บทนำ
ปัญหาความขัดแย้ง 3 จังหวัดภาคใต้เป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานหลายทศวรรษและนับวันจะทวีความโหดร้ายทารุณมากขึ้นเรื่อยๆ พลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง เด็ก คนชรา พระสงฆ์ ล้วนตกเป็นเป้าหมายในการทำลายตามไปด้วยซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL) และกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (International Human Rights) อย่างชัดเจน การทำร้ายพลเรือนผู้บริสุทธิ์ยังดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยุติแม้ว่าจะมีนิมิตหมายที่ดีที่ทางพลโท ภราดร พัฒนถาบุตร ในฐานะเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติได้เริ่มเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็นก็ตาม ข้อเขียนนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำเสนอแนวทางในการใช้กฎหมายระหว่างประเทศมาช่วยบรรเทาการการสูญเสียชีวิตและการถูกทำร้ายของพลเรือนผู้ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารหรือการใช้กำลังอาวุธ โดยข้อเขียนนี้จะกล่าวถึงมาตรา 3 ร่วมของอนุสัญญาเจนีวาสี่ฉบับ ค.ศ. 1949 และร่างอนุสัญญาการค้าอาวุธ (Arms Trade Treaty: ATT) ว่าจะมีส่วนช่วยบรรเทาที่พลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้ตกเป็นเป้าหมายในการใช้ความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ได้อย่างไร
1. การใช้มาตรา 3 ร่วม (Common article 3) ของอนุสัญญาเจนีวา สี่ฉบับค.ศ. 1949
1.1 มาตรา 3 ร่วม (Common article) 3 คืออะไร
มาตรา 3 ร่วมคือบทบัญญัติของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL) ขั้นต่ำที่มีวัตถุประสงค์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความมีมนุษยธรรมเป็นหลักที่มุ่งคุ้มครองพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำสงครามหรือการปฏิบัติการทางทหารให้รอดพ้นจากการถูกโจมตีโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติไม่ว่าพลเรือนผู้นั้นจะมีเชื้อชาติ สีผิว ศาสนาหรือความเชื่อ เพศ กำเนิดใดก็ตาม พลเรือนนั้นจะต้องไม่ตกเป็นเป้าในการทำลายล้าง โดยมาตรา 3 ร่วมนี้จะใช้บังคับกับสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการใช้กำลังอาวุธที่ไม่มีลักษณะระหว่างประเทศที่เรียกว่า “armed conflict not of an international character” สำหรับบทบัญญัติของมาตรา 3 ร่วมมีดังนี้ [1]
มาตรา 3 ในกรณีที่ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธไม่ใช่ความขัดแย้งระดับระหว่างประเทศ หากแต่เกิดขึ้นภายในอาณาเขตของรัฐภาคี อย่างน้อยที่สุด ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้งมีพันธะผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานดังต่อไปนี้
(1) บุคคลใดที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง รวมถึงสมาชิกของกองกำลังที่วางอาวุธ และสมาชิกของกองกำลังที่เจ็บป่วย, บาดเจ็บ, ถูกคุมขัง หรือเหตุอื่นๆ ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม โดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ สีผิว ศาสนาหรือความเชื่อ เพศ กำเนิดหรือความมั่งมี หรือเกณฑ์อื่นที่ใกล้เคียงกันจนถึงที่สุดแล้ว การกระทำต่อไปนี้ถือเป็นการกระทำต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นในเวลาหรือสถานที่ใด ต่อบุคคลที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในข้างต้น
(a) การใช้ความรุนแรงต่อชีวิตและบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฆาตกรรมทุกชนิด การทำให้พิการ การปฏิบัติที่โหดร้าย และการทรมาน
(b) การจับเป็นตัวประกัน
(c) การประทุษร้ายต่อศักดิ์ศรีของบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติที่ลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือการทำให้อับอาย
(d) การลงโทษจำคุกและประหารชีวิตโดยไม่ผ่านการพิพากษาของศาล ซึ่งรับรองอำนาจในการพิจารณาคดีและจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากอารยชน
(2) ผู้บาดเจ็บและผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลรักษา
องค์กรด้านมนุษยธรรมที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใด เช่น คณะกรรมการกาชาดสากล อาจเสนอความช่วยเหลือให้แก่ฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้งควรพยายามนำมาตราอื่นในอนุสัญญาไปปฏิบัติโดยวิธีสร้างข้อตกลงพิเศษ การนำอนุสัญญาทั้งหมดไปปฏิบัติจะไม่มีผลต่อสถานะทางกฎหมายของฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง
1.2 องค์ประกอบของ common article 3
องค์กระกอบที่สำคัญของมาตรา 3 ร่วมมีอยู่สองประการคือ ประการแรกจะต้องมีความรุนแรงของการใช้กำลังทางทหารระหว่างกองกำลังของฝ่ายรัฐบาลกับกองกำลังติดอาวุธ (armed force) ประการที่สอง กองกำลังติดอาวุธนี้จะต้องมีลักษณะเป็นองค์กรที่มีการจัดตั้ง มีสายบังคับบัญชาหรือมีการปฏิบัติการในการใช้กำลังอย่างเป็นกิจจะลักษณะ [2]
1.3 ลักษณะพิเศษทางกฎหมายของมาตรา 3 ร่วม
มาตรา 3 ร่วมมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่แตกต่างจากมาตราอื่นดังนี้ ประการแรก เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า มาตรา 3 ร่วมนั้นมิได้มีสถานะแค่ “สนธิสัญญา” ที่ผูกพันเฉพาะรัฐที่เป็นภาคีอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 เท่านั้น แต่มาตรา 3 ร่วมมีสถานะเป็น “กฎหมายประเพณีระหว่างประเทศ” (Customary international law) ด้วยซึ่งหมายความว่า พันธกรณีตามมาตรา 3 ร่วมนั้นผูกพันรัฐที่มิได้เป็นภาคีอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 และกองกำลังติดอาวุธด้วย แม้ว่ารัฐใดและกองกำลังติดอาวุธใดๆ จะมิได้ร่วมสัตยาบันหรือแสดงเจตนาผูกพันมาตรา 3 ร่วมก็ตาม หลักกฎหมายนี้ได้รับการยืนยันจากศาลระหว่างประเทศหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นศาลโลกในคดีนิคารากัวได้ยืนยันว่ามาตรา 3 ร่วมของอนุสัญญาเจนีวามีสถานะเป็นกฎหมายประเพณีระหว่างประเทศ [3] รวมทั้งศาลอาญาระหว่างประเทศที่ตั้งขึ้นที่รวันดาก็รับรองว่ามาตรา 3 มีสถานะเป็นกฎหมายประเพณีระหว่างประเทศ [4] กล่าวโดยสรุปก็คือทั้งรัฐบาลไทยและบีอาร์เอ็นต่างมีพันธกรณีทั้งในทางกฎหมายและทางศีลธรรมที่จะต้องเคารพและปฏิบัติตามมาตรา 3 ร่วมอย่างเท่าเทียมกัน ประการที่สอง มาตรา 3 ร่วมไม่ได้สร้างพันธกรณีต่างตอบแทน (no reciprocity clause) [5] หมายความว่า ฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้งต่างมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 3 ร่วมโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะปฏิบัติตามด้วยหรือไม่ การที่ฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามไม่เป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ปฏิบัติตามไปด้วย เหตุผลเพราะว่า มาตรา 3 ร่วมต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักความมีมนุษยธรรมเป็นสำคัญ การที่ฝ่ายหนึ่งไม่มีมนุษยธรรมก็ไม่เป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องโหดร้ายทารุณตามไปด้วย และประกาศสุดท้าย มาตรา 3 ร่วมจะใช้บังคับทันทีที่มีสถานการณ์การขัดกันด้วยอาวุธเกิดขึ้นภายในประเทศโดยไม่ต้องสนใจว่ารัฐบาลจะให้การรับรองกลุ่มกำลังติดอาวุธหรือไม่ เพราะมาตรา 3 ร่วมมีเจตนารมณ์หลักในการคุ้มครองพลเรือนที่มิได้มีส่วนในการใช้กำลังทางทหารเป็นสำคัญ
1.4 สถานะทางกฎหมายของกลุ่ม BRN ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ประเด็นที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือ สถานะทางกฎหมายของกลุ่ม BRN คืออะไร ในสายตาของรัฐบาลไทยจะถือว่ากลุ่มก่อความไม่สงบหรือกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในขณะที่กลุ่ม BRN ถือว่ากลุ่มตนเองเป็นกลุ่มปลดปล่อยทางการเมือง (Political liberation movement) แต่ไม่ว่าจะเรียกขานอย่างไรก็ตามหากถือเกณฑ์ตามมาตรา 3 แล้ว กลุ่มของ BRN ก็เข้าข่ายเป็น “non-governmental armed groups” หรือ non state actors ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และถือว่าเป็น “ฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง” (each Party to the conflict) ตามความหมายของมาตรา 3 แล้ว ผลในทางกฎหมายก็คือกลุ่ม BRN มีจะหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีตามมาตรา 3 ร่วม เช่น บุคคลใดที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม การใช้ความรุนแรงต่อชีวิตและบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฆาตกรรมทุกชนิด การทำให้พิการ การปฏิบัติที่โหดร้าย และการทรมาน การจับเป็นตัวประกัน ฯลฯ นั้นจะกระทำมิได้ เป็นต้น ในขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็อยู่ในฐานะของฝ่าย “ที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง” ด้วย ดังนั้น รัฐบาลไทยก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 3 ร่วมด้วยเช่นกัน ในประเด็นของความหมายคำว่า “ฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง” (each Party to the conflict) นั้น นักกฎหมายระหว่างประเทศเห็นว่า ทั้งฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธหรือฝ่ายกบฏต่างก็อยู่ในความหมายของคำว่า “each Party” และตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 3 ร่วมอย่างเท่าเทียมกัน [6]
1.5 การใช้มาตรา 3 จะมีผลเป็นการรับรองสถานะของกลุ่ม BRN หรือไม่
ข้อวิตกกังวลของรัฐบาลไทยมาโดยตลอดก็คือจะต้องไม่พยายามยกระดับหรือรับรองสถานะของกลุ่มBRN ให้มีสถานะเป็นผู้เป็นฝ่ายในสงครามหรือสถานะใดก็แล้วแต่ แต่ก่อนที่จะพูดถึงประเด็นนี้ขอทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่าตามกฎหมายระหว่างประเทศนั้น สถานะของกลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่ “รัฐอธิปไตย” (Sovereign state) มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท เช่น กองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลหรือฝ่ายกองกำลังกบฏ (insurgent) ซึ่งหากกองกำลังที่เป็น insurgent ได้รับการรับรองจากฝ่ายรัฐบาลก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นผู้เป็นฝ่ายในสงครามที่เรียกว่า Belligerent ซึ่งความแตกต่างนี้นำมาซึ่งสิทธิและหน้าที่และความรับผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศที่แตกต่างกันตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี การนำบทบัญญัติของมาตรา 3 มาใช้กับสถานการณ์ armed conflict ภายในรัฐนั้นได้บัญญัติอย่างชัดเจนว่า “การนำอนุสัญญาทั้งหมดไปปฏิบัติจะไม่มีผลต่อสถานะทางกฎหมายของฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง” ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการรับรองสถานะของกองกำลังนั้นได้มีการถกเถียงกันมาตั้งแต่ตอนร่างอนุสัญญาเจนีวาแล้วและในที่ประชุมก็มีมติให้ใส่ข้อความที่ว่า “การนำอนุสัญญาทั้งหมดไปปฏิบัติจะไม่มีผลต่อสถานะทางกฎหมายของฝ่ายที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง” เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง วัตถุประสงค์หลักของมาตรา 3 ตั้งอยู่บนเหตุผลมนุษยธรรมเป็นสำคัญไม่เกี่ยวกับเหตุผลทางการเมืองแต่อย่างใด การปฏิบัติตามพันธกรณีตามมาตรา 3 ไม่ก่อให้เกิดการรับรองกลุ่มกำลังติดอาวุธให้มีสถานะเป็น “ผู้เป็นฝ่ายในสงคราม” แต่อย่างใดไม่กองกำลังติดอาวุธนั้นก็จะคงมีสถานะเหมือนเดิมและรัฐบาลก็ยังมีความชอบธรรมในการปราบปรามกองกำลังติดอาวุธตามภายใต้กฎหมายภายในของตนต่อไป
2. สนธิสัญญาค้าอาวุธ (Arms Trade Treaty: ATT)
เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมาเร็วๆ นี้ ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติเห็นชอบ “สนธิสัญญาค้าอาวุธ” (Arms Trade Treaty (ATT) วัตถุประสงค์หลักของสนธิสัญญา ATT ก็คือต้องการควบคุมการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เป็นอาวุธตามแบบ (Conventional arms) และอาวุธเล็ก-อาวุธเบา (Small arms and light weapons) โดยเฉพาะอาวุธเล็กอาวุธเบาที่เคลื่อนย้ายและใช้งานได้ง่ายรวมทั้งมีราคาถูก มิให้ตกไปอยู่ในการครอบครองของพวกก่อการร้าย กลุ่มอาชญากรข้ามชาติหรือกลุ่มกบฏต่างๆ สนธิสัญญานี้จะป้องกันมิให้อาวุธยุทโธปกรณ์มาใช้เป็นอาวุธทำร้ายล้างพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่ปีหนึ่งๆ ได้คร่าชีวิตผู้คนไปหลายล้านคนทั่วโลก สนธิสัญญานี้กำหนดให้รัฐภาคีจัดหามาตรการควบคุมและป้องกันมิให้มีการส่งออกหรือเคลื่อนย้ายอาวุธที่จะละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศหรือกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมทั้งจัดหามาตรการป้องกันเกี่ยวกับการเป็น “ทางผ่าน” หรือ “การขนถ่ายลำเลียง” อาวุธเหล่านี้ด้วย ฉะนั้น หากสนธิสัญญาการค้าอาวุธมีผลใช้บังคับและประเทศไทยรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านเป็นภาคีสนธิสัญญา ATT แล้วก็อาจมีผลช่วยป้องกันมิให้มีการลักลอบเคลื่อนย้ายอาวุธไปใช้ใน 3 จังหวัดภาคใต้ไม่มากก็น้อย
บททิ้งท้าย
กระบวนการสันติภาพใน 3 จังหวัดภาคใต้เพิ่งจะเริ่มขึ้นและเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทนมากพอสมควร ซึ่งผู้เขียนหวังว่าการใช้มาตรา 3 ร่วมน่าจะมีส่วนช่วยในการสร้างแผนสันติภาพไม่มากก็น้อย และหากเป็นไปได้ ทั้งฝ่ายไทยและบีอาร์เอ็นควรพิจารณาเรื่องการใช้มาตรา 3 ร่วมของอนุสัญญาเจนีวาสี่ฉบับ ค.ศ. 1949 ในบริเวณ 3 จังหวัดภาคใต้ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยควรเปิดฉากเจรจากับประเทศมาเลเซียและประเทศอื่นๆ ในอาเซียนในเรื่องความเป็นไปได้ที่กลุ่มประเทศอาเซียนจะเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาค้าอาวุธเพื่อสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียนอันจะสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของประชาคมอาเซียนในด้านความร่วมมือในด้านการเมืองและความมั่นคงด้วย
อ้างอิง:
- โปรดดูคำแปลมาตรา 3 ร่วมในบทความของ พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ, ว่าด้วยกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และสถานการณ์ชายแดนใต้
- Jelena Pejic, The protective scope of Common Article 3: more than meets the eye, Volume 93 Number 881 March 2011 International Review of the Red Cross, หน้า 4
- International Court of Justice (ICJ), Case concerning Military and Paramilitary Activities in and against Nicaragua (Nicaragua v. United States of America), 27 June 1986, Judgment, para. 218.
- See International Criminal Tribunal for Rwanda (ICTR), Prosecutor v. Akayesu, Case No. ICTR-96-4-T (Trial Chamber), September 2, 1998, paras. 608–609.
- George MOUSOURAKIS, APPLYING HUMANITARIAN LAW TO NONINTERNATIONAL ARMED CONFLICTS, http://dspace.unav.es/dspace/bitstream/10171/21626/1/ADI_XIV_1998_06.pdf, หน้า 297
- Marco Sassli,Taking Armed Groups Seriously: Ways to Improve their Compliance with International Humanitarian Law International Humanitarian Legal Studies 1 (2010), หน้า12; - Lindsay Moir, The Law of Internal Armed Conflict , (the United Kingdom: Cambridge University Press,2002),หน้า 52;Antonio Cassese, The Status of Rebels under the 1977 Geneva Protocol on Non-International Armed Conflicts, International and Comparative Law Quarterly / Volume 30 / Issue 02 / April 1981, หน้า 424
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)