สื่อเฉ่ง ‘กสทช.’ ประเคน ‘ทีวีดิจิตอลสาธารณะ’ ส่อเค้ายกคลื่นให้รัฐ! ด้าน TDRI ชี้เสี่ยงผิด กม.

เสวนา ‘ประเคนทีวีดิจิตอลสาธารณะ... กสทช.รัฐประหารการปฏิรูปสื่อ?’ ผอ.TDRI ชี้ประเคนช่องสาธารณะให้โดยที่ยังไม่ขอ เสี่ยงผิด กม. ด้าน ส.ว.ย้ำ บอร์ดเล็กตัดสินมีผลต่อบอร์ดใหญ่ทั้งชุด ‘ชวรงค์’ ห่วงอ้าง กม.ยกคลื่นให้รัฐ ไม่ต่างมีช่อง 11 อีก 10 ช่อง จี้ ‘ไทยพีบีเอส’ ประกาศจุดยืน อย่าร่วมกระบวนการปล้นคลื่นความถี่จากประชาชน

 
 
ประเด็นร้อนการจัดสรรคลื่นทีวีใหม่ในช่องดิจิตอลสำหรับบริการสาธารณะ ล่าสุดคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติ 3:2 แบ่งช่องบริการสาธารณะ 4 ใน 12 ช่อง ให้กับผู้ประกอบการรายเดิม คือ ช่อง 5, 11 และไทยพีบีเอส ได้สิทธิทดลองออกอากาศคู่ขนานไปกับระบบอนาล็อกเดิม โดยไม่ต้องทำเงื่อนไขใหม่
 
ก่อให้เกิดคำถามต่ออนาคตการปฏิรูปสื่อที่อาจไม่เป็นดังหวังของใครหลายคนอีกต่อไป และผู้ทำหน้าที่อย่าง กสทช.ใช้เหตุผลอะไรในการยกคลื่นความถี่ใหม่ให้กับผู้ประกอบการช่องต่างๆ โดยไม่มีการกำหนดกติกาและเงื่อนไขที่ชัดเจน
 
วันนี้ (31 มี.ค.56) สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จัดเสวนา “ประเคนทีวีดิจิตอลสาธารณะ... กสทช.รัฐประหารการปฏิรูปสื่อ?” ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารสมาคมนักข่าวฯ ระดมความคิดนักวิชาชีพสื่อ นักวิชาการ ก่อนกำหนดทิศทางเดินหน้าต่อ
 
ข้อสรุปในเวทีนี้คือการเรียกร้องให้ กสทช.ทบทวนและกำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนเกี่ยวกับการให้ใบอนุญาต 12 ช่องดิจิตอลทั้งสำหรับบริการสาธารณะ ธุรกิจ และบริการชุมชน โดยมีการรับฟังความคิดเห็นให้เป็นที่เข้าใจ แล้วประกาศต่อสาธารณะ
 
 

TDRI ชี้ ‘ปฏิรูปสื่อครั้งใหม่’ เสี่ยง แข่งขันไม่เป็นธรรม-ราชการครองทีวีสาธารณะ

 
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ทีวีสำหรับบริการสาธารณะจำเป็นต้องมี เพื่อตอบโจทย์ผลประโยชน์สาธารณะที่ทีวีเอกชนเชิงพาณิชย์ไม่สามารถทำได้ หรือไม่ต้องการที่จะทำ เช่น กลุ่มผู้ชมที่ไม่มีตลาด กรณีของกลุ่มสูงอายุ กลุ่มเด็ก กลุ่มคนด้อยโอกาส หรือรายการบางประเภทที่ต้องการคุณภาพสูงกว่าที่ตลาดโดยทั่วไปมีให้
 
ส่วนทีวีดิจิตอลนั้นถือเป็นโอกาสในการปฏิรูปสื่อ ซึ่งความเสี่ยงในการปฏิรูปครั้งนี้มี 2 ข้อ คือ 1.เป็นการสร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เช่น กรณีมีผู้ได้ใบอนุญาตสาธารณะแต่นำไปบริการเชิงพาณิชย์ เพราะใบอนุญาตได้มาโดยไม่ต้องประมูลเหมือนใบอนุญาตเชิงพาณิชย์ แต่ถูกนำไปโฆษณาแข่งขันกัน การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจึงเกิดขึ้น 2.หน่วยราชการต่างๆ พาเหรดเข้ามายึดครองทีวีสาธารณะ ทำให้ทีวีสาธารณะกลายเป็นทีวีของราชการ ซึ่งทำเพื่อประโยชน์ของราชการไม่ใช่ประโยชน์ของสาธารณะ
 
 

ประเคนช่องสาธารณะให้โดยที่ยังไม่มีใครขอ เสี่ยงเข้าข่ายผิด กม.

ดร.สมเกียรติ กล่าวต่อมาถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่า อาจเข้าข่ายการประเคนช่องทีวีดิจิตอลสาธารณะ เพราะ กสทช.ยังไม่ได้มีการออกหลักเกณฑ์ ตามที่กฎหมายกำหนดว่าผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการบริการสาธารณะจะต้องมีหน้าที่อย่างไรบ้าง และยังไม่มีใครขออนุญาตเข้ามาเลย แต่ทำท่าว่าจะให้ไปแล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงอาจเข้าข่ายผิดต่อเจตนารมณ์ในการปฏิรูปสื่อ และผิดกฎหมาย อาทิ 1.ตามกฎหมายกำหนดเรื่องผังรายการไว้ว่า ถ้าจะเป็นบริการสาธารณะ ผังรายการจะต้องมีข่าวสารสาระเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป หากขอบริการสาธารณะ ข่าวสารสาระที่ว่าก็ต้องเกี่ยวกับความมั่นคง
 
2.เรื่องการกำหนดคุณสมบัติผู้ที่จะขอใบอนุญาต การจัดทำเช่นนี้เป็นการออกใบอนุญาตใหม่ เป็นการจัดสรรคลื่นใหม่ ซึ่ง ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 11 ระบุไว้ว่าผู้ที่จะมาขอใบอนุญาตหากเป็นกระทรวง ทบวง กรมของรัฐซึ่งไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ จะต้องมีหน้าที่หรือมีความจำเป็นในการดำเนินกิจการ แต่เมื่อยังไม่มีการออกประกาศหลักเกณฑ์ขึ้นมากำหนด แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าช่อง 5, 11 และไทยพีบีเอสมีหน้าที่ความจำเป็นตามที่กฎหมายกำหนด
 
3.การออกประกาศหลักเกณฑ์ในเรื่องที่กระทบประโยชน์สาธารณะจะต้องมีการรับฟังความเห็น ตามมาตรา 28 ของกฎหมาย กสทช.ซึ่ง กระบวนการที่ผ่านมายังไม่มีการรับฟังความเห็น
 
 

แม้ กม.เกิดสมัยรัฐประหาร แต่ยุค ปชต.กลับละเมิดเจตนารมณ์ ‘ปฏิรูปสื่อ’

สำหรับประเด็น ‘กสทช.รัฐประหารการปฏิรูปสื่อหรือไม่?’ ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า แม้กฎหมายสำคัญที่ กสทช.นำมาใช้จะเป็นกฎหมายที่ออกโดยสภาที่ตั้งโยคณะรัฐประหาร แต่มีเจตนารมณ์ในการปฏิรูปสื่ออย่างน้อยตั้งแต่ปี 2540 อยู่ และเนื้อหาโดยรวมก็มีความก้าวหน้าและมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปสื่อพอสมควร มีเนื้อหาที่เป็นปัญหาบ้าง เช่น การอนุญาตให้หน่วยงานของรัฐด้านความมั่นคงสามารถขอใบอนุญาตประกอบกิจการสาธารณะด้านความมั่นคง โดยยังมีโฆษณาได้ ซึ่งตรงนี้เป็นการประนีประนอม
 
“ส่วนตัวคิดว่าเป็นการประนีประนอมที่จำเป็นในเวลาแบบนั้น แต่สิ่งที่แย่ก็คือ แม้แต่สมัยประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ก็ยังมีการไปละเมิดเจตนาของการปฏิรูปสื่อ จะเรียกว่ารัฐประหารการปฏิรูปสื่อหรือไม่ก็ตาม” ดร.สมเกียรติ กล่าว
 
ดร.สมเกียรติ กล่าวถึงข้อเสนอด้วยว่า กสทช.ควรทบทวนมติที่ได้ออกไป เพราะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและส่วนตัวเห็นว่าอาจผิดกฎหมายในหลายมาตรา แล้วประชุมตั้งต้นกันใหม่ กำหนดเงื่อนไขการทำ Beauty Contestตามที่กฎหมายกำหนด โดยต้องตอบสนองต่อกลุ่มผู้ฟังที่ถูกละเลยโดยกลไกตลาด รายการจะต้องมีความสมดุล มีการแสดงความเห็นอย่างครบถ้วนรอบด้าน และมีกลไกต่างๆ เพื่อประกันคุณภาพรายการ มีการออกใบอนุญาตในระยะเวลาที่ไม่ยาวจนเกินไป หากประเมินแล้วไม่ได้ทำตามเงื่อนไขใบอนุญาตควรเพิกถอนใบอนุญาต
 
ส่วนข้อเสนอต่อผู้ประกอบการ ช่อง 5 ควรมีการปรับผังรายการให้สอดคล้องกับกฎหมายหากต้องการขออนุญาต ช่อง 11 จะต้องวางกลไกการรับเรื่องร้องเรียน กลไกนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วนรอบด้าน ส่วนไทยพีบีเอสก็ควรพิจารณาทบทวนว่ามีส่วนไหนที่ยังไม่ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายหรือไม่
 
 

ส.ว.ย้ำ บอร์ดเล็กตัดสินเป็นเสียงข้างน้อยใน 11 คน แถมมีผลต่อบอร์ดใหญ่ทั้งชุด

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา และอดีตรองประธานกรรมาธิการพิจารณา พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 กล่าวว่า กสทช.ถูกตั้งขึ้นโดยการยุบ 2 องค์กร ตามรัฐธรรมนูญ 40 ให้มี กสทช.ตามรัฐธรรมนูญ 50 โดยให้มีคณะกรรมการชุดเล็ก 2 คณะในคณะกรรมการใหญ่ ซึ่งตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญ แต่วันนี้กำลังมีการตีความกฎหมายไปในทางที่ผิดเพี้ยน กสทช.มีทั้งหมด 11 คน แต่เรากำลังใช้คณะกรรมการ 5 คน แยกเป็นด้านโทรคมนาคม และด้านวิทยุโทรทัศน์ ตัดสินโดยเสียงข้างมากแต่เป็นเสียงข้างน้อยใน 11 คน
 
ตรงนี้เป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาว่า 3 ใน 11 จะกำหนดอนาคตทีวีสาธารณะ ซึ่งกว่าจะมีการปฏิรูปโครงสร้างสื่อหรือกว่าจะได้ทีวีแต่ละช่องถือเป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก แต่กลับให้คณะกรรมการ 3 คนอนุมัติโดยไม่มีการร้องขอไป จึงต้องตรวจสอบว่าหลักเกณฑ์วิธีการขัดต่อกฎหมายหรือไม่อย่างไร ซึ่งคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภาได้พิจารณานำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมเมือวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาแล้ว และจะมีการเชิญ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท.มาชี้แจง
 
“การตัดสินใจของ กสทช.มีผลผูกพันกันทั้งคณะ ไม่ได้หมายความว่า กสทช.3 คน หรือ 4 คน ซึ่งเป็นเสียงข้างมากในคณะเล็กแล้วตัดสินใจไป หากพบว่ามีปัญหาทางข้อกฎหมาย ความรับผิดชอบของ กสทช.ทั้ง 11 ท่าน ไม่ได้อยู่เพียงแค่ 3 ท่าน” นายสมชายกล่าว
 
 

แนะช่อง 5, 11 ปรับตัวเอาให้ชัด - ไทยพีบีเอสให้ได้แค่คลื่นเดียว

นายสมชายกล่าวต่อมาถึงการที่ กสทช.อนุมัติคลื่นความถี่ 4 คลื่น โดยไม่มีความชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกไปดิจิตอลว่า กรณีช่อง 5 ไม่สามารถตัดเรื่องช่องความมั่นคงออกไปได้ แต่จะมีช่องทางที่เหลืออยู่คือ หากต้องการทำช่องธุรกิจที่มีการโฆษณาแข่งขันกับรายอื่นจะต้องเข้าประมูล แต่หากทำเป็นช่องเพื่อความมั่นคง จะต้องมีเนื้อหาสาระเพื่อความมั่นคง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต้องวางกรอบให้ชัดเจน สำหรับ ช่อง 11 มีเจตนารมณ์ให้เห็นช่องทีวีสาธารณะเช่นเดียวกับไทยพีบีเอส เพราะฉะนั้นจะต้องเข้าสู่การเปลี่ยนไปอยู่ในกรอบทีวีด้านความเข้าใจระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ไม่ใช่กรมประชาสัมพันธ์ที่อยู่ภายใต้รัฐบาลอีกต่อไป
 
“ช่อง 5 กับช่อง 11 ถูกจัดไปอยู่ในกลุ่มที่เหมือนยกไปให้ก่อน 2 ช่อง โดยยังเว้นเรื่องความมั่นคงและความเข้าใจระหว่างรัฐบาลกับประชาชนไว้อีก นั่นทำให้เห็นเจตนารมณ์ว่าไม่ได้เอาไปตรงตามสล็อตที่ได้วางเอาไว้แค่ 2 ช่อง แต่กำลังจะเอาไปให้คนอื่นอีก เพิ่มเติมหรือไม่” นายสมชายตั้งข้อสังเกต
 
ส่วนช่องไทยพีบีเอสก็มีหน้าที่ที่ต้องทำทีวีสาธารณะ และคิดว่าวันนี้เพิ่งเริ่มต้น ยังเตาะแตะอยู่มาก มีความจำเป็นที่ต้องทำตัวเองให้สมบูรณ์ก่อน แต่ กสทช.ทำเอ็มโอยูอนุมัติคลื่นความถี่ให้ทีพีบีเอสไปอีก 1 คลื่น ทั้งที่ควรได้เพียงคลื่นเดียว ประเด็นอยู่ที่การตีความว่าเอ็มโอยูไม่น่าจะเหนือกฎหมายการจัดสรรคลื่นได้ เพราะฉะนั้นสิทธิที่ไทยพีบีเอสจะได้ช่องเพิ่มจึงไม่มีความจำเป็น
 
 

ชี้ช่อง ‘ยื่นวุฒิสภา’ พิจารณามีมติ 2 ใน 3 ให้ กสทช.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะได้

นายสมชาย กล่าวด้วยว่า มีความคาดหวังที่จะให้ กสทช.ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา คงความหน้าเชื่อถือ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปสื่ออย่างชัดเจน อย่าพยายามตะแบงตีความทางกฎหมาย ลอดช่องเล็กช่องน้อย อย่างไรก็ตาม กสทช.มีความรับผิดอยู่ ตามกฎหมายระบุว่าหาก กสทช.ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนที่มีอยู่ทั้งหมดในสภา หรือ ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนที่มีอยู่ทั้งหมดในสภา และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบไม่น้อยกว่า 20,000 คน สามารถร้องขอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้วุฒิสภามีมติ 2 ใน 3 เพื่อให้ กสทช.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
 
 

‘ผอ.มีเดีย มอนิเตอร์’ เผยแยกย่อย 12 ประเภท ส่อเจตนาที่ประเคนให้ภาครัฐ

น.ส.เอื้อจิตร วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้อำนวยการมูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา (มีเดีย มอนิเตอร์) ตั้งข้อสังเกตว่า กสทช.ได้ประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการโทรทัศน์ ซึ่งมีการอธิบายเพิ่มเติมว่าใบอนุญาตมี 3 ประเภท และตามมติที่ออกมามีการแยกย่อยจาก 3 ประเภทออกไปอีก 12 ประเภท ทั้งที่เมื่อมีอำนาจแล้ว กสทช.สามารถทำข้อกำหนดในกฎหมายให้มีความชัดเจนมากขึ้นได้ แต่ กสทช.ไม่ได้ดูเจตนารมณ์ของกฎหมาย แต่กลับแยกย่อยโดยแบ่งความ เช่น เน้นการศึกษา เน้นสุขภาพ ทั้งที่หากเป็นบริการสาธารณะแล้วเนื้อหาที่มีความสำคัญต่อคนกลุ่มต่างๆ ที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตและองค์ความรู้ ไม่สามารถแยกออกไปได้
 
นอกจากนั้น ที่ผ่านมายังมีการตั้งคำถามถึงนิยาม ‘ความมั่นคงของรัฐ’ และ ‘ความปลอดภัยสาธารณะ’ ในหลายเวทีที่มีการพูดคุย ซึ่งก็มีการทำคำอธิบายเอาไว้ในหลายแหล่ง ทั้งโดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และในงานศึกษาของผู้บริหารระดับสูงของกองทัพ แต่ กสทช.กลับไม่ทำคำอธิบาย ปล่อยทิ้งค้างแล้วมาแบ่งแยกย่อยเป็นช่องเพื่อความมั่นคงของรัฐ และช่องเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ อีกทั้งมีการแบ่งช่องเพื่อกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อส่งเสริมการเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลกับประชาชน/รัฐสภากับประชาขน ดังนั้น จึงเหมือนกับส่อเจตนาที่จะจัดการลักษณะการบริการสาธารณะอย่างชนิดที่ว่าประเคนให้กับหน่วยงานภาครัฐ
 
น.ส.เอื้อจิตร กล่าวด้วยว่า เมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา มีเดีย มอนิเตอร์ ได้ทำการศึกษาผังรายการของฟรีทีวี โดยเฉพาะช่อง 5, 11 และไทยพีบีเอส โดยใช้หลักเกณฑ์ที่ กสทช.กำหนดว่าหากจะเข้าข่ายทีวีบริการสาธารณะต้องมีสารประโยชน์ไม่น้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ กรณีช่อง 5 พบว่า มีอยู่ 44 เปอร์เซ็นต์ และการศึกษาตั้งข้อสังเกตว่ารายการค่อนข้างมีบันเทิงสูง มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงตามคำอธิบายที่ออกแบบไว้
 
ทั้งนี้ เห็นด้วยว่า กสทช.ต้องทำหลักเกณฑ์ และภายใต้หลักเกณฑ์นั้นต้องมีข้อมูลในเชิงประจักษ์ให้เห็นชัดว่าลักษณะการใช้คลื่นของทีวีที่จะได้ใบอนุญาตต่อเนื่องเป็นบริการสาธารณะ มีสภาพการประกอบการปัจจุบันเป็นอย่างไร และมีผังที่แสดงถึงการปรับตัวก่อนที่จะยกให้ทันที
 
 

‘ชวรงค์’ ห่วงอ้าง กม.ยกคลื่นให้รัฐ ไม่ต่างมีช่อง 11 อีก 10 ช่อง

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ที่ปรึกษาสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวถึงข้อห่วงใยต่อกรณีที่เกิดขึ้นว่า 1.การให้คลื่นโดยไม่กระบวนการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ทั้งที่กฎหมายระบุไว้ว่าเรื่องสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อประชาชนควรต้องรับฟังความเห็นสาธารณะ แต่เรื่องนี้กลับไม่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นเลยเป็นการตัดสินใจโดยบอร์ดเล็ก 2.เรื่องการยกคลื่นให้กับหน่วยงานราชการ ซึ่ง พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กทค.ยืนยันว่าทำตามกฎหมายที่กำหนดประเภทของทีวีสาธารณะ แต่หากมีการกำหนดเช่นนี้ก็พิจารณาได้ว่าใครเป็นผู้มีศักยภาพที่จะขอใบอนุญาตเพื่อดำเนินการ ซึ่งหนีไม่พ้นหน่วยราชการ และคงไม่ต่างกับการที่จะมีช่อง 11 อีก 10 ช่อง เพราะมีหน่วยราชการเป็นเจ้าของและมีภาคเอกชนร่วมผลิต
 
“เมื่อเป็นช่องของหน่วยงานรัฐเนื้อหาก็จะไม่แตกต่างจากนโยบายรัฐ ไม่สามารถมีการวิพากษ์วิจารณ์หรือการให้ความคิดเห็นที่ครบถ้วนรอบด้าน เพราะฉะนั้น เจตนารมณ์ของความเป็นสาธารณะ ในการที่จะให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนรอบด้านคงไม่เกิด” ที่ปรึกษาสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวถึงข้อห่วงใย
 
นอกจากนี้ ยังมีข้อห่วงใยถึงผลกระทบต่อเอกชน เรื่องการหารายได้ในทีวีสาธารณะ ซึ่งตามกฎหมายทีวีสาธารณะเพื่อความมั่นคงสามารถหาโฆษณาเชิงธุรกิจได้ เพื่อให้เพียงพอต่อการประกอบกิจการเท่านั้น โดยยังไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ว่าแค่ไหนจึงเพียงพอ ส่วนช่องทีวีที่ไม่ใช่ด้านความมั่นคงสามารถโฆษณาได้ในเชิงภาพลักษณ์องค์กรเท่านั้น และถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการกำหนดผังรายการ ยังไม่มีการระบุรายละเอียดของข่าวและสาระ 70 เปอร์เซ็นต์ที่กำหนดไว้
 
 

เตือน ‘พ.อ.นที’ ใช้กรณี ‘ประมูล 3 จี สมัย กทช.ล่ม’ เป็นบทเรียน คิดให้รอบคอบ

นายชวรงค์ กล่าวด้วยว่า เมื่อมีการพูดกันมากถึงปัญหาทีวีสาธารณะเพื่อความมั่นคงว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ ในขณะที่วันนี้เราอยู่สังคมที่เรียกว่าเป็นประชาธิปไตย มีพรรคการเมืองฝากรัฐบาลที่บอกว่าจะส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นโอกาสที่จะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ หากมี ส.ส.พรรครัฐบาลกล้าลุกขึ้นมาบอกว่าจะแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบกิจการฯ เฉพาะในเรื่องทีวีสาธารณะเพื่อความมั่นคง
 
พร้อมเตือน กสท.หากยังดึงดันทำตามมติ ให้ระวังการฟ้องร้องจากผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบในอนาคตโดยเฉพาะหลังจากที่มีการเปิดให้มีการประมูลคลื่นทีวีธุรกิจดิจิตอล แม้จะยังไม่มีการฟ้องร้องในตอนนี้ก็ตาม อีกทั้ง ยังกล่าวถึง พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท.ให้นึกถึงบทเรียนการเดินหน้าอะไรที่ไม่รอบคอบ กรณีการยกเลิกประมูล 3 จี สมัย กทช.เพื่อนำพิจารณาทบทวนการดำเนินการต่อสำหรับทีวีดิจิตอลสาธารณะ
 
 

จี้ ‘ไทยพีบีเอส’ ประกาศจุดยืน อย่าร่วมกระบวนการปล้นคลื่นความถี่จากประชาชน

ขณะที่ ดร.สุวรรณา สมบัติรักษาสุข ผู้อำนวยการสถานีวิทยุจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการยกร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงฯ กล่าวแสดงความเห็นด้วยกับนายชวรงค์ ในการเรียกร้องให้กรรมการนโยบายไทยพีบีเอสในฐานะที่เป็นทีวีสาธารณะตามกฎหมาย เป็นตัวอย่างของการประกาศจุดยืนในการไม่ขอรับทีวีดิจิตอลสาธารณะ โดยไปทำหลักเกณฑ์ก่อน ระบุเรียกร้องอย่าร่วมกระบวนการปล้นคลื่นความถี่จากประชาชน ชี้ธุรกรรมครั้งนี้ไม่ควรเกี่ยวข้อง
 
ดร.สุวรรณา กล่าวด้วยว่าสิ่งที่ห่วงใยในวันนี้ คือ ระบบปฏิรูปสื่อที่ทำกันมาไม่ต่ำกว่า 14 ปี ในการทำให้เกิด กสทช.แต่ กสทช.กำลังใช้เวลาเพียง 3 เดือน ในการจัดสรรคลื่นทีวีสาธารณะให้สังคม พร้อมระบุว่าในภาพใหญ่ กสทช.ไม่มีความพยายามทำในสิ่งที่ควรทำ เช่น การจัดระเบียบ การพูดคุยถึงเรื่องความจำเป็นของคลื่นเดิม และการออกใบอนุญาตคลื่นเดิม แต่กลับลัดคิวไปทำเรื่องการจัดสรรคลื่นใหม่ ถือเป็นการให้ความสำคัญในมิติที่ต่างกัน
 
 

เผย ‘องค์กรวิชาชีพสื่อ’ ร่วม ‘ภาคสังคม’ ตามติด เตรียมกำหนดท่าทีต่อไป

ด้านนายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยว่า สิ่งที่ กสท.ทำนั้นบิดเบือนเจตนารมณ์ของการปฏิรูปสื่อ ที่ต้องการเปลี่ยนความเป็นเจ้าของสื่อสาธารณะจากรัฐและเอกชนมาเป็นของสังคม แต่วันนี้ทั้งหมดกลับย้อนยุค และเห็นว่าควรต้องเรียกร้องให้ กสทช.ปรับท่าที หากไม่เปลี่ยนก็อาจมีช่องทางในการฟ้องร้องทางกฎหมาย
 
ยังไม่สายหาก กสทช.คิดทบทวน หรือวางมาตรการเพิ่มเติมขึ้นมากับสิ่งที่ให้ใบอนุญาตไปแล้ว คือต้องหาทางเยียวยา เช่น ประกาศสัดส่วน การรับฟังความเห็น การปรับผังรายการให้ชัดเจน ซึ่งก็ สทช.ยังมีโอกาสที่จะทำได้อยู่
 
“นี่คือโอกาสสำคัญของ คุณที่จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผุ้มีส่วนร่วมสำคัญในการวางโครงสร้างการปฏิรูปสื่อในประเทศไทย แต่ถ้าคุณทำนอกเหนือไปจากนี้ คุณก็จะถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ หรือถึงขึ้นประณามคุณได้” นายประดิษฐ์ กล่าวถึงสัญญาณ ที่ส่งไปถึง พ.อ.นที ประธาน กสท.พร้อมระบุด้วยว่า ยังคงต้องดูเหตุการณ์ และองค์กรวิชาชีพสื่อจะร่วมกับภาคสังคมเพื่อกำหนดท่าทีในการผลักดันเรื่องนี้ต่อไป
 
 

กสทช.รับนำข้อเสนอ 7 ข้อ จากนักวิชาการ ถกบอร์ด กสท.พรุ่งนี้

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กสทช.1 ใน 2 เสียงข้างน้อยในการลงมติ กล่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า บอร์ด กสท.ยกคลื่นความถี่ใหม่ในระบบดิจิตอลให้กับช่อง 5, 11 และไทยพีบีเอส โดยยังไม่มีเงื่อนไขหลักเกณฑ์ ทุกเรื่องผ่านมาโดยการเซ็น MOU ความร่วมมือกว้างๆ ซึ่งไม่มีรายละเอียด และผ่านคณะอนุกรรมการเปลี่ยนผ่านดิจิตอล ซึ่งมีองค์ประกอบของฟรีทีวี 6 ช่องร่วมอยู่ด้วย จึงอาจมี conflict of Interest (ความขัดกันของผลประโยชน์)
 
อีกทั้ง ไม่มีเงื่อนไขที่ชัดเจนว่าจะมีการคืนช่องในระบบอนาล็อกเร็วขึ้นหรือไม่ และผู้ประกอบการดังกล่าวอาจได้สิทธิในการใช้ระบบดิจิตอลคู่ขนาดไปจนกว่าระบบอนาล็อกจะยุติ โดยไม่มีเงื่อนไขให้เปลี่ยนผังรายการ ตรงนี้ บอร์ด กสท.เสียงข้างมากให้ความเห็นว่า ยังไม่ได้เป็นการออกใบอนุญาตแต่เปลี่ยนการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเป็นการตีความแบบกำปั้นทุบดิน คือไม่ได้ให้ใบอนุญาต แต่ให้สิทธิ์ในการใช้คลื่น 5-10 ปี นั่นก็เทียบเท่ากับการให้ใบอนุญาต
 
น.ส.สุภิญญา กล่าวด้วยว่า ในส่วนเนื้อหาที่ยังไม่มีเกณฑ์กติกาที่ชัดเจน ซึ่งอาจมีการนำไปฟ้องศาลปกครองทำให้การเปลี่ยนผ่านเกิดความล่าช้าได้นั้น ล่าสุดได้เสนอวาระเข้าที่ประชุม บอร์ด กสท.โดยนำข้อเสนอ 7 ข้อ จากนักวิชาการนิเทศศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ เข้าหารือในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ (1 เม.ย.56)
 
ข้อเสนอดังกล่าว ประกอบด้วย 1.กสท.ต้องกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการรายเดิม ช่อง 5, ช่อง 11 และไทยพีบีเอส ปรับตัวให้สอดคล้องกับคุณสมบัติของการเป็นผู้ประกอบกิจการสาธารณะ ไม่ใช่ได้รับสิทธิในการออกอากาศในระบบดิจิตอลโดยอัตโนมัติ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลต่อการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญ 2550 2.กสท.ต้องสร้างเกณฑ์การตรวจสอบ ‘หน้าที่’ และ ‘ความจำเป็น’ ของผู้ประกอบการรายเดิม และหน่วยงานรัฐและองค์กรต่างๆ ที่ขอเข้ามาจัดสรรคลื่นความถี่โดยคำนึงถึงโครงสร้างความเป็นเจ้าของ
 
3.กสท.ต้องจัดทำคำนิยาม ‘บริการสาธารณะ’ และเนื้อหารายการ รวมทั้งพันธกิจสำคัญในแต่ละช่องรายการให้ชัดเจน และขอให้ทบทวนการจัดกลุ่มตามวัตถุประสงค์ของทั้ง 12 ช่อง 4.กสท.ต้องคำนึงถึงความเป็นเจ้าของสำหรับภาคประชาชนเพื่อใช้คลื่นความถี่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ในทุกพื้นที่ของการประกอบกิจการ 5.กสท.ต้องกำหนดให้แต่ละช่องเสนอโครงสร้างการบริหารที่สะท้อนความเป็นอิสระจากภาคการเมืองและภาคธุรกิจ และมีแผนการจัดสรรและที่มาของงบประมาณที่ชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้
 
6. กสท.ต้องมีเกณฑ์การคัดเลือกคุณสมบัติผู้ได้รับการจัดสรรคลื่นความถี่ช่องบริการสาธารณะ (Beauty Contest) ที่ชัดเจน และผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ เนื่องจากเป็นแนวนโยบายที่มีผลกระทบต่อสาธารณะ และ 7.กสท.ควรชะลอการพิจารณาการจัดสรรคลื่นความถี่บริการสาธารณะ 12 ช่อง จนกว่าจะสำรวจและรับความเห็นจากทุกภาคส่วนและศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ในการใช้ดุลพินิจของ กสท.
 
“ถ้าไม่ทำอะไรเลย ยืนยันตาม 3:2 ดิฉันคิดว่าจะมีจุดอ่อนมากพอที่จะทำให้กระบวนการมันสะดุด แต่ถ้าบอร์ดรับฟัง 7 ข้อนี้และมีเกณฑ์แน่นอนมันก็จะดีขึ้น แต่ก็ต้องดูว่า สุดท้ายพอมีเกณฑ์แล้วมันจะเป็นไปตามเจตนารมณ์หรือไม่” น.ส.สุภิญญาระบุ
 
 
 
 
เมื่อวันที่ 25 มี.ค.56 กสท.ได้มีมติ 3-2 อนุมัติกำหนดช่องรายการสำหรับกิจการโทรทัศน์ดิจิตอล (ทีวีดิจิตอล) ประเภทสาธารณะ จำนวน 12 ช่อง โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ช่อง 1-3 อนุญาตให้ช่อง 5, เอ็นบีที และไทยพีบีเอส ทำการออกอากาศคู่ขนานไปกับการออกอากาศแบบอนาล็อกเดิม โดยยังไม่ต้องทำเงื่อนไขของช่องทีวีดิจิตอลใหม่ มีระยะเวลาเท่ากับสิทธิในการใช้คลื่นความถี่เดิม
 
สำหรับกลุ่มที่ 2 ช่อง 4-12 นั้น ได้กำหนดรายละเอียดวัตถุประสงค์การให้บริการโทรทัศน์ประเภททีวีสาธารณะ ประกอบด้วย
 
ช่อง 4 จะจัดสรรให้กับไทยพีบีเอส ที่จะต้องเน้นรายการสำหรับเด็ก เยาวชนและครอบครัว
 
ช่อง 5 จะเน้นรายการให้ความรู้ การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
 
ช่อง 6 เน้นรายการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การเกษตร และการส่งเสริมอาชีพอื่นๆ
 
ช่อง 7 เน้นรายการสุขภาพ อนามัย กีฬา หรือการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน
 
ช่อง 8 เพื่อความมั่นคงของรัฐ
 
ช่อง 9 เพื่อความปลอดภัยสาธารณะ
 
ช่อง 10 เพื่อกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อส่งเสริมการเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลกับประชาชน/รัฐสภากับประชาขน
 
ช่อง 11 เพื่อกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อการส่งเสริมสนับสนุนในการเผยแพร่และให้การศึกษาเกี่ยวกับการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
 
ช่อง 12 เพื่อบริการข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สาธารณะแก่คนพิการ คนด้อยโอกาส รวมถึงเด็กและเยาวชนหรือความสนใจกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะ
 
ทั้งนี้ ระยะเวลาการอนุญาต ช่อง 4-12 จะมีอายุการอนุญาต 4 ปี หลังจากนั้น กสทช.จะพิจารณาการออกใบอนุญาตให้อีกครั้งว่าจะอนุญาตให้ 15 ปีตามที่กฎหมายกำหนด ขึ้นอยู่กับการประกอบกิจการในช่วง 4 ปีที่ได้รับอนุญาตว่าเป็นไปตามคำนิยามการประกอบกิจการสาธารณะหรือไม่
 
คาดว่า กสท.จะประกาศเชิญชวนผู้ที่สนใจ ยื่นขอรับใบอนุญาตได้ในช่วงเดือนเมษายน หรือพฤษภาคม ส่วนใบอนุญาตคาดว่าจะออกประมาณเดือนมิถุนายน 
 
 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท