Skip to main content
sharethis

กสท.ลงมติให้เฉพาะหน่วยงานความมั่นคงของรัฐ สามารถขอทีวีดิจิตอลช่องความมั่นคง ด้าน ‘สุภิญญา’จวกล็อคสเปค ให้สิทธิเฉพาะกับหน่วยงานรัฐด้านความมั่นคง ชี้ความมีหลักเกณฑ์การอนุญาตในภาพรวม เตรียมเดินหน้าจับมือจุฬาฯ เปิดเวทีวิชาการชี้ประเด็นสำคัญ

 
17 เม.ย.56 - ที่ประชุม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) พิจารณาและลงมติ เรื่อง คุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ บริการสาธารณะประเภทที่สอง เพื่อความมั่นคงของรัฐ ระบุผู้รับใบอนุญาตต้องเป็นหน่วยงานรัฐเท่านั้น อีกทั้งต้องมีกฎหมายรองรับอำนาจหน้าที่เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ในการพิทักษ์รักษา ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ รักษาเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน รวมทั้งการรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศ ทั้งนี้ ผลโหวตเสียงข้างมาก 3 : 1 : 1  โดยกรรมการเสียงข้างน้อยงดออกเสียงและไม่เห็นชอบมติตามลำดับ
 
สุภิญญา กลางณรงค์ กสทช.กรรมการเสียงข้างน้อยผู้ลงคะแนนไม่เห็นชอบมติให้เหตุผลว่า เนื่องจากเห็นว่าเป็นการกำหนดคุณสมบัติอย่างเฉพาะเจาะจงหรือเป็นการล็อคสเปค ให้สิทธิเฉพาะกับหน่วยงานรัฐด้านความมั่นคง โดยให้ความหมายเกี่ยวกับความมั่นคงอย่างจำกัด ซึ่งจะส่งผลให้เฉพาะกระทรวงกลาโหม กองทัพ และตำรวจเท่านั้น ที่เป็นผู้มีสิทธิขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ บริการสาธารณะประเภทที่สองเพื่อความมั่นคงของรัฐในทันที
 
อีกทั้งเห็นว่าเป็นการเห็นชอบกติกาในส่วนย่อย โดยไม่คำนึงผลของการอนุญาตให้ประกอบกิจการประเภทบริการสาธารณะในภาพรวมทั้งหมด ซ้ำยังไม่ครอบคลุมเงื่อนไขเกี่ยวกับสัดส่วนเนื้อหาและผังรายการ ตลอดจนการหารายได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกจับตาเป็นพิเศษ เนื่องจากบริการสาธารณะประเภทที่สอง “เพื่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยสาธารณะ” กฎหมายเปิดให้หารายได้จากการโฆษณาได้ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สาธารณะยิ่งมีข้อกังขามากขึ้น
 
สุภิญญา กล่าวด้วยว่า การทำหน้าที่ของ กสท.ซึ่งต้องตอบสาธารณะให้ได้ว่า นโยบายที่เกิดขึ้นเป็นการกระจายสิทธิการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ไปสู่หน่วยงานนอกภาครัฐมากน้อยเพียงใด เพื่อให้หน่วยงานนอกเหนือจากรัฐมีโอกาสทำหน้าที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารที่แตกต่างแก่สาธารณะตามที่กฎหมายรับรองสิทธิ หรือเป็นเพียงการเพิ่มสิทธิให้กับหน่วยงานรัฐอื่นๆ เท่านั้น
 
อย่างไรก็ตามตนเห็นว่า กรณีดังกล่าวยิ่งสะท้อนถึงความจำเป็นที่จะต้องมีหลักเกณฑ์การอนุญาต ให้ประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์บริการสาธารณะในภาพรวม โดยเฉพาะการอนุญาตให้ประกอบกิจการในประเภทบริการสาธารณะที่ต้องใช้กระบวนการพิจารณาความเหมาะสมในเชิงคุณภาพ หรือการประกวด (beauty contest)  และเป็นกติกาใหญ่ที่นำมาใช้ในการอนุญาตให้ประกอบกิจการเพื่อให้บริการสาธารณะ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย 
 
สุภิญญา กล่าวต่อมาว่า จากการศึกษาดูงานในต่างประเทศของสำนักงาน กสทช.พบว่า กรณีเกณฑ์การพิจารณา  ความเหมาะสมของผู้ยื่นขออนุญาตประกอบกิจการฯ ต้องคำนึงถึงด้านคุณสมบัติของผู้ขออนุญาต แนวทางการพิจารณา และกรอบการหารายได้ ขอบเขตการโฆษณาในเชิงภาพลักษณ์ ความพร้อมด้านเทคโนโลยี สตูดิโอถ่ายทำ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนในแต่ละด้านอย่างชัดเจน และเปิดเผยต่อสาธารณะ ทั้งนี้ ในประเทศสเปนพิจารณาเกณฑ์ข้างต้น  เป็นหลัก ส่วนในสหรัฐอเมริกามุ่งเน้นให้ภาคสังคมเข้ามาประกอบกิจการในสัดส่วนที่สูง ส่วนภาครัฐเป็นผู้ประกอบกิจการในสัดส่วนต่ำ
 
ในขณะนี้ กสท.ได้มอบหมายให้สำนักงาน กสทช.ดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์ดังกล่าวขึ้น และจะเป็นโอกาสสำคัญที่สาธารณชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางเพื่อให้เกิดการประกอบกิจการฯ ที่ตอบสนองประโยชน์   ต่อสาธารณะเอง
 
สุภิญญา ให้ข้อมูลด้วยว่า ในวันพุธที่ 24 เม.ย.56 สำนักงาน กสทช. ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนาวิชาการ เรื่อง “ทีวีดิจิตอล..... จุดเปลี่ยนประเทศไทย” ตอน ทีวีดิจิตอลสาธารณะ ระหว่างเวลา 08.30-16.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารสถาบัน 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อแสวงหามุมมองเชิงวิชาการต่อการกำหนดนโยบายในการจัดสรร คลื่นความถี่และอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์บริการสาธารณะ โดยมีนักวิชาการทั้งจากด้านนิเทศศาสตร์และสื่อสารมวลชน นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์เข้าร่วมให้ความเห็น จากนั้นจะมีการรวบรวมหลักการและเหตุผลสำคัญในทางวิชาการจากเวทีเสนอต่อ กสท.ต่อไป

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net