หลายคนคงได้ติดตามข่าวบริษัททุ่งคำฯ ฟ้องร้องดำเนินคดี 14 แกนนำชาวบ้านกลุ่ม “คนรักษ์บ้านเกิด” พร้อมกับเรียกค่าเสียหายกว่า 50 ล้านบาท ในฐานที่ไปจำกัดสิทธิ เสรีภาพ และทำให้ธุรกิจบริษัทฯ หยุดตัว
เรื่องนี้หากพิจารณากันให้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นจนนำมาสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวบ้านนั้นถือว่าไม่มีอะไรผิดไปจากคาด ครั้งนี้เกิดเป็นครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรกบริษัทฯ เคยฟ้องร้องนายสมัย ภักดี แกนนำกลุ่มฯ ข้อหาบุกรุก เมื่อ 3 ปีที่แล้ว กรณีเดินขึ้นไปบนภูทับฟ้าซึ่งบริษัทฯ ได้ประกาศเป็นเขตห้ามเข้าไปใช้ประโยชน์ แต่ครั้งนั้นบริษัทได้ถอนแจ้งความและก็ยุติเรื่องไปในที่สุด
มาคราวนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ครั้งนี้บริษัทฯ ฟ้องร้องชาวบ้านทั้งพวง (กลุ่ม) พร้อมกับเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมหาศาลถึง 50 ล้านบาท ซึ่งก็กะว่าจะเอาเข็ดหลาบ ขยาดกลัว และเลิกแสดงออกในท่าทีที่ต่อต้าน
การกระทำของบริษัทฯ ถือว่าแย่สุดๆ เพราะชาวบ้านที่คัดค้านการทำเหมืองแร่ทองคำล้วนแล้วแต่มีเหตุมีผลกันทั้งสิ้น หากจำกันได้ ผลกระทบจากการดำเนินโครงการนี้ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2550 จนถึงวันนี้กินเวลาร่วม 6 ปี
ในเวลา 6 ปีที่ผ่านมาชาวบ้านต้องทนทุกข์ระทมกับผลกระทบที่ตนไม่ได้เป็นผู้ก่อขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรั่วไหลของไซยาไนด์และโลหะหนัก จนบางคนต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยดังที่ปรากฏอยู่ในภาพข่าวเป็นระยะๆ
สิ่งที่ชาวบ้านเรียกร้องอยู่วันนี้ไม่ต่างอะไรกับข้อเรียกร้องเมื่อ 5 ห้าปีที่แล้ว คือการให้รัฐบาลและบริษัทฯ แสดงความรับผิดชอบในการเยียวยาผลกระทบ และให้ยุติโครงการจากการจัดการที่ล้มเหลว แต่แล้วผ่านมาหลายปีข้อเรียกร้องนี้ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างรูปธรรม ทั้งส่วนราชการภายในจังหวัดในฐานะกลไกของรัฐที่รับผิดชอบ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างเช่น กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ซ้ำร้ายยังพยายามถูลู่ถูกังทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดการเดินหน้าโครงการ
ปัญหานี้แก้ยากและจะลุกลามบานปลายในที่สุดเพราะรัฐไม่จริงใจในการแก้ปัญหา แม้แต่รัฐบาลเองโดยกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้ให้สัมปทานยังเพิกเฉยและลอยตัวจากปัญหา ปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้นนี้ทำให้ชาวบ้านรู้สึกเบื่อหน่ายกับกลไกของรัฐ จนไม่เชื่อมั่นว่าจะเป็นที่พึ่งได้อีกต่อไป
เหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจของรัฐบาลและหน่วยราชการในจังหวัด เห็นได้จากกรณีเมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา บริษัทฯ จัดเวทีการกำหนดขอบเขตและแนวทางประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (public scoping) ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบก็ไม่สามารถเข้าไปร่วมเวทีนั้นได้ ทั้งๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และวันนั้นก็เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาต้องการที่จะไปบอกให้ผู้จัดเวทีได้รับรู้ถึงความเดือดร้อนที่ผ่านมา รวมไปถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งกับตัวเขาเองและชุมชน แต่ผลที่สุดเสียงเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายแต่ประการใด
หนำซ้ำยังมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 700 นาย ปิดกั้นไม่ให้เข้าไปยังเวที ทั้งที่ในความเป็นจริงเวทีแบบนี้มันควรจะเป็นเวทีเปิดให้ชาวบ้านทุกคนได้เข้าร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการเหมืองแร่ทองคำภูทับฟ้า
น่าเสียดายยิ่ง เวทีแบบนี้ควรที่บริษัทฯ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องควรจะได้แสดงความชาญฉลาดในการเปิดกว้างทางความคิด และไม่ควรจะใช้เงื่อนไขใดๆ ในการไปสกัดกั้นชาวบ้าน แต่ควรจะเปิดโอกาสให้คนที่เขารู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเข้ามารับรู้รับฟัง และให้พวกเขานำเสนอข้อเป็นห่วงกังวล แต่ท้ายสุดเวทีที่มันควรจะเกิดประโยชน์ก็กลายเป็นเพียงโรงละครเล็กๆ ที่ผู้บริหารบริษัทฯ กับส่วนราชการในจังหวัดร่วมกันปาหี่ตบตาชาวบ้าน
มันคงจะเจริญ? บ้านนี้เมืองนี้กลุ่มคนที่เห็นต่างไม่สามารถเข้าร่วมกระบวนการรับฟังความคิดเห็นได้ คำว่า “สิทธิชุมชน” “สิทธิตามรัฐธรรมนูญ” ไม่ต้องพูดถึงสำหรับที่นี่ วันนี้ใช้ไม่ได้กับชาวบ้าน 6 หมู่บ้านในตำบลเขาหลวง
นับเป็นความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากกระบวนการพัฒนาของรัฐที่ดำเนินการอย่างไร้ความรับผิดชอบ ปล่อยให้บริษัทฯ กำมะลอเข้ามาสัมปทานและจัดการทรัพยากรอย่างขาดสำนึก
สิ่งที่เจ็บปวดที่มากสุดสำหรับกรณีนี้คือ การลุกขึ้นมาป้องป้องทรัพยากรของชาวบ้านแต่ต้องถูกบริษัทฯ ฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งทางเพ่งและอาญา ฟังแล้วน่าหัวเราะเยาะ บอกว่าชาวบ้านไปปิดทางเข้าบริษัทฯ สร้างความเสียหายกับธุรกิจ ยิ่งกว่านั้นยังบอกอีกว่า ธุรกิจที่เดินไม่ได้ 5 วันทำให้สูญเงินไปวันละ 10 ล้านบาท เลยจำเป็นต้องฟ้องร้องชาวบ้านถึง 50 ล้านบาท
ฟังแล้วถึงกับสะดุ้ง? เพิ่งทราบว่าการทำเหมืองแร่ที่ภูทับฟ้า จังหวัดเลย สามารถทำให้มีเม็ดเงินเกิดขึ้นถึงวันละ 10 ล้านบาท
แต่น่าเสียดาย? สำนึกรับผิดชอบทางสังคมต่ำไปหน่อย เงินที่ได้จากการตักตวงเอาทรัพยากรท้องถิ่นกลับไม่สามารถนำมาเยียวยาหรือว่าชดเชยความรู้สึกใดๆ ของชาวบ้านได้แม้แต่รายเดียว
นับเป็นบทเรียนครั้งใหญ่อีกครั้งที่ชาวบ้านตัวเล็กๆ ลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรแล้วต้องตกเป็นฝ่ายถูกกระทำจากผู้ที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแรงกว่าอย่างบริษัทฯ นี่คือเรื่องเล็กๆ ของคนเฉพาะกลุ่มก้อนหรือไม่? หรือ มันคือโจทย์ใหญ่สำหรับสังคมไทย?
แต่หากจะว่าไปแล้ว การพัฒนาใดๆ ที่เกิดขึ้นบนคราบน้ำตาของชาวบ้าน สำหรับสังคมไทยมันไม่ควรจะมีอีกต่อไป เพราะบทเรียนที่ผ่านมาสะท้อนชัดว่า รัฐบาล หน่วยงานที่เป็นกลไกในจังหวัด และบริษัทที่รับสัมปทานยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
สำหรับสังคมภายนอก กรณีเหมืองแร่ทองคำ เราต้องไม่ลืมว่าผลกระทบตรงนี้มันหนักหนาสาหัส ยากแก่การเยียวยา แล้วไม่ใช่พึ่งจะเกิดขึ้นปีสองปี แต่เป็นปัญหาที่ชาวบ้านเผชิญมาแล้วร่วม 6 ปี ที่สำคัญขณะนี้ยังไม่มีคนรับผิดชอบ โลหะหนักจากการประกอบกิจกรรมเหมืองแร่ยังเข้าเลือดชาวบ้านทุกวัน ป่าไม้ ภูเขา แหล่งน้ำ ในวันนี้ไม่ต้องพูดถึง ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ น้ำอุปโภค บริโภค วันนี้ชาวบ้านไม่มั่นใจ หอย กุ้ง ปลา ผักจากธรรมชาติขณะนี้ปนเปื้อนไปด้วยไซยาไนด์
ทั้งหมดนี้คือ “หายนะภัย” ที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านทั้ง 6 หมู่บ้านในตำบลเขาหลวง จังหวัดเลย และเป็นสิ่งที่ชาวบ้านอย่างพวกเขากำลังใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน และนี่คือเหตุผลสำคัญว่า “ทำไมชาวบ้านต้องคัดค้านโครงการเหมืองแร่ทองคำ”