พิสิฏฐ ภัคเกษม: มองเศรษฐกิจไทย ครึ่งปีหลัง (พ.ศ.2556)

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกตกอยู่ในภาวะลำบาก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือ ญี่ปุ่น  ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ เหล่านี้เกิดปัญหานั้นก็เพราะการใช้จ่ายทางการคลังที่เกินตัว หรือ รัฐบาลใช้จ่ายเงินเกินตัว มีหนี้สาธารณะมากไป ทำให้ฟื้นตัวได้ช้า  ซึ่งความล่าช้าในการฟื้นตัวของ“เศรษฐกิจโลก”ในครึ่งหลังของปี2556 ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงและข้อจำกัดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย

ในขณะเดียวกัน ปรากฏว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในจีน และอาเซียนกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยซึ่งมีลักษณะค่อนข้างกระจาย(Diversify) มีทั้งอุตสาหกรรมและการบริการ ไม่ได้พึ่งพิงไปที่อุตสาหกรรมหนึ่ง อุตสาหกรรมใดโดยเฉพาะถือเป็นพื้นฐานที่ดี รวมถึงการที่ไทยเป็นประเทศมีสินค้าเกษตรเหลือส่งออก (Food surplus country) มากที่สุดในกลุ่มอาเซียน จึงเป็นปัจจัยด้านบวกที่เอื้ออำนวยต่อ การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย

อย่างไรก็ตาม“การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท”ยังคงเป็นปัญหาที่นักลงทุนวิตกกังวล ด้วยเกรงว่าอาจจะมี“มาตรการควบคุมเงินไหลเข้า” อย่างไรก็ตามการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย แต่เกิดขึ้นจากการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศ ซึ่งควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด เพราะไม่สามารถควบคุมได้ 

การแข็งค่าของเงินบาท จะส่งผลกระทบกับรายรับ“ในรูปเงินบาท”ของผู้ประกอบการไทย ซึ่งในช่วงที่เหลือของปี 2556 ก็ยังคงมี“แรงกดดันต่อการแข็งค่า” ต่อเนื่อง จะทำให้การขยายตัวของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย “ชะลอตัวลง”

ข้อเสนอแนะต่อการบริหารนโยบายเศรษฐกิจไทยปี 2556 นั้น ประการแรกเห็นว่าควรดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้มีการเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพ 

ประการต่อมา รัฐควรดูแลราคาสินค้าสำคัญ ๆ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง วัตถุดิบทางการเกษตร ให้มีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับราคาสินค้า“ในตลาดโลก” เพื่อลดแรงกดดัน “เงินเฟ้อ” และสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย

ประการที่สาม ต้องมีการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบให้กับ SMEs จากการแข็งค่าของเงินบาท การเพิ่มต้นทุนค่าแรง และความยืดเยื้อในการหดตัวของเศรษฐกิจยุโรป

ประการที่สี่ ควรเร่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ได้แก่ โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)  เร่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่เศรษฐกิจใหม่(ชายแดน)และเศรษฐกิจโดยภาพรวม

แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2556 นั้น คาดว่าอัตราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้จะอยู่ที่ 4 – 5 % ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 5% และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) คาดว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ประมาณ 4.2 – 5.2 % “ราคาส่งออก”มีความเสื่อมในครึ่งหลังของปี2556ในเกณฑ์สูง เงินเฟ้อเท่ากับ 2.2 – 3.3% บัญชีเดินสะพัด“เกินดุล”เท่ากับ 0.9%  การลงทุนภาคเอกชนคงจะขยายตัว“ต่อเนื่อง” อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในเกณฑ์“ต่ำ” ความเชื่อมั่นในการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งเสริมการลงทุน(BOI) และการเบิกจ่ายงบประมาณบริหารจัดการทรัพยากร“น้ำ” ซึ่งคาดว่าจะคืบหน้าและสามารถเบิกจ่ายให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ในครึ่งหลังของปี 2556

การบริโภคของภาคเอกชน(Private Consumption)ขยายตัว 4.2% การลงทุน(Investment)ขยายตัว 6.0% ส่งออกขยายตัว 4.5% เทียบกับหดตัวในปี 2555 ยานยนต์ขยายตัวสูงถึง16.8%  ส่งออกข้าวขยายตัว8.6% โดยพบว่าการส่งออกข้าวไปยังตลาดหลักคือสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป ขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ ส่วนการส่งออกข้าวไปยังตลาดจีน ฮ่องกง ออสเตรเลียอยู่ในเกณฑ์ดี   ส่วนภาคอุตสาหกรรมนั้นในปี 2556 ขยายตัว “ต่ำ”

 

 

 

ที่มา: CPe-NEWS

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท