Skip to main content
sharethis

รองเลขา สปสช.แจงหารือสมาคม รพ.เอกชน-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ล้วนเห็นด้วยนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินเป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่ยังมีปัญหาในข้อปฏิบัติ เผยข้อเสนอ กำหนดนิยามให้ชัดเจน มีกฎหมายหรือระเบียบรองรับ รวมถึงพัฒนาระบบการแจ้งใช้สิทธิผู้ป่วย ไม่ให้ถูกเรียกเก็บเงินส่วนเกินอีกต่อไป

 
วันนี้ (15 ส.ค.56) นพ.สัมฤทธ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวถึงกรณีที่ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ให้สัมภาษณ์ว่านโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียวของรัฐบาลนั้นเป็นนโยบายที่ดี แต่ยังพบว่าการปฏิบัติมีปัญหา โดยเฉพาะมีผู้ป่วยฉุกเฉินที่ใช้บริการตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียวถูกเรียกเก็บเงินจากการรักษาพยาบาล ซึ่งไม่เป็นไปตามที่นโยบายระบุไว้ ว่า ทั้งรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช.ทราบเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ไม่ได้นิ่งนอนใจ
 
นพ.สัมฤทธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาได้มีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงสมาคมโรงพยาบาลเอกชนมาโดยตลอด ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า นโยบายนี้ช่วยให้ประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินได้รับการรักษาทันที ไม่เสียโอกาสการรักษา และป้องกันไม่ให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจทำให้ล้มละลายได้ ที่สำคัญนโยบายนี้ เป็นการปิดช่องว่างของแต่ละกองทุน แต่ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ต้องเร่งแก้ไข เช่น การขาดกฎระเบียบรองรับ ขอบเขตและความชัดเจนของภาวะฉุกเฉินยังเป็นประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกัน รวมถึงอัตราการจ่ายชดเชยที่จ่ายแก่โรงพยาบาลเอกชน
 
รองเลขาธิการสปสช. กล่าวต่อว่า ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานประกันสังคมเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา และมีข้อเสนอเพื่อพัฒนาระบบให้มีความยั่งยืน โดยหลักการสำคัญของนโยบายคือ “ปิดช่องว่างที่มีของระบบต่างๆ ไม่ใช่ไปทดแทนระบบปกติที่มีของแต่ละกองทุน” และมาตรการสำคัญมี 7 ข้อ ประกอบด้วย
 
1.ให้มีกฎหมายหรือระเบียบรองรับ รวมถึงมีกลไกการอภิบาลระบบร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี สปสช.เป็นผู้จัดการระบบ 2.ให้จำกัดขอบเขตของนโยบายนี้ไว้ที่ ‘ฉุกเฉินวิกฤตถึงแก่ชีวิต’ และมีมาตรการสนับสนุนและกำกับอย่างมีประสิทธิผล โดยผู้ป่วยต้องไม่ถูกปฏิเสธการให้บริการและไม่ให้มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วยโดยตรง ทั้งนี้แต่ละกองทุนยังต้องคงระบบการคุ้มครองและชดเชยบริการฉุกเฉินตามปกติสำหรับกรณีไม่ใช่วิกฤต หรือไม่ได้ขอแจ้งใช้สิทธิขณะรับบริการ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในระบบและไม่เป็นการลิดรอนสิทธิประชาชน
 
3.ให้มีการปรับเพิ่มค่าบริการสำหรับกรณีวิกฤตสีแดงให้เหมาะสม โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาอัตราใหม่ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายนนี้ 4.ให้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล กำหนดให้สถานพยาบาลเอกชนต้องไม่ปฏิเสธการขอใช้สิทธิและเรียกเก็บค่ารักษาจากผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตโดยตรง
 
5.มีระบบการแจ้งขอใช้สิทธิและระบบอนุมัติตั้งแต่เริ่มเข้ารับบริการ ซึ่งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จะกำหนดเกณฑ์และระบบการจำแนกระดับฉุกเฉิน และเกณฑ์เมื่อพ้นจากภาวะวิกฤต โดยระบบนี้จะคุ้มครองกรณีเป็นฉุกเฉินวิกฤต (สีแดง) ระบบจะออกเลขอนุมัติและโครงการนี้จ่ายให้ตามอัตราใหม่ที่จะตกลงกัน แต่หากเป็นกรณีฉุกเฉินที่ไม่ถึงกับวิกฤต เช่น ฉุกเฉินเร่งด่วน (สีเหลือง) หรือไม่เร่งด่วน (สีเขียว) จะส่งต่อข้อมูลไปยังกองทุนที่รับผิดชอบดูแลต่อไป และโรงพยาบาลต้องมีการแจ้งขอใช้สิทธิตั้งแต่เริ่มรับเข้าบริการวันแรก (หากไม่ได้แจ้งขอใช้สิทธิตามระบบนี้ก็ยังคงไปใช้สิทธิในระบบปกติของตนได้)
 
6. จัดให้มีการบริการสายด่วนให้คำปรึกษาการใช้บริการ ช่องทางการใช้บริการ และการดูแลตนเอง (Health Line) และ 7.มีระบบการจัดการของแต่ละกองทุนเพื่อส่งผู้ป่วยกลับเข้าสู่ระบบปกติโดยความสมัครใจเมื่อพ้นภาวะวิกฤตและฉุกเฉิน
 
“ทั้งหมดเป็นข้อเสนอที่จะนำไปหารือในคณะกรรมการร่วมสามกองทุนปลายเดือนนี้ และนำเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในเดือนกันยายนนี้ เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขตามข้อเสนอต่อไป ทั้งนี้คาดว่าการดำเนินการตามข้อเสนอนี้น่าจะลดปัญหาอุปสรรคที่มีได้” นพ.สัมฤทธิ์ กล่าว
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net