Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

หลังจากทราบผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แม้ว่าผลจะเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ก็ตาม แต่ในฐานะที่ทำงานภาคสังคมโดยเฉพาะกับกลุ่มคนยากไร้ที่สุดในประเทศไทย และในกรุงเทพมหานคร อดที่จะวิตกกังวลกับผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องมาจาก ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีคณะทำงานที่มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญด้านปัญหาสังคมอย่างแตกฉานเลยแม้แต่คนเดียว

ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ ปลายปี 2545 มาจนถึงปัจจุบัน ที่อิสรชน เริ่มขยับเข้าพื้นที่เพื่อเตรียมตัวทำงานในพื้นที่ สนามหลวง และเริ่มลงทำงานอย่างจริงจังในปลายปี 2547 พบว่า การทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ โดยเฉพาะพื้นที่ สนามหลวง คลองหลอด และปริมณฑล คำตอบไม่ใช่ การหาที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว หากแต่ว่าคำตอบมีมากกว่านั้นมากมาย แต่กว่าจะได้มาซึ่งคำตอบนั้นจำเป็นต้องมีวิธีการทำงานเพื่อค้นหาคำตอบจากผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะอย่างเข้มข้นและลงลึก

โดยการทำงานในช่วงเวลาที่ผ่านมาในระหว่างการดำรงตำแหน่งของอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ 2 ท่าน สามวาระ อิสรชน ได้ติดตามการทำงานในภาคสังคม โดยเฉพาะกับกลุ่มคนยากไร ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ และได้ทดลองและริเริ่มรูปแบบกิจกรรมเพื่อค้นหารากเหง้าของปัญหาร่วมกับคนสนามหลวงอย่างหลากหลายวิธี ที่พอจะสรุปได้ ได้แก่

  1. การลงพื้นที่สำรวจข้อมูล
  2.  การสร้างความคุ้นเคยเบื้องต้น
  3. การคุยกลุ่มย่อยในพื้นที่
  4. การคุยกลุ่มย่อยนอกพื้นที่
  5. การทำประชาคมเพื่อระดมความคิดเห็นในพื้นที่
  6. การให้บริการพื้นฐานเฉพาะหน้า
  7. การออกหน่วยให้คำปรึกษาแบบเคลื่อนที่เร็ว
  8. การตั้งหน่วยบริการให้คำปรึกษาแบบประจำจุด

การลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง พบว่า ปัญหาพื้นที่ ที่คนสนามหลวงต้องการเป็นการเร่งด่วน คือ การยืนยันสถานภาพบุคคลทางทะเบียนราษฎร เพื่อยืนยันความเป็นพลเมืองไทย และ นำไปสู่การได้รับสิทธิอื่น ๆ ที่พลเมืองไทยพึงได้จากรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการสร้างความมั่นใจในการหางานทำเพื่อพัฒนาตนเองในโอกาสต่อไป

 

รูปแบบการให้บริการเชิงรับเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ

จากการทำงานประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบกลุ่มผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ที่ภาครัฐเรียกว่า คนไร้ที่พึ่ง พบว่า สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ ที่รัฐมีอยู่ ยังไม่สามารถรองรับสภาพปัญหาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้อย่างแท้จริง กล่าวคือ สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ ของรัฐที่มีอยู่ มีเงื่อนไขที่ค่อนข้างขาดความยืดหยุ่น ไม่สามารถให้บริการ ครอบครัวผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ครอบครัวเร่ร่อนไร้บ้านได้ โดยฌฉพาะการแยกการให้การดูแลครอบครัวผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะออกจากกัน แม้จะมีในบางกรณีที่สามารถให้แม่เด็กและเด็กอยู่ด้วยกันได้ แต่ก็แยกผู้เป็นสามีออกจากครอบครัว จากการทำงานพบว่า เกือบจะ 100% ของครอบครัวผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ที่ได้รับการเชิญตัวเข้ารับการสงเคราะห์ในรูปแบบเดิม จากรัฐ จะกลายเป็นครอบครัวแตกในที่สุด เพราะเมื่อสามีหัวหน้าครอบครัว สามารถหาทางออกจากสถานแรกรับ หรือสถานสงเคราะห์มาได้ก่อน ภรรยามักจะมีครอบครัวใหม่ และเมื่อภรรยาเก่าออกมาพบ ก็เกิดการทะเลาะวิวาทกันในพื้นที่อยู่เป็นประจำ ยังไม่รวมการที่เด็กเมื่อได้รับการแยกให้การสงเคราะห์ออกไปมักจะได้รับการทอดทิ้งจากครอบครัว เป็นภาระของรัฐที่ต้องดูแลเด็กในฐานะเด็กถูกทอดทิ้ง

อิสรชน มีแผนการดำเนินการเปิด สถานพัฒนาคุณภาพชีวิตและฟื้นฟูผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ(บ้านปั้นปูน) เพื่อเป็นทางเลือกในการให้บริการด้านการสงเคราะห์เบื้องต้น แก่ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ โดยเปิดโอกาสให้สามารถอยู่ได้ในรูปแบบของครอบครัว โดยจะมีนักสังคมสงเคราะห์ ,นักพัฒนาคุณภาพชีวิต ประจำอยู่ในบ้านดังกล่าว เพื่อคอยให้คำแนะนำและประสานงานหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ หรือ ภูมิลำเนาของ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ กรณีมีความต้องการจะกลับภูมิลำเนา และ จัดให้มีการฝึกอาชีพเบื้องต้นในรูปแบบของการฝึกอบรมระยะสั้น เพื่อเสริมศักยภาพของ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ก่อนจะดำเนินการส่งต่อ หรือ ส่งกลับภูมิลำเนา โดยพยายามบริหารกรอบเวลาให้สามารถทำงานได้อย่างครอบคลุมปัญหาให้มากที่สุด

 

การระดมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อร่วมกันบรรเทาปัญหา

การแก้ไข หรือบรรเทาปัญหา ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ คนไร้ที่พึ่ง คนเร่ร่อนไร้บ้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมไปถึงภาคองค์กรธุรกิจด้วย เพื่อขยายพื้นที่การดูแลพลเมืองในสังคมอย่างทั่วถึงและสร้างทางเลือกให้ได้มากที่สุด

ในส่วนของภาครัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนองค์กรภาคเอกชน องค์กรประชาสังคม ที่แสดงความจำนงจะเข้ามาช่วยแก้ไขและบรรเทาปัญหานี้ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงการพัฒนากลไกเดิมที่มีอยู่ในสอดรับสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา

รัฐโดยเฉพาะกรุงเทพมหานครต้องสร้างแรงจูงใจให้แก่องค์กรภาคธุรกิจให้ออกมาร่วมสนับสนุนทั้งงบประมาณวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนการเปิดโอกาสให้ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้เข้าทำงาน เพื่อเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ อันจะนำไปสู่การยุติการใช้ชีวิตในที่สาธารณะอย่างถาวรในอนาคต

ข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะนำไปสู่แนวทางการปฏิบัติ 

  1. การตั้งหน่วยคัดกรอง (Drop In) ในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเป็นสถานที่พักพิงชั่วคราวแก่ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ทุกกลุ่ม โดยปราศจากเงื่อนไข ข้อจำกัด เพื่อให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยในการเข้ารับบริการ โดยรูปแบบเป็นการทำงานผสมผสานกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน  โดยภายในหน่วยคัดกรอง จะมีบริการพื้นฐานเบื้องต้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการ พูดคุยกับ ผู้รับบริการ
  2. การมีเจ้าหน้าที่ภาคสนามนอกเวลาราชการ เพื่อเป็นหน่วยเดินเท้าลงไปสร้างความคุ้นเคยชักชวนให้ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเต็มใจเข้ารับบริการในหน่วยคัดกรอง เพื่อประสานงานส่งต่อในการรับสวัสดิการด้านอื่น ๆ ต่อไป
  3. จัดให้มีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ ในการส่งต่อไปยังหน่วยงานบริการด้านสวัสดิการอื่น ๆ ของรัฐ รวมถึงการส่งกลับครอบครัว
  4. จัดให้มีการประชุมสรุปบทเรียน ระหว่างการดำเนินการ หน่วยคัดกรองดังกล่าว ควรเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาทในการให้บริการ ด้วยการกำหนดเวลา หรือวันในการให้บริการของแต่ละหน่วยบริการ ตลอดจนจัดให้มีการประชุมสรุปบทเรียนเป็นระยะ ๆ เพื่อค้นหารูปแบบการทำงานที่หลากหลายอยู่ตลอดเวลา

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net