชประสงค์เขาและพี่ชายอาศัยอยู่กับเต็นท์ของจ.ชัยภูมิ เขาและพี่ชายชอบเดินไปทั่วบริเวณทั้งใน-นอกสี่แยกราชประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ร่วมชุมนุม เขาและพี่ชายปักหลักอยู่ที่นี่ตลอดจนถึงวันที่19 พ.ค. 53 แม้รัฐบาลจะประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่พวกเขาก็ไม่ยอมออก เขาและพี่ชายอยู่ร่วมในเหตุการณ์โดยตลอดและยืนยันว่าเหตุการณ์การยิงเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 53 แล้ว

ในวันที่19 พ.ค. 53 หลัง ศอฉ. สลายการชุมนุมและแกนนำ นปช. มอบตัวแล้วตอนนั้นเขาอยู่ที่ศาลาแดง (ถ.สีลม) ส่วนพี่ชายของเขาอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์ หลังจากที่เขาทราบข่าวแกนนำนปช. มอบตัวจากเครื่องกระจายเสียงเขาก็รีบเดินทางกลับมาที่สี่แยกราชประสงค์เพื่อตามหาพี่ชายที่วัดปทุมวนาราม เพราะตอนนั้นแกนนำ นปช. ประกาศให้ผู้ชุมนุมเข้าไปหลบในวัดปทุมวนาราม

เขาเดินเท้ามาถึงวัดปทุมวนารามเวลาประมาณ 12.00 น. เขาพยายามตามหาพี่ชายในวัดปทุมวนารามเป็นเวลากว่า1 ชม. แต่ก็ไม่พบเขาพยายามโทรศัพท์หาพี่ชายหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีสัญญาณเขาได้ยินเสียงปืนตลอดเวลาบริเวณถนนด้านหน้าวัดปทุมวนาราม

ผู้ชุมนุมทยอยเข้ามาในวัดปทุมวนารามมากขึ้นเรื่อยๆ จนภายในวัดแน่นขนัด ผู้ชุมนุมบางคนบอกกับเขาว่าผู้ชุมนุมหลายคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บและถูกส่งตัวไป รพ.ตำรวจ (ฝั่งตรงข้ามเซ็นทรัลเวิลด์) เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปในรพ.ตำรวจเพื่อตามหาพี่ชายตอนนั้นเสียงปืนดังลั่นไปทั่วผู้ชุมนุมจำนวนมากพยายามหลบเข้าไปในรพ.ตำรวจ แต่เจ้าหน้าที่ รพ.ตำรวจปิดประตู เขาพยายามปีนรั้วเข้าไปแต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ไล่ลงมา

เสียงปืนยังคงดังสนั่น เขาก้มหมอบลงกับพื้นและคลานไปหลบหลังเสาของรถไฟฟ้าBTS ด้วยความกลัวเขาจึงพยายามหาที่หลบภัยแห่งใหม่ที่ปลอดภัยกว่า จึงคลานเลาะมาทางเซ็นทรัลเวิลด์ (ด้านทางออกจากลานจอดรถข้างวัดปทุมวนาราม) ตอนนั้นเขาคิดจะกลับเข้าวัดปทุมวนารามอีกครั้ง แต่เห็นคนเสื้อแดงหลายคนตะโกนบอกว่าไม่ต้องเข้ามา ดังนั้นเขาจึงต้องเดินเข้าไปหลบในช่องที่รถออกจากลานจอดรถของเซ็นทรัลเวิลด์ เขายืนยันว่าเวลานั้นเซ็นทรัลเวิลด์ยังไม่เกิดเพลิงไหม้

เมื่อเดินเข้าไปในลานจอดรถชั้นใต้ดินของเซ็นทรัลเวิลด์ เขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจเพราะไม่เห็นใครอยู่ในนี้เลยแม้แต่คนเดียว ทางเดินมืดมาก เขาเดินเข้าไปที่บันไดด้านข้าง ทันใดนั้นมีตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา

ตำรวจถามว่าเขามาทำอะไรที่นี่เขาตอบว่า “มาซ่อนตัว” ตำรวจสั่งให้เขาหมอบลงกับพื้นเขาปฏิบัติตาม หลังจากนั้นตำรวจค้นตัวของเขาโดยละเอียดแต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด จากนั้นตำรวจบอกว่าให้ตามมาเพราะเดี๋ยวจะมีรถมารอรับที่ชั้น 3

เขาเดินตามตำรวจขึ้นบันไดลานจอดรถเมื่อถึงชั้น 3 ตำรวจหันหน้ามาบอกกับเขาว่า"เดี๋ยวรัดสายข้อมือนะ"

ตำรวจเอาสายรัดข้อมือพลาสติกมารัดข้อมือทั้งสองข้างของเขาไพล่หลังตำรวจพาเขาเดินลึกเข้าไปด้านในของลานจอดรถเขาเห็น รปภ.เซ็นทรัลเวิลด์กว่า300 คนอยู่ด้านในเมื่อเขาเดินผ่านกลุ่ม รปภ. เหล่านั้นรปภ. หลายคนถ่ายรูปของเขาไว้

 

พินิจ (เสื้อเขียว)ขณะถูกจับกุม (ภาพจาก ศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายชุมนุมเม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.)

 

ตำรวจพาเขาเดินเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง เป็นห้องขนาดเล็กมีประตูกระจก เขาเห็นตำรวจ 4-5 คนกำลังยืนรออยู่ตำรวจที่พาเขามาเดินจากไปส่วนตำรวจที่รออยู่สั่งให้เขาหมอบลงกับพื้น แต่ครั้งนี้เขารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจึงไม่ยอมหมอบ ตำรวจจึงแตะขาพับของเขาจนเขาต้องทรุดเข่าลง แต่ยังไม่หมอบลงกับพื้น ตำรวจคนหนึ่งจึงเหยียบที่หลังของเขาจนเขาต้องหมอบลงกับพื้นตำรวจยึดโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าเงินของเขา

ตำรวจสั่งให้เขาถอดเสื้อออกแต่เขาถอดไม่ได้ เพราะมือถูกมัดอยู่ตำรวจคนหนึ่งใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตที่เอวด้านซ้ายของเขา 1 ทีเขารู้สึกชาไปทั้งตัวจนไม่สามารถขยับตัวได้ หลังจากนั้นตำรวจคนดังกล่าวหยิบมีดคัทเตอร์ออกมาแล้วใช้มีดคัทเตอร์กรีดเสื้อยืดของเขาที่ตรงกลางเสื้อด้านหลังเสื้อจากหลังคอลงไปถึงเอว เขาไม่สามารถถอดเสื้อได้เพราะติดมือที่ถูกสายรัดอยู่เสื้อจึงต้องห้อยอยู่อย่างนั้น รปภ. คนหนึ่งเทน้ำจากขวดน้ำดื่มรดตั้งแต่หัวของเขาลงไปถึงเอว

 

พินิจ ขณะถูกจับและมีดคัทเตอร์กรีดเสื้อยืด (ภาพจาก ศปช.)

 

ตำรวจสั่งให้ลุกขึ้นแต่เขาลุกไม่ไหว เนื่องจากยังชาจากการถูกช็อตไฟฟ้า รปภ. ช่วยพยุงเขาลุกขึ้นมาและพาออกจากห้องเพื่อไปรวมกับกลุ่มคน 4-5 คนที่นั่งรออยู่ด้านนอกทั้งหมดถูกหมัดมือไพล่หลังเช่นเดียวกับเขาโดยผู้ชาย3 คนไม่สวมเสื้ออีก2 คนแต่งกายเป็นผู้หญิงจึงไม่ได้ถอดเสื้อ(เขามาทราบภายหลังว่าผู้ชาย3 คนที่ไม่สวมเสื้อคือคมสันต์ สุดจันทร์ฮาม, พรชัย โลหิตดีและ ยุทธชัย สีน้อย ส่วน 2 คนที่แต่งกายเป็นหญิงคือเจียมทองมา และ อาทิตย์ เบ้าสุวรรณ) เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สวมเสื้อที่ขาดด้านหลังเขาสังเกตเห็นตำรวจถือกระสุนปืน1 พวงด้วย

 

ตำรวจถือกระสุนปืน 1 พวง (ภาพจาก ศปช.)

 

ระหว่างนั้นมีผู้ชายอีก3 คนถูกมัดมือไพล่หลังไม่สวมเสื้อทยอยเข้ามา(เขามาทราบภายหลังว่าผู้ชาย3 คนคือวิศิษฐ์ แก้วหล้า, ภาสกร ไชยสีทา และ อัตพล วรรณโต) พวกเขานั่งรออยู่ไม่นานมีรถปิคอัพมารับพวกเขาทั้งหมดออกจากลานจอดรถ เขาสังเกตเห็นคราบเลือดแห้งกรังอยู่บนพื้นของรถปิคอัพคันนั้น

ทั้ง 9 คนถูกพาตัวออกมาจากเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อไปยังทางรถออกจากลานจอดรถของห้างสยามพารากอนรถจอดอยู่ที่ข้างน้ำตกพวกเขาถูกนำตัวลงจากรถเพื่อไปนั่งอยู่ใกล้ๆกับกลุ่มผู้ชาย 4-5 คนที่นั่งรออยู่ก่อนหน้านี้ พวกเขาถูกมัดมือไพล่เช่นเดียวกันเขาสังเกตเห็นทหารจำนวนมากยืนอยู่เต็มพื้นที่เขายืนยันว่าเวลานั้นเซ็นทรัลเวิลด์ยังไม่เกิดเพลิงไหม้

ตำรวจสอบถามรายชื่อของพวกเขาทุกคนรวมทั้งผู้ถูกจับกุมที่นั่งรออยู่ริมน้ำตกห้างสยามพารากอนเพื่อทำประวัติ หลังจากนั้นเขาและผู้ถูกจับกุมทั้งหมดประมาณ 13-14 คนถูกพาขึ้นรถคุมขังของตำรวจรถคุมขังของตำรวจขับผ่านด่านทหารที่กำลังดูแลพื้นที่ทหารตรวจสอบใบผ่านทางอย่างละเอียด ก่อนที่จะปล่อยให้รถคุมขังของตำรวจผ่านไปรถคุมขังของตำรวจนำพวกเขาทั้งหมดไปสน.ปทุมวัน

เมื่อถึงสน.ปทุมวันพวกเขาลงจากรถ และถูกแยกสอบสวนเป็น2 ห้อง(ห้องแรกคือเขาและผู้ถูกจับกุมที่ลานจอดรถเซ็นทรัลเวิลด์รวม9 คนห้องที่2 คือกลุ่มผู้ถูกจับกุม4-5 คนที่นั่งรออยู่ริมน้ำตกห้างสยามพารากอน) ตำรวจสน.ปทุมวันตัดสายรัดข้อมือของพวกเขา คืนโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าเงินให้กับพวกเขา หลังจากสอบสวน และทำประวัติเสร็จตำรวจคืนเสื้อผ้าที่ยึดไปจากพวกเขาก่อนหน้านี้ให้กับพวกเขา

ตำรวจหาเสื้อตัวหนึ่งมาให้เขาเปลี่ยนเขาได้ยินตำรวจคุยกันว่าจะแจ้งข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินกับพวกเขาทั้งหมดหลังจากนั้นพวกเขาถูกพาตัวไปถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือเมื่อผ่านไปถึงคนที่7 ตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามา

"คุมตัวพวกเขาไว้ก่อน"

"ทำไม"

"รองไก่สั่งมา"

ตำรวจที่กำลังทำประวัติเดินออกไปประชุมกับตำรวจที่เพิ่งเข้ามาในห้องข้างๆ ทิ้งให้พวกเขาทั้งหมดรออยู่ในห้อง หลังจากนั้นไม่นานมีตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมถือกระสุนปืน 1 พวงที่เขาเห็นที่ลานจอดรถเซ็นทรัลเวิลด์ก่อนหน้านี้เข้ามาในห้องสอบสวนแล้วถามว่า"ของใครวะ"

พวกเขาทั้งหมดเงียบกริบไม่มีใครรับ

"งั้นก็รับหมดทั้ง 9 คนก็แล้วกัน" ตำรวจว่า

ตำรวจเดินออกไปจากห้องสอบสวนพร้อมกระสุนปืน สักพักตำรวจอีกคนเดินเข้ามาพร้อมกระสุนปืนพวงเดิมและถามหาเจ้าของอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครรับเหมือนเดิม ตำรวจรายเดิมบอกว่าดูหน้าผู้ต้องหาแล้วไม่น่ามีใครมีปืน แต่เขาก็ยังคงแจ้งข้อกล่าวหา "งั้นตามเวรตามกรรมแล้วกัน มีแค่กระสุนปืนจะทำอะไรได้ เป็นไพร่ก็แบบนี้แหละ"

ตำรวจแนะนำให้พวกเขาไม่ต้องพูดอะไรรอให้การในศาลเท่านั้น และให้พวกเขาลงลายมือชื่อปฏิเสธ พวกเขาทั้งหมดนั่งรออยู่ในห้องสอบสวนเขาโทรศัพท์หาพี่ชายอีกครั้ง ครั้งนี้พี่ชายเขารับสายและบอกว่ายังติดค้างอยู่ที่วัดปทุมวนารามซึ่งยังมีเสียงปืนไม่หยุดหย่อน ขณะที่เขาแจ้งพี่ชายไปว่าเขาอยู่โรงพักจากนั้นเขายื่นโทรศัพท์มือถือให้กับตำรวจตำรวจแนะนำให้พี่ชายของเขาหาที่หลบกระสุนในวัดปทุมวนาราม

เวลาเกือบ 1 ทุ่มพวกเขาถูกส่งตัวเข้าห้องขังในห้องขังมีผู้ถูกคุมขังกว่า 20 คนรวมทั้งผู้ถูกจับกุม 4-5 คนที่เขาเห็นที่น้ำตกห้างสยามพารากอนหลังจากนั้นก็มีผู้ถูกจับกุมทยอยเข้าห้องมาเรื่อยๆ คืนนั้นมีผู้ถูกคุมขังอยู่ในห้องกว่า 40 คนระหว่างนั้นตำรวจเรียกผู้ถูกคุมขังออกมาจากห้องทีละคนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เขาและผู้ถูกจับกุมที่ลานจอดรถเซ็นทรัลเวิลด์ถูกแจ้งของข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ, ขัดขวางเจ้าหน้าที่และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เช้าวันรุ่งขึ้นมีผู้หญิงคนหนึ่งมาเยี่ยมที่ห้องขัง เธอบอกกับพวกเขาว่าจะช่วยเหลือเรื่องการประกันตัวทั้งหมดกว่า 40 คน หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดถูกส่งฟ้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ และถูกส่งตัวไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพและทัณฑสถานหญิงกลาง

หลังจากที่เขาอยู่ในแดน 6 ประมาณ 1 เดือน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีคนหนึ่งมาเยี่ยมเขาที่เรือนจำ ตำรวจคนนี้บอกว่า มาช่วยราชการที่ สน.ปทุมวันตำรวจนำรูปถ่ายของคน 9 คนมาให้เขาดูและถามเขาว่ารู้จักใครหรือไม่แต่เขาปฏิเสธ

ตำรวจนำรูปถ่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการวางเพลิงที่ตำรวจยึดได้จากเซ็นทรัลเวิลด์มาให้เขาดูและถามว่า ใช่ของเขาหรือไม่เขาก็ปฏิเสธเช่นเดิมหลังจากนั้นตำรวจจึงให้เขาลงลายมือชื่อในเอกสารเพื่อปฏิเสธ

ผ่านไปประมาณ 3 เดือนเจ้าหน้าที่จาก DSI มาพบเขาที่เรือนจำเขาเดินออกมาแดน 6 เพื่อไปยังห้องสอบสวนซึ่งอยู่ด้านข้างห้องเยี่ยมผู้ต้องหาวันนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าของสายชล แพบัว ซึ่งอยู่แดน 4 เจ้าหน้าที่จากDSI แจ้งข้อกล่าวหาวางเพลิงเซ็นทรัลเวิลด์เพิ่มเติมกับเขา เขาและพินิจจึงต้องกลายเป็นผู้ต้องหาวางเพลิงเซ็นทรัลเวิลด์ร่วมกับเยาวชนอีก 2 คนซึ่งได้รับการประกันตัวไปก่อนหน้านี้

ต่อมาเมื่อถึงวันนัดพร้อมครั้งที่ 1 (คดีร่วมกันปล้นทรัพย์) พวกเขาทั้ง 7 คน (2 เยาวชนถูกแยะตัวไปพิจารณาคดีที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง) ถูกนำตัวไปขึ้นศาลอาญากรุงเทพใต้ศาลถามพวกเขา

"จะรับสารภาพหรือปฏิเสธ"

พวกเขาปรึกษาหารือกันและปฏิเสธ เมื่อศาลถามว่ามีทนายหรือยัง พวกเขาก็ตอบว่ายังไม่มี อย่างไรก็ตาม ศาลนัดพร้อมครั้งที่ 2 ในอีกประมาณ 1 เดือนถัดไป

1 เดือนผ่านไปพวกเขาทั้ง 7 คนถูกนำตัวมาที่ศาลอาญากรุงเทพใต้อีกครั้ง ครั้งนี้เจ้าหน้าที่พาพวกเขาเข้าไปในห้องสมานฉันท์ในห้องมีผู้พิพากษานั่งอยู่

"รับสารภาพเถอะโทษหนักจะได้เป็นเบา"

พวกเขาปรึกษาหารือกันและตอบปฏิเสธ แต่ศาลแนะนำให้พวกเขารับสารภาพในส่วนของพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พวกเขาปรึกษาหารืออีกครั้งและยอมลงลายมือชื่อรับสารภาพเฉพาะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

หลังจากลงลายมือชื่อเสร็จพวกเขาถูกนำตัวไปยังห้องพิจารณาคดี ในห้องมี อาคม ศิริพจนารถ ทนายความเสื้อแดงนั่งรออยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบทนายความ พวกเขาเล่าให้อาคมทราบว่าพวกเขาเพิ่งลงลายมือชื่อรับสารภาพเฉพาะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้อาคมไม่พอใจอย่างมาก อาคมบอกให้พวกเขาทำคำร้องใหม่ปฏิเสธการรับสารภาพก่อนหน้านี้ศาลจึงนัดพร้อมครั้งที่ 3

เมื่อถึงนัดพร้อมครั้งที่ 3 อาคมยังคงยืนยันปฏิเสธการรับสารภาพ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก่อนหน้านี้ อาคมโต้เถียงกับศาลนานหลายนาทีแต่สุดท้ายก็ยอมอ่อนข้อยอมรับการรับสารภาพเฉพาะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

1 ธ.ค. 54 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษา"ยกฟ้อง" คดีร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและขัดขวางเจ้าหน้าที่แต่ให้ลงโทษจำคุก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเวลา 6 เดือนยกเว้น คมสันต์ สุดจันทร์ฮามซึ่งศาลลงโทษจำคุก 3 ปี ฐานลักทรัพย์รวมโทษจำคุกเป็น 3 ปี6 เดือนจำเลยทั้ง 5 จึงได้รับการปล่อยตัวในวันนั้นเนื่องจากพวกเขาถูกจำคุกมากว่า 1 ปี 6 เดือนแล้ว

พวกเขากลับมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพและทัณฑสถานหญิงกลางพวกเขาดีใจที่จะได้ออกจากเรือนจำ ยกเว้นเขาและคมสันต์ที่รู้ชะตากรรมของตนเองว่าจะยังคงต้องอยู่ในเรือนจำแห่งนี้ต่อไป

วันรุ่งขึ้นแกนนำ นปช. หลายคนและทนายความจากสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยเดินทางมาเยี่ยมนักโทษการเมืองในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ นพ.เหวง โตจิราการ รับปากที่จะช่วยเหลือเรื่องการประกันตัวให้กับเขาและคมสันต์ หลายวันต่อมาทนายความยื่นขอประกันตัวเขาก่อนคมสันต์แต่ศาลอนุญาตให้ประกันตัวเฉพาะคมสันต์เท่านั้น

ต่อมาเขาและผู้ต้องหาทางการเมืองช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. 53 ถูกย้ายไปอยู่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ที่แห่งนี้เขาอยู่อย่างสุขสบายกว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ มีคนเสื้อแดงมาเยี่ยมเขามากกว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่เขาก็ยังอยากได้รับการประกันตัว

เขาบอกว่าเขาไม่มั่นใจในคดีนี้เพราะเชื่อว่ายังไงคดีนี้จะต้องมี "แพะ" เช่นเดียวกับคดีร่วมกันปล้นทรัพย์ที่คมสันต์ต้องรับโทษจำคุก3 ปี 6 เดือน เขาจึงคาดหวังจากการนิรโทษกรรมโดยเร็วไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอของใครก็ตาม แต่หากคดีนี้ศาลยกฟ้องเขาเขาก็จะกลับบ้านที่ จ.ชัยภูมิ

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท