ฟื้นเจตนารมณ์วันกรรมกรสากล

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ


แฟ้มภาพ: ประชาไท 1 พ.ค.2554

 

1 พฤษภาคม คือวันสำคัญของมวลพี่น้องผู้ใช้แรงงานทั่วโลกเป็นวันที่ผู้ใช้แรงงานทั่วโลกมาร่วมกันย้อนรำลึกถึงการต่อสู้ของพี่น้องแรงงานในอดีตที่ได้ต่อสู้เพื่อความหวังและอนาคตที่ดีกว่า วันกรรมกรสากล หรือ May Day มีกำเนิดที่ผูกพันกับการต่อสู้เพื่อลดชั่วโมงการทำงานของผู้ใช้แรงงาน ที่สำคัญและต่อมาได้พัฒนามาสู่การกำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นวันสำคัญของคนงานทั่วโลกคือการต่อสู้ของผู้ใช้แรงงานในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ต่อสู้ในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่องยาวนานมาตั้งแต่ต้นคริสศัตวรรษที่ 19 เลยทีเดียว

ศาสตราจารย์นิคม จันทรวิทุร อดีตอธิบดีกรมแรงงาน ผู้ยืนเคียงข้างและต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของผู้ใช้แรงงาน ได้เคยให้ความเห็นถึงความสำคัญของวันกรรมกรสากลว่า “...เป้าหมายที่สำคัญที่สุดเป็นเรื่องที่คนงานชุมนุมกันเป็นการแสดงออกซึ่งความสามัคคี ความพร้อมเพรียงและระลึกถึงผลงานของผู้นำแรงงานทั่วโลกที่ได้เรียกร้องให้ดูแลคนงานอย่างเป็นธรรม ฉะนั้น กล่าวได้ว่าวันแรงงานแห่งชาติหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า May Day มันเรื่องของชาวตะวันตกก่อนทำกันมาร้อยปีกว่าเดือนพฤษภาคมที่สหรัฐ ทำที่เมืองซิคาโกและต่อไปคนงานในประเทศต่างๆ ก็ทำกันและยึดเอาวันที่พฤษภาคมเป็นวันแรงงานแห่งโลก...” เช่นเดียวกับที่ศาตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ นักวิชาการแรงงานคนสำคัญอีกท่านได้ให้ความเห็นถึงวันกรรมกรสากลไว้ว่า “...เป็นการรำลึกถึงการต่อสู้ของกรรมกรในอเมริกาและยุโรป ซึ่งจุดกำเนิดมาจากอเมริกาและต่อมาแพร่ขยายไปยุโรปและทั่วโลก เป็นวันรำลึกแห่งการต่อสู้ของผู้ที่ต้องการที่ทำให้เกิดคุณภาพชีวิตของคนงานขึ้นมาในเรื่องของความยุติธรรมในการจ้าง ในเรื่องของวันพักผ่อน ในเรื่องของชั่วโมงการทำงานซึ่งระบบการทำงานที่เรียกว่าระบบ 3 แปด ทำ 8 ชั่วโมง พัก 8 ชั่วโมง ศึกษาเล่าเรียน 8 ชั่วโมง อันนี้ถือว่าเป็นปรัชญาของการต่อสู้เพื่อให้เกิดวันกรรมกร”

ขบวนการเรียกร้องดังกล่าวเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาก่อนและได้ก่อตัวเป็นกระแสเรียกร้องที่ดังกึกก้องกังวานไปทั่วโลก จุดเริ่มต้นคือเมื่อสหภาพแรงงานแห่งชาติสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของ วิลเลี่ยม ซิลวิส (William H. Sylvis) วีรบุรุษกรรมกรแห่งอเมริกา ได้มีส่วนอย่างสำคัญในการผลักดันประเด็นการต่อสู้เพื่อลดชั่วโมงการทำงาน ให้กลายเป็นประเด็นร่วมในการเรียกร้องของผู้ใช้แรงงานทั่วโลก ข้อเรียกร้องของซิลวิสได้ถูกเสนอสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ขององค์กรกรรมกรสากลที่กรุงเจนีวา หรือที่เรียกกันว่า “สากลที่หนึ่ง” ในปี พ.ศ. 2429 พร้อมกับมีการเสนอให้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมในปี พ.ศ. 2429 เป็นวันที่กรรมกรทั่วโลกพร้อมใจกันหยุดงาน เพื่อร่วมกันรณรงค์และกดดันให้มีการออกกฎหมายจำกัดชั่วโมงการทำงานไม่ให้เกินวันละ 8 ชั่วโมงในทุกแห่งหน

1 พฤษภาคม ของปี พ.ศ. 2429 จึงถือเป็นวันที่มวลพี่น้องผู้ใช้แรงงานได้พร้อมใจกันสำแดงพลังของตน ลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ของพวกเขา สลัดทิ้งซึ่งความกลัวที่เคยครอบงำเหนือพวกเขาตลอดมา เป็นวันแห่งการแสดงออกซึ่งจิตใจสมานฉันท์สากลหรือ อินเตอร์แนชชันแนล โซลิดาริตี้ (International solidarity) เป็นปฏิบัติการร่วมของมวลพี่น้องผู้ใช้แรงงานโดยไม่แบ่งแยก สีผิว ศาสนา ความเชื่อ และพรมแดน

ที่สหรัฐอเมริกา กระแสเรียกร้องดังกล่าวได้รับการขานรับจากพี่น้องแรงงานกระจายไปในหลายมลรัฐทั่วประเทศ การลุกขึ้นต่อสู้ของคนงานอเมริกันครั้งนี้ ทำให้ ณ ช่วงเวลาดังกล่าว นครชิคาโก มีสถานะเปรียบสมือนเมืองหลวงของขบวนการแรงงานทั่วโลก มันได้กลายเป็นศูนย์กลางของการนัดหยุดงานที่มีผู้ใช้แรงงานจำนวนมหาศาลเข้าร่วมชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การประกาศลุกขึ้นสู้และพร้อมใจพากันผละงานของคนงานในครั้งนั้น ว่าไปแล้วมันก็คือการประกาศทำสงครามทางชนชั้นของกรรมกรต่อนายทุนผู้กดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบคนงานทั่วโลก

1 พฤษภาคม 2429 จึงได้ถูกจารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ของชนชั้นกรรมชีพแห่งโลกว่าวันนี้คือวันที่คนงานทั่วโลก ปลดโซ่ตรวน ปลดแอก ประกาศอิสระภาพ เรียกร้องให้รัฐและนายจ้างยอมปฏิบัติตามข้อเสนอของพวกเขา คือให้ลดชั่วโมงการทำงานลงเหลือไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง เสียงตะโกน ALL Worker unite หรือกรรมกรทั้งหลายจงรวมกันเข้า ดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วทุกมุมโลก มวลกรรมกรพากันลุกขึ้นต่อสู้ด้วยความใฝ่ฝันและความหวังที่จะสร้างอนาคตที่สดใสด้วยสองมือของพวกเขาเอง ที่ชิคาโก้ คนงานได้ยืนหยัดหยุดงานแบบยืดเยื้อ หมายให้บรรลุเป้าหมายแห่งการต่อสู้ในครั้งนั้น แต่เนื่องจากแกนนำสำคัญของการเคลื่อนไหวในครั้งนั้นเป็นกรรมกรฝ่ายซ้ายและพวกอนาธิปัตย์ (Anarchist) จึงได้ก่อให้เกิดความหวาดวิตกให้กับฝ่ายนายจ้างและรัฐเป็นอย่างยิ่ง

การหยุดงานของคนงานชิคาโกได้ดำเนินต่อเนื่องไปถึงวันที่ 3 พฤษภาคม นายจ้างและเจ้าหน้าที่รัฐก็ได้ส่งกองกำลังติดอาวุธเข้าสลายการชุมนุมอย่างโหดเหี้ยม ส่งผลให้คนงานเสียชีวิต 6 คนและบาดเจ็บหลายคน ทั้งๆ ที่การชุมนุมของคนงานเป็นการชุมนุมอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ
การใช้ความรุนแรงของรัฐไม่อาจทำให้คนงานสยบยอม ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้คนงานเห็นถึงความไม่เป็นธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น มันได้สร้างความเคืองแค้นและเห็นอกเห็นใจให้เกิดขึ้นกับคนงานจากที่อื่นๆ ให้เข้าร่วมสนับสนุนการต่อสู้ครั้งนี้อย่างไม่ย่อท้อ

วันถัดมาการชุมนุมของคนงานได้ขยายวงไปในอีกหลายเมือง แต่ที่น่าสลดใจยิ่งก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ จตุรัส เฮย์มาร์เก็ต (Hay Market) ที่ซึ่งคนงานที่ไม่พอใจการกระทำของรัฐและนายจ้าง ได้พากันไปชุมนุมกันอย่างสันติเพื่อเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับผู้สังหารคนงาน แต่ระหว่างการชุมนุมได้มีคนขว้างระเบิดเข้าใส่กลางที่ชุมนุม เป็นผลให้ตำรวจเสียชีวิต 7 นาย คนงานเสียชีวิต 4 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก

ระเบิดที่ถูกโยนเข้าไปในที่ชุมนุมที่จตุรัส เฮย์มาร์เก็ตได้ถูกรัฐใช้เป็นข้ออ้างในการสลายการชุมนุมและกวาดล้างจับกุมผู้นำแรงงานจำนวนมาก

ในการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมนั้นปรากฏว่ามีผู้นำงาน 8 คนถูกตัดสินประหารชีวิต ด้วยข้อหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่เฮย์มาร์เก็ต ทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ ที่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าคนทั้ง 8 มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการโยนระเบิดดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าระเบิดลูกนั้นได้กลายเป็นเงื่อนไขให้รัฐและนายจ้างฉวยโอกาสปราบปราม สกัดกั้นการเติบกล้าของขบวนการแรงงานอเมริกาในขณะนั้น

การปราบปรามผู้ใช้แรงงานอย่างรุนแรงครั้งนั้น ได้สร้างความเจ็บแค้นให้กับคนงานที่รักความเป็นธรรมทั่วโลก มันได้กลายเป็นเชื้อเพลิงที่จุดประกายไฟให้กับแนวความคิดที่จะกำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นวันสำคัญของกรรมกรทั่วโลกลุกโชติช่วงมีชีวิตชีวาและมีพลังยิ่ง

และแล้วในที่สุดในการประชุมขององค์การกรรมกรสากล ในกรุงปารีสในปี พ.ศ. 2432 หรือที่เรียกกันว่าสากลที่สอง ที่ประชุมอันประกอบด้วยคนงานจากหลากหลายประเทศได้มีมติร่วมกันกำหนดให้ วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันกรรมกรสากล

1 พฤษภาคมถูกกำหนดให้เป็นวันที่กรรมกรจะไม่ทำงานและจะออกมาบนท้องถนนเพื่อสำแดงพลังสามัคคีทางชนชั้น สะท้อนปัญหาเรียกร้องให้มีการปรับปรุงค่าจ้าง สวัสดิการ สภาพการจ้าง และสร้างสังคมที่เป็นธรรม

วันที่ 1 พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2433 จึงเป็นปีแรกที่ผู้ใช้แรงงานทั่วโลก พากันถือเป็นวันหยุดของตน เพื่อสานต่อภารกิจและเจตนารมณ์ของคนงานชิคาโก้ 1 พฤษภาคม จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการลุกขึ้นต่อสู้ทางชนชั้นของมวลพี่น้องผู้ใช้แรงงานทั่วโลกนับแต่นั้นมา

จะเห็นว่าหลักการสำคัญของวันกรรมกรสากลคือ การพร้อมใจนัดหยุดงาน เดินออกมาจากประตูโรงงานมาร่วมกันต่อสู้เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของมวลคนงาน เริ่มต้นจากประเด็นลดชั่วโมงการทำงาน ขยายไปสู่ประเด็นแรงงานและสังคมอื่นๆ แต่ล้วนเป็นจิตวิญญาณของการลุกขึ้นต่อสู้แบบพึ่งตนเอง ไม่ยอมงอมืองอเท้า เชื่อในพลังอำนาจของคนงานในฐานะชนชั้นที่เป็นสากลไม่ใช่ชาตินิยม มุ่งที่จะสร้างเอกภาพทางชนชั้นของมวลพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกแห่ง ทุกหน ไม่แยก ชาติ ศาสนา ผิวพรรณ และพรมแดน

ในประเทศไทย แรงงานรับจ้างถือกำเนิดในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชที่อำนาจทางการเมืองจำกัดอยู่ในกำมือของชนชั้นสูง สิทธิเสรีภาพของผู้คนยังไม่ได้รับการยอมรับ อีกทั้งในศตวรรษแรกของการมีแรงงานรับจ้างในประเทศไทยนั้น แรงงานข้ามชาติจากประเทศจีนคือแรงงานส่วนใหญ่ในตลาดแรงงานไทย กอรปกับการเติบโตและพัฒนาของลัทธิชาตินิยมในประเทศไทยที่มีคนจีนตกเป็นเป้าหมาย ส่งผลให้นโยบายด้านแรงงานของรัฐไทยในขณะนั้นตกอยู่ภายใต้กรอบคิดเรื่องความมั่นคงแห่งชาติที่มองว่าแรงงานส่วนใหญ่เป็น “คนต่างด้าว” เป็น “จีน” ซึ่งถูกเพ่งเล็งว่าอาจจะนำความคิดความเชื่อทางการเมืองที่ไม่พึงปรารถนาและเป็นภัยต่ออำนาจรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชเข้ามาเผยแพร่

แรงงานในประเทศไทยจึงมีสิทธิและเสรีภาพที่จำกัดมาก ต้องถูกควบคุมอย่างเคร่งครัด แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้ง สมาคม สโมสรในปี พ.ศ. 2440 แต่สิทธิดังกล่าวไม่เคยเอื้อมมาถึงผู้ใช้แรงงาน การรวมตัวกันของคนงานในประเทศไทยถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ดังนั้นขบวนการแรงงานในยุคแรกภายใต้อำนาจรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชจึงเป็นไปในลักษณะปิดลับ ใต้ดิน มีหลักฐานยืนยันว่าคนงานแอบเฉลิมฉลองวันกรรมกรสากลกันอย่างลับๆ มีการชักธงแดงอันเป็นสัญญลักษณ์ของชนชั้นกรรมกรขึ้นเสาตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วสิทธิของผู้ใช้แรงงานได้รับการยอมรับมากขึ้น องค์กรของคนงานได้รับการจดทะเบียน มีการยื่นข้อเรียกร้องและนัดหยุดงานของคนงานกลุ่มต่างๆ มากมาย ที่สำคัญได้แก่สมาคมของคนงานรถรางสยามที่ถือเป็นองค์กรแรงงานแห่งแรกที่ได้รับการจดทะเบียนในประเทศไทย ต่อมาสมาคมคนงานหลากหลายองค์กรได้มารวมกันเป็นองค์กรระดับชาติในชื่อ สมาคมอนุกูลกรรมกร ที่มีนายถวัติ ฤทธิเดชเป็นผู้นำ

แต่ความขัดแย้ง การช่วงชิงอำนาจระหว่างชนชั้นนำและสถานการณ์สากลที่กำลังก้าวสู่สงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่สองทำให้ทหารก้าวขึ้นมามีบทบาทมากขึ้นในประเทศไทย  แรงงานก็กลับมาถูกกวดขันเข้มงวดอีกครั้ง กระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงแล้ว ประชาธิปไตยจึงหวนกลับคืนสู่ประเทศไทยอีกครั้งพร้อมกับสิทธิของผู้ใช้แรงงาน

ในปี 2489 หลังยกเลิกกฎอัยการศึก การรวมตัวกันเป็นองค์กรของคนงานก็กลับมาได้รับการยอมรับอีกครั้ง มีองค์กรแรงงานถูกจัดตั้งขึ้นมากมายหลายองค์กร ที่สำคัญได้แก่ สหบาลกรรมกรนครกรุงเทพฯ ซึ่งต่อมาได้จดทะเบียนเป็นสมาคมสหะอาชีวะกรรมกรกรุงเทพฯ และสมาคมไตรจักร์สมาคมของถีบสามล้อ เป็นต้น สมาคมคนงานทั้งสองแห่งได้ริเริ่มจัดเฉลิมฉลองวันกรรมกรสากลอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยจัดให้มีขึ้นที่สนามหญ้าสำนักงานสมาคมไตรจักร์ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณวังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2489 มีคนงานเข้าร่วมงานราวสามพันคน

ในปีถัดมา องค์กรแรงงานต่างๆ จากกว่า 60 สาขาอาชีพ ได้รวมตัวกันจัดตั้งองค์กรศูนย์กลางแรงงานระดับชาติขึ้นให้ชื่อว่า  “สมาคมสหอาชีวะกรรมกรแห่งประเทศไทย” ขึ้น มีนายเธียรไท อภิชาตบุตรเป็นประธาน นายดำริห์ เรืองสุธรรมเป็นเลขาธิการ มีสมาชิกมากถึง 75,000 คน

จรูญ ละสา อดีตผู้นำสหอาชีวกรรมกรได้เล่าถึงการจัดวันกรรมกรสากลครั้งแรกในประเทศไทยว่า “...จัดที่วังสราญรมย์ครั้งแรก พ.ศ.89 แต่คนก็น้อยประมาณ 3,000 คน ส่วนครั้งที่สอง พ.ศ.2490 ก็จัดที่สนามหลวงครั้งนี้ทางรถไฟร่วมทางโรงสี ทางโรงงานยาสูบหลายคนร่วม รวมกันที่สนามหลวงแต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นโรงสีมาก ค่าใช้จ่ายโดยมากเรี่ยรายเขามีทุนก้อนหนึ่งก็จริงตั้งสมาคมโดยทางฝ่ายโรงสี แต่โดยมากจะเรี่ยรายคนละกี่บาทก็แล้วแต่ 50 สตางค์ คนละบาทหนึ่งหรือใครมีเศษสตางค์ก็ให้ไป อย่างคนรถไฟก็เคยจัดก็เรี่ยราย พูดง่ายอย่างเงินเดือนออกเศษสตางค์ก็ขอ ขอให้จัดงานวันเมย์เดย์บ้าง งานเตรียมการต่อสู้ของเขาบ้างใช้วิธีอย่างนั้น โดยมากเราไม่ได้ไปของรัฐบาลอย่างทุกวันนี้...”

1 พฤษภาคม 2490 สมาคมสหอาชีวะกรรมกรแห่งประเทศไทยที่เพิ่งถือกำเนิด ได้ใช้ท้องสนามหลวงเป็นสถานที่จัดงานวันกรรมกรสากลอย่างยิ่งใหญ่มีคนงานเข้าร่วมงานครั้งนี้กว่าแสนคน ดำริห์ เรืองสุธรรม ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหอาชีวิกรรมกรแห่งประเทศไทย ผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวันกรรมกรในปีนั้นได้เล่าให้ฟังว่า “......เราก็เชิญกรรมกรตามจังหวัดต่างๆ ที่มีการก่อตั้งสหภาพ สหพันธ์ขึ้นมาแล้วมาร่วมประชุมกันในเดือนเมษายน ที่ประชุมก็ตอบตกลงตั้งเป็นสหอาชีวะกรรมกรแห่งประเทศไทย แล้วก็ถือเอาวันที่ 1 พฤษภาคม 2490 จัดงานฉลองวันกรรมกรสากลอย่างเปิดเผยเป็นครั้งที่ 2 แต่ว่าเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะมีกรรมกรอาชีพต่างๆ มาร่วมชุมนุมที่นี่เป็นจำนวนแสนซึ่งในสมัยนั้นนับว่าเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่...”

การมาร่วมชุมนุมอย่างเนืองแน่นของกรรมกรครั้งนี้ถือเป็นการสำแดงพลังความสามัคคีของชนชั้นกรรมกรครั้งสำคัญ การจัดงานครั้งนี้เกิดขึ้นจากทุนทรัพย์ของขบวนการแรงงานเอง ไม่ได้แบมือขอเงินจากใคร คณะผู้จัดงานได้เชิญผู้นำแรงงานอาวุโสที่เคยมีบทบาทสำคัญในขบวนการแรงงานในยุคก่อนหน้านั้นอย่างเช่น นายถวัติ ฤทธิเดช นายวาศ สุนทรจามร นายสุ่น กิจจำนงค์เป็นต้น มาร่วมเป็นประธานในงานเฉลิมฉลองครั้งนี้

สหอาชีวะกรรมกรแห่งประเทศไทยได้เรียกร้องให้เอาระบบการทำงานแบบ 888 หรือ สามแปด  คือ ทำงาน 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง และศึกษาเล่าเรียน 8 ชั่วโมง มาบังคับใช้  เรียกร้องให้เพิ่มค่าแรงสำหรับการทำงานล่วงเวลา เรียกร้องให้ยอมรับสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม รวมกลุ่มจัดตั้งของกรรมกร คนงานต้องมีสิทธินัดหยุดงานเพื่อต่อรองกับนายจ้าง ให้มีการประกันสวัสดิภาพของลูกจ้าง และที่สำคัญคือให้ถือเอาวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันหยุดงานของกรรมกร

ข้อเรียกร้องนี้ได้ถูกทำเป็นร่างกฎหมายและนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยมีสมาชิกรัฐสภาฝ่ายกรรมกรเป็นผู้นำเสนอ แต่น่าเสียดายที่กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภามากพอ จึงตกไป

เพื่อเชื่อมร้อยขบวนการแรงงานไทยเข้ากับขบวนการแรงงานสากล สหอาชีวะกรรมกรได้สมัครเป็นสมาชิกขององค์กรแรงงานระดับโลกที่ชื่อว่า ดับเบิ้ลยู เอฟ ที ยู (WFTU-World Federation of Trade Union)

โชคร้ายของกรรมกร และประเทศไทย  ขณะที่ประชาธิปไตยกำลังจะไปได้สวย ได้เกิดกรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ซึ่งกลายเป็นข้ออ้างและเงื่อนไขให้ฝ่ายอนุรักษนิยมและทหารฉวยโอกาสทำการรัฐประหาร ซึ่งได้ทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยของไทยต้องหยุดชะงักลง ฝ่ายอนุรักษนิยมและรัฐบาลทหารที่เข้ากุมบังเหียนประเทศไว้ ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าควบคุมและแทรกแซงขบวนการแรงงานไทย

สหอาชีวะกรรมกรแห่งประเทศไทย ที่เพิ่งเริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กรรมกรไทย ถูกกีดกันไม่ให้สามารถดำเนินกิจกรรมได้  ผู้นำหลายคนถูกข่มขู่คุกคามอย่างหนักและในที่สุด สหอาชีวะกรรมกรแห่งประเทศไทยในฐานะองค์กรตามกฎหมายก็ต้องทำให้สิ้นสภาพและยุติกิจกรรมไป เนื่องจากรัฐบาลไม่ยอมต่อทะเบียนให้ รัฐบาลได้เข้าแทรกแซง สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในขบวนการแรงงานไทย โดยส่งคนไปจัดตั้งองค์กรแรงงานแห่งใหม่ขึ้นแข่งกับสหอาชีวะกรรมกร นั่นคือ สหบาลกรรมกรไทย ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมกรรมกรไทย โดยรัฐได้จัดสรรงบประมาณให้กับสมาคมกรรมกรไทยปีละถึงสองแสนบาท

ต่อมาเมื่อสมาคมกรรมกรไทยเริ่มแข็งแกร่งและต้องการหลุดจากการครอบงำของรัฐ รัฐบาลโดยพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ก็หันไปส่งคนใกล้ชิดของตนไปจัดตั้งองค์กรแรงงานแห่งใหม่ขึ้นชื่อ “สมาคมเสรีแรงงานแห่งประเทศไทย” โดยรัฐได้ให้เงินสนับสนุนการทำงานขององค์กรแห่งนี้

พอถึงปี 2499 องค์กรแรงงานที่ถูกรัฐทำให้แตกแยก กระจัดกระจาย ไร้พลัง ได้หันมาจับมือร่วมกันจัดตั้งเป็น “กลุ่มกรรมกร 16 หน่วย” ขึ้น มีประเสริฐ ขำปลื้มจิต เป็นประธานและมีศุภชัย ศรีสติเป็นเลขาธิการ กรรมกร 16 หน่วย ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าหากกรรมกรสามัคคีเป็นเอกภาพแล้ว ชัยชนะย่อมเป็นของคนงาน กรรมกร 16 หน่วยประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีกฎหมายแรงงานฉบับแรกออกมาบังคับใช้ได้ในปี 2499 ความสำเร็จอีกประการของ “กลุ่มกรรมกร 16 หน่วย” คือสามารถเรียกร้อง ให้รัฐยอมให้คนงานสามารถจัดงานวันกรรมกรสากลขึ้นอีกครั้ง หลังจากถูกห้ามจัดนับแต่การรัฐประหารปี 2490

แต่วันกรรมกรสากลที่ถูกฟื้นขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เนื่องจากรัฐบาลเข้าใจและปักใจเชื่อว่า “May Day” หรือ “วันกรรมกรสากล” เป็นวันของฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจึงยืนยันที่จะไม่ยอมให้จัดท่าเดียว ดังเป็นที่รู้กันอย่างดีว่า รัฐบาลไทยหลังการรัฐประหารปี 2490 ได้รับอิทธิพลทางอุดมการณ์ต่อต้านคอมมิวนิสต์จากอเมริกันที่ตั้งตัวเป็นมหาอำนาจใหญ่ของค่ายทุนนิยมในการทำสงครามเย็น ดังนั้นรัฐบาลไทยในยุคนั้นก็เช่นเดียวกับรัฐบาลอเมริกาที่สร้างผีคอมมิวนิสต์ขึ้นมาหลอกประชาชนและหลอกแม้กระทั่งตัวเอง ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงมีนโยบายตอบสนองความต้องการของอเมริกันเต็มที่ในอันที่จะสกัดกั้นขบวนการแรงงานไม่ให้เข้มแข็งได้

ผู้แทนกลุ่มกรรมกร 16 หน่วยได้ยืนยันกับรัฐว่าถึงอย่างไร พวกตนก็จะจัดงานวันกรรมกรให้ได้ แม้รัฐจะไม่อนุญาตให้จัดก็ตาม ในที่สุดรัฐบาลยอมถอย แต่มีเงื่อนไขว่า
1. ให้เคลื่อนไหวอย่างสงบ ไม่กีดขวางทางจราจร
2. ไม่ให้มีประเด็นการเมือง ไม่ให้โจมตีมิตรประเทศโดยเฉพาะอเมริกา และองค์การซีอาโต้
และ 3. ให้เปลี่ยนชื่อจาก “วันกรรมกรสากล” เป็น “วันแรงงานแห่งชาติ”
โดยรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนการจัดงานดังกล่าวคิดเฉลี่ยเป็นรายหัว หัวละ 5 บาท

ตัวแทนเจรจาของฝ่ายแรงงานจำต้องยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว เพื่อให้สามารถจัดงานได้ การจัดงานในปีนั้นมีคนงานเข้าร่วมราว 50,000 คน โดยขบวนเริ่มต้นจากสนามหลวง ข้างธรรมศาสตร์ แล้วเดินมาที่สนามเสือป่า จากนั้นมีการจัดกิจกรรมที่หอประชุมสภาวัฒนธรรม

แม้กลุ่มกรรมกร 16 หน่วยจะประสบความสำเร็จในการเจรจากับรัฐบาลและสามารถจัดงานวันกรรมกรสากลขึ้นมาได้ แต่จิตวิญญาณและหลักการสำคัญของวันกรรมกรสากลได้ถูกทำให้เบี่ยงเบนออกไปจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของมัน

ประการแรกหลักการสำคัญเรื่องความเป็นสากล การเป็นวันของชนชั้นกรรมาชีพ ที่ไม่ถูกแบ่งแยก ด้วยสีผิว เชื้อชาติ ศาสนา หรือพรมแดนได้ถูกทำลายไป วันแรงงานแห่งชาติ ได้ถูกรัฐทำให้กลายเป็นเรื่องภายในของกรรมกรไทยไปเสียแล้ว ประการถัดมาคือ จิตวิญญาณของการพึ่งตนเองของคนงาน ความเป็นอิสระไม่ถูกแทรกแซง จากรัฐและทุน ก็ถูกทำลายไปด้วยพร้อมๆ กัน

วันกรรมกรสากลในประเทศไทยในปีนั้น จึงได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างจารีตใหม่ให้กับวันกรรมกรสากลในประเทศไทย

มีการจัดวันกรรมกรสากลอีกครั้งในชื่อวันแรงงานแห่งชาติในปี 2500 แต่ภายหลังการทำรัฐประหารของจอมเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 กฎหมายแรงงานปี 2499 ก็ถูกยกเลิก องค์กรแรงงานทุกรูปแบบถูกสั่งห้าม สิทธิของแรงงานถูกลิดรอนจนหมดสิ้นรัฐบาลต้องการให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของนักลงทุน การเคลื่อนไหวของคนงานทุกรูปแบบถูกมองว่าเป็นการทำลายบรรยากาศการลงทุน นั่นคือความผิดมหันต์ ที่รัฐอนุญาตให้เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้ไม่ได้ ผู้นำแรงงานต่างถูกจับกุมคุมขัง ศุภชัย ศรีสติ เลขาธิการกรรมกร 16 หน่วย ถูกจับกุมและประหารชีวิตด้วยอำนาจตามมาตรา 17 โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมใดๆ

แม้ประเทศชาติจะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดของอำนาจเผด็จการ แต่จิตใจที่มั่นคง ยืนหยัดในอุดมการณ์แห่งชนชั้นกรรมกรของแรงงานไทยไม่เคยเจือจางลง ในคุกลาดยาวที่ซึ่งผู้นำแรงงานและนักต่อสู้เพื่อคนทุกข์ยากหลายคนถูกนำไปจองจำไว้นั้น พวกเขายังคงยืนหยัดที่จะรักษาประเพณีวันกรรมกรสากลเอาไว้ หนังสือคอมมิวนิสต์ลาดยาวที่บันทึกประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของไทยที่เขียนโดย ทองใบ ทองเปาว์ นักกฎหมายฝ่ายประชาชนที่ถูกคุมขังพร้อมๆ กับเพื่อนได้บันทึกประวัติศาสตร์การเฉลิมฉลองวันกรรมกรสากลอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2503 เพลงรำวงวันเมย์เดย์ ที่ร้องกันในขบวนแถวของผู้ใช้แรงงานในวันนี้ก็เป็นเพลงที่ถูกประพันธ์ขึ้นโดยจิตร ภูมิศักดิ์ นักรบของคนยากคนจน เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันกรรมกรสากล ขณะที่เขาถูกจองจำอยู่ในคุกลาดยาว

ขบวนการแรงงานกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งภายหลังรัฐบาลออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ในปี 2515 ที่ยอมคืนสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรองให้กับคนงานอีกครั้ง ตามการเรียกร้องของคนงานและการกดดันของขบวนการแรงงานสากล แต่ที่สำคัญคือภายหลังการลุกขึ้นโค่นล้มเผด็จการทหารที่นำโดยนิสิตนักศึกษาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ได้นำประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศไทยอีกครั้ง ผู้ใช้แรงงานจึงหยัดกายยืนขึ้นทวงถามหาความยุติธรรม หลังถูกกดขี่ขูดรีดจากทุนและรัฐอย่างยาวนานภายใต้อำนาจรัฐเผด็จการ
ยุคทองของขบวนการแรงงานได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว วันกรรมกรสากลได้รับอนุญาตให้จัดขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย พลังสามประสานระหว่างขบวนการนักศึกษา ขบวนการชาวไร่ชาวนา และขบวนการกรรมกร ได้ทำให้การเคลื่อนไหวในประเด็นแรงงานมีพลังเป็นอย่างยิ่ง วันกรรมกรสากลในช่วงประชาธิปไตยเบ่งบานเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ได้รับความสนใจทั้งจากคนงานด้วยกันและจากสาธารณชนที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างคึกคัก

แต่ยุคทองของแรงงานไทย เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เหตุการณ์สังหารโหด นักศึกษาประชาชนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้นำประเทศไทยกลับสู่ยุคมืดอีกครั้ง รัฐบาลขวาจัดของธานินทร์ กรัยวิเชียรได้ผลักผู้คนที่รักความเป็นธรรมทั้งหลายรวมทั้งผู้นำแรงงานจำนวนมากให้จำต้องเดินทางเข้าสู่เขตป่าเขาเพื่อร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แม้ภายหลังฝ่ายก้าวหน้าจะพากันถอนตัวจากพรรคคอมมิวนิสต์กลับคืนสู่นาครอีกครั้ง แต่ขบวนการแรงงานไทยหลังยุควิกฤติแห่งศรัทธาก็ไม่สามารถกลับมามีพลังที่เข้มแข็งดังเดิมได้อีก

กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ปี 2518 ที่กีดกันคนงานส่วนใหญ่ไม่ให้เข้าสู่ขบวนการแรงงาน  นโยบายของรัฐบาลที่เอาใจฝ่ายนายทุนอย่างออกนอกหน้า  กลไกไตรภาคีที่ถูกนำมาใช้ในระบบแรงงานสัมพันธ์ไทย และมาตรการแรงงานสัมพันธ์เชิงรุกของฝ่ายนายจ้าง ได้ทำให้ขบวนการแรงงานไทยแตกแยก กระจัดกระจาย ไร้เอกภาพ ถูกครอบงำและแทรกแซง จนไม่อยู่ในฐานะพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง ไม่มีอำนาจต่อรองทั้งในสถานประกอบการและในทางการเมืองระดับชาติ


แฟ้มภาพ: ประชาไท 1 พ.ค.2555

 

รองศาสตราจารย์ ดร. ณรงค์ เพชรประเสริฐได้วิเคราะห์ให้เห็นสภาพของวันกรรมกรสากลในปัจจุบันว่า “...วันกรรมกรปัจจุบันเป็นวันลบประวัติศาสตร์ ไม่ใช่วันรำลึกประวัติศาสตร์มันตรงกันข้าม ในช่วงหลัง 14 ตุลา 2516 ก็พยายามมีการฟื้นฟูวันกรรมกรขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ของกรรมกร เป็นวันประศาสตร์กรรมกร แต่หลังจากปี 19 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ประวัติศาสตร์ก็เปลี่ยนอีก การที่รัฐบาลอนุญาตจัดวันกรรมกร จัดวันกรรมกรเหมือนกันแต่พยายามให้เป็นวันลบประวัติศาสตร์กรรมกร แล้วมาสืบทอดจนถึงปัจจุบัน วันกรรมกรปัจจุบันนี้เป็นวันลบประวัติศาสตร์ไม่ใช่วันรำลึกประวัติศาสตร์ ความแย่อยู่ตรงนี้...” ตรงกับคำสัมภาษณ์ของชินโชติ แสงสังข์ ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นประธานจัดงานวันแรงงานแห่งชาติในปีนี้ที่บอกว่า “...ถึงแม้ปีนี้ผมจะเป็นประธานจัดงานในปี 56 ผมหลับตาแล้วผมนึกถึงภาพวันแรงงานในสมัยก่อนๆ ผมเข้ามาทำงานวันแรงงานจำได้ตั้งปี 2500 ต้นๆ ในสมัยก่อนผมจะเห็นคนงานจากทั่วสารทิศคลาคล่ำเต็มพื้นที่จัดงานโดยเฉพาะสนามหลวงเราเป็นสถานที่จัดงานเรามายาวนาน เมื่อก่อนสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายไม่ได้มีเหมือนทุกวันนี้ ผู้นำแรงงานเคาะระฆังเรามีความรู้สึกว่าวันกรรมกรสากลเป็นวันของคนงานทั้งประเทศ...”

วันกรรมกรสากลที่ถูกจัดในสภาพแวดล้อมและสภาวะที่ขบวนการแรงงานอ่อนแอไร้เอกภาพ ไร้อำนาจต่อรอง พึ่งตัวเองไม่ได้ จึงกลายเป็น “วันแรงงานแห่งชาติ” ตามที่ฝ่ายรัฐและทุนต้องการ จิตวิญญาณสากลนิยม ชนชั้นนิยม ที่เป็นหลักการสำคัญของวันกรรมกรสากลถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ความศรัทธาเชื่อมั่นในการพึ่งตนเองและพลังสามัคคีของชนชั้นกรรมกรได้ถูกทำให้เจือจางลงด้วยงบประมาณที่ถูกหยิบยื่นให้จากฝ่ายรัฐและทุน

ข้อเรียกร้องที่ถูกเสนอจากขบวนแรงงานในแต่ละปี แม้ส่วนใหญ่จะมีเหตุมีผล สะท้อนปัญหาและความต้องการของคนงานส่วนใหญ่ก็ตาม แต่กลับไม่มีพลัง ไร้ความหมาย และกลายเป็นเพียงพิธีกรรม ที่ทำๆ กันให้เป็นประเพณี ที่นับวันจะไร้ความหมายและส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องผู้ใช้แรงงานน้อยมาก

วันกรรมกรสากล ทั้งรูปแบบและเนื้อหาสาระจึงไม่ผิดกับงานวัด งานรื่นเริง หรืองานคอนเสิร์ต ที่ถูกกำหนดและออกแบบโดยผู้อุปถัมป์รายต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งเป็นเจ้าของงานอย่างแท้จริง อาจารย์แล ดิลกวิทยรัตน์ได้ให้ความเห็นว่า “...ปัจจุบันนั้นมีเรื่องของงบประมาณของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นขบวนการเคลื่อนไหวมันก็ทำให้ถูกแตกแยกตรงที่ว่า ขบวนการใดจะได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐ ขบวนการใดไม่รับการอุดหนุนจาดภาครัฐ เลยกลายเป็นแบ่งพวกแบ่งประเภทไป ในช่วงหลังๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ว่าเราแทบไม่เห็นขบวนการในฐานะที่เป็นขบวนการเดียว ขบวนการทางชนชั้นต่อไป กลายเป็นว่ามันมีขบวนการที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐ จากขบวนการที่ไม่รับการสนับสนุน ผมคิดว่าปัญหาขณะนี้ก็คือการขาดความเป็นหนึ่งเดียวของขบวนการแรงงานอาจจะเป็นเรื่องใหญ่เป็นปรากฏการณ์ที่ชัดเจน…”

ขณะที่ชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย องค์กรที่หลายปีที่ผ่านมาได้เป็นแกนนำสำคัญในการจัดวันกรรมกรสากลแยกต่างหากออกจากการจัดงานของเหล่าสภาองค์กรลูกจ้างทั้งหลายที่พากันรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ได้ให้ความเห็นว่า “...ความจริงแล้วผมไม่อยากให้มีการแยกเพราะกรรมกรต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่โดยสาเหตุบางสิ่งบางอย่างเราไม่สามารถเข้าไปร่วมได้ เพราะธรรมดาการจัดงานมันจะต้องมีพิธีรีตองของรัฐสนับสนุนและเอาเงินมา เพราะฉะนั้นเขาก็จะเขียนกรอบให้ไปจัด ในเรื่องของการสะท้อนความเดือดร้อน สะท้อนในเรื่องความทุกข์ยากของคนงานจริงๆ มันไม่เกิดขึ้นมา มันก็จะไปจัดในเรื่องของเหมือนกับว่าเป็นประเพณีไป...”


แฟ้มภาพ: ประชาไท 1 พ.ค.2554

 

เช่นเดียวกับที่สาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ที่ร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยในการจัดวันกรรมกรสากลมาหลายปีกล่าวว่า “...วันกรรมกรสากลทุกวันนี้มันแตกต่างจากอดีตที่ผ่านมาที่มันเกิดขึ้นจากจิตใจและความร่วมไม้จากพี่น้องคนงาน แต่ปัจจุบันนี้การจัดงานจะอยู่ภายใต้การกำหนดกฎเกณฑ์ของภาครัฐซะเป็นส่วนใหญ่ มันก็เลยทำให้ปัญหาที่แท้จริงของคนงานที่แท้จริงมันไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมา ในแง่ของการส่งต่อหรือถ่ายทอดไปถึงพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นแล้วการจัดงานวันกรรมกรสากลถึงเวลาที่กรรมกรต้องลุกขึ้นมาสร้างจิตสำนึกร่วมกันในการที่จะถ่ายทอดอุดมการณ์ของกรรมกรในอดีตที่ผ่านมา...” 

อดีตผู้นำแรงงานสตรี อรุณี ศรีโตให้ความเห็นว่า “...การจัดงานวันแรงงานปัจจุบันนี้ไม่เหมือนก่อน สมัยก่อนเขาจัดกันด้วยความเป็นกรรมกร เขารู้วันที่ 1 เป็นวันเฉลิมฉลองว่าด้วยการเจอพวกพ้องน้องพี่และมาพูดถึงสารทุกข์สุกดิบ.....จากการที่เขาจัดสรรงบประมาณกระทรวงแรงงานมายึดครองเวทีแล้วสนับสนุนงบประมาณ พอสนับสนุนงบประมาณก็ทำให้องค์กรแรงงาน แบ่งสรรปันส่วนกันลงตัวไม่ลงตัว ลืมเรื่องเจตนารมณ์ของวันกรรมกรไปหมด...”


แฟ้มภาพ: ประชาไท 1 พ.ค.2553
 

การจัด “วันแรงงานแห่งชาติ” ที่ผ่านๆ มากระทรวงแรงงานมักวางก้ามใหญ่ในฐานะเจ้าของเงิน ทำตัวราวกับเป็นเจ้าของงานเสียเอง เป็นเจ้ากี้เจ้าการ คอยบงการว่า องค์กรแรงงานชนิดไหนบ้างที่จะมีสิทธิใช้เงินก้อนนี้ ทั้งๆ ที่เงินเหล่านั้นแท้จริงมาจากภาษีอากรของประชาชน ที่คนงานก็ควรที่จะมีสิทธิที่จะนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของมวลกรรมกรได้อย่างอิสระไม่ถูกครอบงำ และโดยไม่ต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอะไรทั้งสิ้น

วันแรงงานชนิดนี้ยิ่งจัดก็ยิ่งรังแต่จะทำให้ศักดิ์ศรีแห่งชนชั้นกรรมาชีพ และความภาคภูมิใจที่จะบอกให้โลกรู้ว่า “กรรมกรคือผู้สร้างโลก”  มันเหือดหายไป วันกรรมกรสากลที่เคยมีความหมาย กลับกลายเป็นวันที่ผู้นำแรงงานและองค์กรแรงงานต่างๆ รอที่จะช่วงชิง จัดสรร แบ่งปันเค้กก้อนใหญ่ที่จะได้รับจากรัฐบาลและภาคเอกชน

การแก่งแย่ง ช่วงชิงกันเป็นประธานจัดงานเพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล และบันไดก้าวสู่การมีสถานภาพทางสังคมที่สูงขึ้นและแน่นอนเพิ่มมูลค่าให้กับตนเองในเกมการต่อรองทางการเมือง โดยปกติสิ่งที่จะได้เห็นในงานวันแรงงานแห่งชาติคือ เมื่อเสร็จสิ้นคำปราศรัยที่เต็มไปด้วยถ้อยคำที่สวยหรู ฟังดูหวานหูและคำมั่นสัญญาที่ไร้ความหมายโดยผู้นำรัฐบาลผู้ทรงเกียรติที่กรุณาเสียสละเวลาอันมีค่ามาเป็นประธานในพิธีกรรมให้กับกรรมกรที่ถูกมองว่าต่ำต้อย น่าสงสาร พึ่งตนเองไม่ได้ จากนั้นทุกคนก็พากันลงจากเวทีสลายตัวไป ด้วยเกรงว่าผิวกายจะหมองคล้ำจากแสงแดดที่แผดเผา

กิจกรรมที่เหลืออยู่บนเวทีปล่อยให้เป็นเอกสิทธิ์ของเหล่าค่ายเทปและบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มบำรุงกำลังเข้าควบคุมกำกับเวทีเพื่อโปรโมตศิลปินและสินค้าของตนอย่างครื้นเครง ชินโชติ แสงสังข์ ประธานจัดงานวันแรงงานแห่งชาติปีนี้ให้ความเห็นว่า “...เพราะฉะนั้นผมสรุปรวมความได้ว่าวันแรงงานแห่งชาติซึ่งผมยังอยากจะใช้คำเดิมว่าเป็นวันกรรมกรสากลเพราะวันแรงงานไม่ใช่วันแรงงานของไทยอย่างเดียวเป็นวันแรงงานของคนทั่วโลก เพราะฉะนั้นถ้าผมเปลี่ยนแปลงเองได้ผมอยากจะเปลี่ยนวันแรงงานแห่งชาติเป็นวันกรรมกรสากลกลับไปเป็นเหมือนเดิม...”

อาจารย์แล ดิลกวิทยรัตน์ ให้ความเห็นว่า “...ผมคิดว่ามันจะทำอะไรให้เป็นมรรค เป็นผลได้ก็ต่อเมื่อคนงานแหวกให้พ้นอุปสรรคต่างๆ ที่มาบังหน้าบังตาแล้วมุ่งให้เข้าถึงผลประโยชน์ของผู้ใช้แรงงานในฐานะที่เป็นชนชั้นที่ออกแรงทำกินเป็นหลัก แล้วถ้าเป็นเช่นนี้เราก็จะพูดว่าอันนี้หละคือการเคลื่อนไหวทางอุดมการณ์ที่จะชัดเจนและก็นำไปสู่การยกฐานะของชนชั้นผู้ใช้แรงงานอย่างแท้จริง...”

ผู้ใช้แรงงานและสังคมได้อะไรจากการจัดงานวันกรรมกรสากลแบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เป็นคำถามที่ต้องส่งไปถึงบรรดาผู้นำแรงงานทั้งหลาย ว่าท่านจะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ล่ะหรือ จะยังพอมีหนทางใดบ้างที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงวันกรรมกรสากลให้กลับคืนสู่จิตวิญญาณดั้งเดิม เพื่อเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน เพื่อยืนยันในการมีอยู่จริงในสิ่งที่เราเรียกมันว่า “ศักดิ์ศรีแห่งชนชั้นกรรมกร” ได้หรือไม่

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท