Skip to main content
sharethis

กานดา นาคน้อยให้สัมภาษณ์ข่าวสด กรณีวิวาทะกระฉ่อนโซเชียลมีเดียตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าด้วย “นักวิชาการอิสระ” กับความรับผิดชอบทางวิชาการ

จุดเริ่มต้นจากการตอบโต้ประเด็น “นิรโทษกรรมทางการเมือง” ระหว่าง วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ซึ่งเรียกตัวเองว่านักวิชาการอิสระกับ พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นหนึ่งในเครือข่ายนักวิชาการที่เคลื่อนไหวประเด็นสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง ในนาม "กลุ่มสันติประชาธรรม" นำมาสู่การตั้งคำถามกับการ “ทำการบ้าน” ทั้งในด้านข้อเท็จจริงและหลักวิชา ในฐานะ “นักวิชาการ” ของฝ่ายแรก การตอบโต้ดำเนินไปอย่างกว้างขวาง และมีนักวิชาการหลายคนออกมาร่วมวงวิวาทะด้วย โดยวีรพัฒน์ได้ตามไปตอบคำถามเกือบทุกสเตตัส

มีหลายกรณีที่ออกทะเลไปถึงขั้นท้าตีท้าต่อยกัน แต่ในด้านหลักการแล้ว กานดา นาคน้อย เป็นนักวิชาการอีกคนหนึ่งที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างถึงพริกถึงขิง และเสนอให้แยกแยะระหว่าง งานวิชาการคือ scholarly work กับงานความคิดเห็นหรือข้อเสนอ เรียกว่า op-ed article 

กานดาให้สัมภาษณ์ ข่าวสด เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา

000

ข่าวสดออนไลน์ : จริงๆ คำจำกัดความว่า "นักวิชาการอิสระ" คืออะไร มีอยู่หรือไม่? 
กานดา นาคน้อย : มี ภาษาอังกฤษเรียกว่า independent scholar คำว่า independent คืออิสระ ในที่นี้คือไม่มีสังกัด นักวิชาการอิสระคือนักเขียนฟรีแลนซ์ที่เขียนเรื่องจริง (non-fiction) สรรพากรสหรัฐฯ ถือว่าเป็นนักธุรกิจส่วนตัว (self-employed) ประเภทเดียวกับที่ปรึกษาธุรกิจอิสระ (independent business consultant) 

ไม่มีบรรทัดฐานชัดเจนว่าอะไรเป็นตัววัดความเป็นนักวิชาการของนักวิชาการอิสระ  ทำให้นักวิชาการอิสระบางส่วนอ้างอิงมหาวิทยาลัยเพื่อนิยามความเป็นนักวิชาการ  เช่น ตีพิมพ์หนังสือกับสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย อ้างอิงถึงประสบการณ์การสอนในตำแหน่งอาจารย์และอาจารย์พิเศษ อ้างอิงถึงวิทยานิพนธ์ในอดีต ที่อ้างอิงถึงผลงานวิจัยในวารสารวิชาการในอดีตนั้นเป็นส่วนน้อย

ส่วนใหญ่นักวิชาการอิสระตีพิมพ์ในนิตยสาร เขียนพ็อคเก็ตบุ๊ค เป็นวิทยากรสัมมนานอกมหาวิทยาลัย ออกทีวีหรือเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์  สื่ออเมริกันเรียกนักวิชาการอิสระที่ออกทีวีว่าผู้เชี่ยวชาญ (expert) เพราะผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพที่ไม่เขียนหนังสือก็ออกทีวีได้ เช่น อดีตนักบินให้ความคิดเห็นต่อกรณีเครื่องบินตก   อย่างไรก็ดี ความคิดเห็นของนักวิชาการอิสระในสื่อมวลชนไม่ใช่บรรทัดฐานอ้างอิง เนื่องจากไม่มีบรรทัดฐานชัดเจนว่าอะไรเป็นตัววัดความเป็นนักวิชาการของนักวิชาการอิสระนั่นเอง   

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างนักวิชาการอิสระที่สหรัฐฯ และไทยอยู่ที่อิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะ

นักวิชาการอิสระที่สหรัฐฯ ไม่มีบทบาทผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้วยสถานะนักวิชาการ

นักวิชาการที่ผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ คือนักวิชาการในระบบ 

ถ้านักวิชาการอิสระอยากมีบทบาทขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ต้องเปลี่ยนสถานะเพื่อเข้ากระบวนการเมืองอย่างเปิดเผย มี 4 ทาง

(1) กลายเป็นนักการเมืองมืออาชีพ 

(2) อาศัยนักการเมืองเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง (political appointee) 

(3) ทำงานกับเอ็นจีโอ

(4) เข้าร่วมกลุ่มต่างๆ เช่น Occupy Wall Street

ในทางปฎิบัติ ทางที่ 1 และ 2 เป็นทางสายหลัก แต่ที่เมืองไทยทางสายหลักสำหรับนักวิชาการอิสระที่อยากขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะคือเอ็นจีโอ  เพราะเอ็นจีโอไทยส่วนใหญ่คือผู้รับเหมารับโปรเจ็คมาจากรัฐบาล  มีไม่มากที่เป็นเอ็นจีโอที่เป็นอิสระจากรัฐบาลแบบในต่างประเทศ     

ข่าวสดออนไลน์ : เหตุใดนักวิชาการบางกลุ่มจึงมองการกำกับสถานะ อ.วีรพัฒน์ ว่า "นักวิชาการอิสระ" เป็นเรื่องน่าขำ น่าเย้ยหยัน ขบขัน  
กานดา : ดิฉันตอบแทนคนอื่นไม่ได้  สำหรับดิฉัน ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมากกว่าขบขัน การกำกับสถานะเขาว่า “นักวิชาการอิสระ” ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าเขาเป็น “อิสระจากการเลือกข้าง” และ “เป็นกลาง” ด้วยนัยยะทางจริยธรรมของคำว่า “อิสระ”

ต่างจากคำว่า independent ซึ่งแปลว่า “ไร้สังกัด” ที่ไม่มีความหมายด้านจริยธรรม น่าห่วงเพราะเขาเสนอตัวเข้ามามีส่วนร่วมร่าง พรบ.นิรโทษกรรม ทั้งๆ ที่จุดยืนไม่เคยชัดเจน เป็นกลางหรือเปล่าก็ยังเป็นปริศนา 

ที่สำคัญที่สุดคือวิธีที่เขานำเสนอความเป็นนักวิชาการ ทำให้เกิดข้อกังขาว่า เขาควรได้รับความไว้วางใจถึงขั้นเป็นมันสมองในการเจรจาร่าง พรบ.นิรโทษกรรมหรือไม่? เขามีคุณสมบัติเพียงพอที่สังคมควรไว้วางใจให้เขา “ขับเคลื่อนประเทศ” หรือไม่? 

นี่คือปัญหาระดับชาติ ปัญหาระดับชาติเป็นปัญหาที่ต้องการคนที่มีทั้งความรู้และประสบการณ์โชกโชนเข้ามาแก้ปัญหา ต้องคิดเป็นระบบและต้องมีวุฒิภาวะ คนไทยได้บทเรียนแล้วว่า ความอ่อนด้อยประสบการณ์ของอดีตนายกฯ บางคนได้ทำให้ประเทศเสียหายมากขนาดไหน

ดิฉันคิดว่ามี 2 สาเหตุที่สื่อมวลชนให้พื้นที่เขามาก โดยไม่ตั้งคำถามจริงจัง

(1) เขาจบโทจากมหาลัยฮาร์วาร์ด ฮาร์วาร์ดคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนไทย  

(2) หลังรัฐประหารประชาชนที่ต่อต้านรัฐประหารเลิกเชื่อใจนักวิชาการในระบบ เพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยและผู้บริหารมหาวิทยาลัย รวมทั้งนักวิชาการอาวุโสที่ทีดีอาร์ไอสนับสนุนรัฐประหาร ฝ่ายปฎิรูปเลยหันไปหานักวิชาการอิสระ  ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็สรรหานักวิชาการอิสระมาแข่งหลังรัฐประหาร สังคมเลยตอบรับนักวิชาการอิสระสุดตัว  ความล้มเหลวของนโยบายด้านการศึกษาก็เป็นปัจจัยที่ทำให้คนสิ้นหวังกับนักวิชาการในระบบ       

ข่าวสดออนไลน์ : ประเด็นข้อโต้แย้งระหว่างนักวิชาการที่ผลิตงานผ่านสถาบันการศึกษา กับกลุ่มที่นำเสนอผ่านสื่ออย่างเดียว แต่ไม่มีผลงานวิชาการชัดเจนแตกต่างกันอย่างไร
กานดา : ความแตกต่างที่สำคัญอยู่ที่การควบคุมคุณภาพและบรรทัดฐานที่ใช้วัดคุณภาพงานวิชาการ อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า กลุ่มที่นำเสนอผ่านสื่ออย่างเดียวก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาอะไรเป็นบรรทัดฐาน ก็ยังต้องหันมาอ้างอิงด้วยบรรทัดฐานของงานวิชาการในสถานศึกษา สังคมอเมริกันจึงไม่ให้ราคากับกลุ่มที่นำเสนอผ่านสื่ออย่างเดียวมากมายนัก พื้นที่นักวิชาการอิสระในสื่อมวลชนก็ขยายตัวยากเนื่องจากสื่อมวลชนที่ทุนหนาไม่เล่นด้วย 

สื่อมวลชนทุนหนายอมลงทุนจ้างนักวิชาการที่มีผลงานวิจัยเป็นชิ้นเป็นอันด้วยราคาที่สูงกว่าเพื่อเรียกเรตติ้ง 

การควบคุมคุณภาพงานวิชาการในสถาบันการศึกษามีหลายขั้นตอน และอาศัยการตรวจสอบข้ามสถาบันและข้ามประเทศ 

ขั้นแรกคือการตอบคำถามที่งานสัมมนา สัมมนาเสร็จก็ต้องมาแก้และเขียนใหม่ ทำแบบนี้หลายหนแล้วส่งไปขอตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ

ขั้นนี้ก็จะโดนตรวจสอบโดยนักวิชาการข้ามสถาบันจนแน่ใจว่า (1) เป็นของใหม่ไม่ได้ลอกความคิดใครมา (2) วีธีคิดสมเหตุสมผล (3) ถ้าเสนอข้อมูลประกอบข้อมูลก็ต้องสมเหตุสมผลด้วย

หลังจากผ่านด่านตีพิมพ์ไปแล้วมีคนมาอ่านเจอแล้วพิสูจน์ได้ว่าผิด หรือข้อมูลไม่ถูกต้อง หรือลอกใครมาก็เรื่องใหญ่ ทางวารสารจะประกาศให้ชุมชนวิชาการรับรู้ว่า งานชิ้นนั้นจะโดนลบไปจากสารบบจะได้ไม่มีใครนำไปอ้างอิงต่อไป

ถ้าสอบสวนพบว่าผิดโดยเจตนา เช่น สร้างข้อมูลเท็จ เจ้าของบทความต้องลาออก มีการลงโทษกันจริงๆ ด้วยเหตุนี้งานวิชาการในวารสารวิชาการจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐานอ้างอิง

ข่าวสดออนไลน์ : งานวิชาการของอาจารย์วีรพัฒน์ที่โดนกล่าวหาว่าผลิตอย่างลวกๆ นั้น มีในประเด็นใดบ้างผิดจากข้อเท็จจริงเรื่องใด แนวคิดบรรเทาความขัดแย้งและนิรโทษกรรม ที่เสนอมีจุดด้อยตรงไหน ขาดหลักการอะไร
กานดา : ผิดจากข้อเท็จจริงตั้งแต่เรียกว่า “งานวิชาการ”

งานวิชาการคือ scholarly work

งานเขียนของเขาคือความคิดเห็นหรือข้อเสนอ เรียกว่า op-ed article 

แม้แต่ข้อเสนอเรื่อง พรบ.นิรโทษกรรมก็เป็น op-ed article ผสมการให้ข่าว ผู้อ่านบทความส่วนใหญ่ไม่ใช่นักวิชาการจะติจะชมก็บ่งบอกคุณภาพไม่ได้เพราะผู้อ่านไม่รู้ว่างานวิชาการคืออะไร งานวิชาชีพต้องอาศัยประสบการณ์ ถ้าไม่ใช่คนในวิชาชีพก็ตรวจคุณภาพไม่ได้ ให้ดิฉันตรวจว่าภาพศิลปะแบบไหนสร้างสรรค์ก็ตรวจไม่ได้เพราะไม่ใช่ศิลปิน 

“ลวกๆ” หมายความว่า ข้อเสนอ พรบ.นิรโทษกรรมที่เขาเสนอมา คือการบ้านที่ตอบโจทย์ไม่เสร็จ แต่เอาไปนำเสนอ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชาติและความทุกข์ของนักโทษการเมือง  

(1) ข้อเสนอทางวิชาการที่ดีต้องมีบรรทัดฐานหรือตัววัดผลที่ประเมินได้  แต่ข้อเสนอของเขาเลื่อนลอยและไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย และไม่มีกลไกอันนำไปสู่เป้าหมาย ประเมินไม่ได้ว่าอย่างไรเรียกว่าบรรลุเป้าหมาย  สาระมีแค่ว่าชวนไปตั้งคณะกรรมการคุยกันก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่

(2) พรบ.ฉบับแรกที่เสนอมาไม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของกลุ่ม 29 มกราฯ ฉบับที่สองก็กำกวม ไม่รู้ว่าจะครอบคลุมคดีอะไรบ้าง ไม่มีหลักประกันว่าจะสอดคล้องกับเป้าหมายเดียวกับกลุ่ม 29 มกราฯ   

(3) ทำให้กระบวนการนิรโทษกรรมล่าช้า โดยดึงให้ตุลาการเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่อำนาจการออก พรบ.อยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เขาเสนอตัวเป็นคนกลาง ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น ไม่มีเขากระบวนการนิรโทษกรรมก็ดำเนินต่อไปได้  ทำให้กระบวนการล่าช้าก็ยิ่งเพิ่มทุกข์ให้นักโทษการเมือง ไม่ช่วยบรรเทาทุกข์

(4) คนได้ประโยชน์จากข้อเสนอของเขาที่สุดคือตัวเขาเอง ถ้าผลักดันสำเร็จก็จะได้แสดงบทบาทผู้นำการผลักดันนิรโทษกรรมแทนกลุ่ม 29 มกรา ทั้งๆ ที่กลุ่ม 29 มกราทำงานด้านนี้มานานกว่าเขามาก กลุ่ม 29 มกรามีความจริงใจให้นักโทษการเมืองและไว้ใจได้มากกว่า

(5) ย่อหน้าสุดท้ายของบทความ เขาโจมตีคนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอเขาว่า “และสุดท้าย คนที่น่าเศร้าใจแทนที่สุด ก็คือคนที่นำ ‘ความเป็นธรรม’ มาใช้ต่อว่าด่าทอผู้อื่นเพื่อสนองความหมั่นไส้ริษยา โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ตนกำลังต่ออายุความทุกข์ของผู้ที่อยู่ในคุก เพื่อปลุกเร้าความสนุกปากสะใจของตนไปอีกวัน”  ดิฉันอ่านแล้วคิดว่าคนคนนั้นคือเขาเอง ถ้าเขาอยากเสนอข้อเสนอที่มีหลักการจริงๆ เสนอเสร็จก็จบ ไม่ควรเขียนทำนองว่า ใครไม่เห็นด้วยกับผมเป็นคนเลวและริษยาผม คนรับฟังข้อเสนอมีสิทธิตั้งคำถามและสงสัย  คนมีคำถามไม่ใช่คนใจแคบ คนไม่เห็นด้วยไม่ใช่คนใจแคบ

(6) ดิฉันถามเขาสั้นๆ ว่าข้อเสนอของเขาทั้งหมดจะทำให้นักโทษการเมืองออกจากคุกได้กี่คน?

เขาตอบมายาว แต่สรุปสาระได้ว่า ต้องไปตั้งคณะกรรมการคุยกันก่อน

คำถามว่า “กี่คน” มันมีคำตอบชัดเจนนะคะ 1) ตอบเป็นตัวเลข 2) ถ้าไม่ตอบเป็นตัวเลขก็แปลว่าไม่รู้

หรือรู้แต่ไม่ยอมตอบ

ข่าวสดออนไลน์ : มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า นักกฎหมายหนุ่มผู้นี้โกหก-ปั้นน้ำเป็นตัว ถ้ามี ปรากฎในประเด็นวิชาการใดๆ บ้าง?
กานดา : ที่ชัดเจน คือการอ้างอิงนักวิชาการต่างประเทศเพื่อสร้างความชอบธรรม และการอ้างอิงดังกล่าวขัดกับความเป็นจริง ดูจากบทสัมภาษณ์เขาที่ประชาชาติธุรกิจรายงานนะคะ 

"สื่อโซเชี่ยลมีเดียมันเกิดขึ้นมา มันเป็นโอกาสทำให้ประชาธิปไตยมันเคลื่อนไปได้ มันทำให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่าย แล้วนักวิชาการคือแหล่งข้อมูล ถ้าคุณติดว่า ต้องไปกราบไหว้เชิญถึงจะมา ต้องทำงานวิจัย 500 หน้าถึงจะทำ แต่การเขียนความเห็นทางวิชาการ 2-3 หน้าที่เข้าใจง่ายๆ ไม่ทำ ผมว่าคุณต้องคิดใหม่"

"นักวิชาการต่างประเทศ อย่างอเมริกานิยมเขียนบทความรายวัน คล้ายๆ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตอนผมอยู่ฮาวาร์ด อาจารย์เขาไม่นั่งทำวิจัยกันเป็นเดือน แล้วเขียน 500 หน้า แต่เขาเขียนบทความ 2-3 แผ่นลงหนังสือพิมพ์ อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง เพราะนั่นคือการขับเคลื่อนสังคมที่ดีที่สุด สื่อสารให้เข้าใจง่าย และต้องทันสมัย ไม่ใช่เรื่องนี้เขาเลิกเถียงกันไปนานแล้ว แต่คุณยังนั่งทำวิจัย ถามว่าประชาชนนั่งอ่านทั้ง 500 หน้าไหม"

"ผมใช้เวลาเขียนบทความลงเฟซบุ๊ก ลงอะไรที่อ่านสั้นๆ ง่ายๆ แต่มีสาระแน่น ผมอยากให้นักวิชาการท่านที่พอจะทำได้ทำบทบาทนี้มากขึ้น แทนที่คุณจะไปเขียนตำราไปเขียนวารสาร เขียนงานวิจัยให้กับรัฐ คุณมาเขียนสัก 2 แผ่น ลงสื่อช่วยกันคิดประเด็นที่ขับเคลื่อนสังคม แต่เมืองไทยนักวิชาการด้านกฎหมายไม่ค่อยมีออกมา มีบ้างก็ต้องรอประเด็นบิ๊กๆ เหมือนกับตัวเองแบบ...ต้องคู่ควร แต่ประเด็นรายวันไม่คู่ควรหรือ ต้องแบบรัฐประหารแล้ว ตัวเองต้องออกมา แต่ผมมองว่ากฎหมายอยู่ทุกที่ทุกมุม ดังนั้น นาซ่า ค้าข้าว โอลิมปิก ไอบ้า ผมเขียนเลย"

ทั้งนี้ ที่จริงแล้วนักวิชาการต่างประเทศอย่างอเมริกาใช้เวลาทำวิจัยเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ เขียนกันเป็นร้อยๆ หน้า บางคนเขียนเป็นพันๆ หน้า ถึงจะแน่ใจว่าความคิดตกผลึกและสะสม “ประสบการณ์” มากพอที่พร้อมจะขับเคลื่อนสังคม ถึงเขียนบทความลง นสพ. “ควบคู่” ไปกับงานวิชาการ ไม่ใช่“แทนที่” งานวิชาการ ถ้าไม่มีประสบการณ์ไม่มีใครสนใจรับฟัง การขับเคลื่อนสังคมไม่ใช่เรื่องง่าย มีความรู้อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีประสบการณ์และเครือข่ายทางสังคม ต้องใช้เวลา ไม่เกี่ยวว่าอายุมากอายุน้อย  

ว่าตามสามัญสำนึกแล้ว เขาอยู่ฮาร์วาร์ดในฐานะนักเรียน แต่พูดถึงเรื่องของอาจารย์ คนฟังน่าจะฉุกใจคิดว่า “รู้ได้ยังไง”

คนไม่เคยเป็นอาจารย์ก็รู้ได้ ถ้าใส่ใจหาข้อมูล แค่เข้าเว็บไซต์อาจารย์ก็จะเห็นประวัติอาจารย์ที่ลิสต์ว่า อาจารย์เขียนอะไรกันบ้าง เดี๋ยวนี้มีอินเตอร์เน็ตก็เช็คข้อมูลได้ง่าย ใครก็เช็คได้ค่ะ แค่เข้ากูเกิลหา Harvard Law School หาลิงค์ไปที่คณาจารย์ Faculty คลิกที่ Faculty Directory ก็จะเจอชื่ออาจารย์เรียงอยู่มากมาย คลิกคนแรกก็จะเห็นเลยว่าตีพิมพ์อะไรบ้าง  

ก็ดีที่สื่อตั้งคำถามแล้วสัมภาษณ์เขา  การที่เขาเขียนสารพัดเรื่องไม่ใช่ปัญหา  ปัญหาคือ เขาทำให้คนเข้าใจผิดว่า วิธีการเขียนของเขาคือวิธีการที่นักวิชาการต่างประเทศอย่างอเมริกาเขียนกัน

จริงๆ ถ้าอยากเขียนก็เขียนไป ไม่อยากทำวิจัยเป็นเดือนเป็นปี  ไม่เขียน 500 หน้าก็ไม่มีใครว่า ถือเป็นทางเลือกส่วนตัว แต่เมื่อเขาเลือกทำอาชีพนอกมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า คนเราทำไม่ได้ทุกอย่าง สิ่งที่เขาต้องการทำคือหน้าที่สื่อมวลชน  ถ้าอาจารย์มหาวิทยาลัยมาตามเรื่องสารพัดเรื่องตามกระแสรายวันก็ไม่มีสมาธิไปคิดให้เป็นระบบให้ตกผลึก 

จะตกผลึกก็ต้องคิดเรื่องเดียวเป็นเวลานานๆ ต้องใช้เวลา

ข่าวสดออนไลน์ : นักวิชาการที่วิพากษ์คุณวีรพัฒน์ เพราะริษยาเหมือนกับที่เจ้าตัวระบุหรือไม่ หรือจำเป็นต้องวิพากษ์เพราะวิตกแนวคิดของนักกฎหมายคนนี้จะพาสังคมลงเหว ถ้าพาลงเหว อะไรที่น่ากลัวที่สุดในระบบคิดคุณวีรพัฒน์?
กานดา :  ดิฉันอ่านใจใครไม่ได้ แต่คนอื่นริษยาหรือไม่ก็ไม่เกี่ยว ถ้าอยากเป็นนักวิชาการต้องตอบคำถามให้ตรงประเด็นเหมือนในงานสัมมนา

อย่าไปคิดว่าคนอื่นถามเพราะริษยา คนเรามีเป้าหมายชีวิตไม่เหมือนกัน

ต่อให้เราคิดว่าเราประสบความสำเร็จอย่างไร ก็ไม่จำเป็นว่าคนอื่นอยากได้อยากมีจนต้องอิจฉาริษยาเรา การที่คนอื่นไม่ได้ทำอย่างเราไม่ได้หมายความว่าเขาทำไม่ได้ แต่หมายความว่า เขาเลือกทำอย่างอื่น หรืออาจจะไม่มีโอกาสเท่าเรา     

ดิฉันไม่ได้ติดตามว่ามีใครอีกบ้างนอกจาก อ.เกษียร และ อ.พวงทอง ที่วิพากษ์ข้อเสนอ พรบ.นิรโทษกรรมในที่สาธารณะ

คิดว่าต้องวิพากษ์เพราะพาเข้ารกเข้าพง ที่ตัดสินใจตอบคำถามประเด็นนักวิชาการอิสระ และ พรบ.นิรโทษกรรม เพราะการโต้ตอบกับเขาบนเฟซบุ๊คกลายเป็นข่าวที่ข่าวสดไปแล้ว

เรื่องแนวคิดที่น่ากลัวที่สุดของเขา ขอไม่ตอบนะคะ เขายังอายุน้อย เหตุการณ์นี้อาจจะเป็นบทเรียนให้เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น 

ขอพูดเรื่องความน่ากลัวของนักวิชาการอิสระโดยรวม ไม่เจาะจงถึงเขานะคะ  

ดิฉันกับเพื่อนอาจารย์คนไทยที่อยู่ต่างประเทศคุยกันมาหลายปีแล้วเรื่องปัญหาของนักวิชาการอิสระที่เมืองไทย  รู้อยู่ว่ามีหลายคนหลอกลวงสังคมเพื่อหาผลประโยชน์  บางคนก็แก่แล้วหยุดไม่ได้แล้ว หาประโยชน์ได้อีกไม่นานคงตายไป 

ส่วนที่ยังอายุน้อยเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยออกมาแสดงบทบาทในฐานะนักวิชาการเท่าแต่ก่อน เนื่องจากพวกเราบอกเขาทางอ้อมให้หยุด ปัญหาหลายอย่างที่เมืองไทยแก้ไม่ได้เพราะ “คนพูดไม่รู้ คนรู้ไม่พูด” จะแก้ได้ก็ต่อเมื่อคนรู้ลุกขึ้นมาพูด แล้วคนไม่รู้จะโดนกดดันให้เปลี่ยนพฤติกรรม ปัญหาจะลดลง

ตั้งแต่รัฐประหารครั้งล่าสุด นักวิชาการอิสระมีบทบาททำให้ความขัดแย้งทางการเมืองขยายตัวนะคะ ประชาชนสิ้นหวังกับนักวิชาการในมหาวิทยาลัย

นักวิชาการทีดีอาร์ไอออกมาฝ่ายปฎิรูปก็ร้องยี้  นิติราษฎร์ออกมาฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ร้องยี้ 

สังคมไทยหลังรัฐประหารต้องการคนใหม่ที่ “อิสระ” และทั้งสองฝ่ายไม่ร้องยี้ เป็นสภาวะที่สังคมตอบรับนักวิชาการอิสระมาก เปิดโอกาสให้นักวิชาการอิสระร่วมมือกับนักการเมืองเพื่อผลประโยชน์ได้

จริงๆ แล้วมีอาจารย์ผู้น้อยมากมายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร แต่ไม่กล้าแสดงออก สังคมไทยกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน ผ่านไปอีกสิบปีคนรุ่นเก่าจะล้มหายตายจากไปเยอะ คนรุ่นใหม่ก็จะแสดงออกได้มากขึ้นค่ะ นักวิชาการรุ่นใหม่ก็ต้องสร้างเครือข่ายนักวิชาการ สร้างความโปร่งใสสถาบันการศึกษา  

ตอนนี้เพื่อนอาจารย์กลุ่มหนึ่งกำลังทำเว็บไซต์ฐานข้อมูลผลงานวิชาการของนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ เพื่อให้สังคมและสื่อมวลชนเข้าถึงและเข้าใจว่า งานวิชาการสาขาเศรษฐศาสตร์คืออะไร และเกี่ยวข้องกับสังคมอย่างไร ถ้าสนใจก็ติดต่อสอบถามเป็นรายบุคคลได้  นี่เป็นวิธีหนึ่งที่นักวิชาการที่สหรัฐฯและยุโรปทำให้วงการวิชาการโปร่งใส  

 นอกจากนี้ก็มีสมาคมวิชาชีพข้ามสถาบัน เวลาสมาคมวิชาชีพจัดสัมมนาประจำปี สื่อมวลชนก็เข้าร่วมสังเกตุการณ์และฟังการบรรยายได้

สุดท้ายนี้ดิฉันอยากขอร้องให้สื่อมวลชนระมัดระวังและหยุดส่งเสริมมายาคติของคำว่า “อิสระ” บุคคลสาธารณะทุกคนต้องโดนตรวจสอบอย่างโปร่งใส

ไม่มีใครควรเป็นอิสระจากการตรวจสอบ 

แม้แต่องค์กรอิสระที่ตั้งหน้าตั้งตาตรวจสอบคนอื่น ก็ต้องโดนตรวจสอบเหมือนกัน

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net