Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

คงต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เสื่อมถอยลงอย่างหนัก ตั้งแต่ พ.ศ.2553 หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค กลายเป็นฆาตกรก่อการสังหารหมู่ประชาชนกลางเมือง และมาถึงวันนี้ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2556 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ สมาชิกพรรคส่วนหนึ่ง ได้กลายมาเป็นแกนนำม็อบข้างถนน ที่ใช้วิธีการอันไม่ชอบธรรมได้ทุกอย่าง เพียงเป้าหมายเพื่อจะโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอย่างฉับพลัน โดยมิได้คำนึงว่า วิธีการเช่นนี้จะสร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองเพียงใด

และที่น่าเสียดายคือ การเคลื่อนไหวอันไม่ชอบธรรมเช่นนี้ กลับได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลางในเมืองจำนวนมาก ที่รวมถึงข้าราชการ นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ดาราภาพยนตร์และคนในวงการบันเทิง ตลอดจนพนักงานบริษัทห้างร้าน นอกจากนี้ก็คือการนำเอาคนภาคใต้ที่เดินทางมาร่วมเป็นกำลังหลัก โดยเฉพาะการสนับสนุนการชุมนุมเมื่อเวลาบ่ายถึงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน ที่ทำให้จำนวนผู้ชุมนุมของม็อบนายสุเทพที่ราชดำเนินมีจำนวนนับแสนคน

การที่มีประชาชนมาร่วมชุมนุมจำนวนมากเช่นนั้น ทำให้ฝ่ายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยกระดับการชุมนุมในวันที่ 25 พฤศจิกายน โดยส่งกำลังไปยึดสถานที่ราชการ เช่น กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ กรมประชาสัมพันธ์ และ กระทรวงต่างประเทศ จากนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็แถลงว่า การชุมนุมและการเข้ายึดสถานที่ราชการทั้งหมดนี้ เป็นไปเพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปยังประชาชนที่รักชาติให้ออกมาต่อต้านระบอบทักษิณ นายสุเทพอธิบายว่า จะไม่มีการเรียกร้องอะไรจากรัฐบาล เพราะถือว่ารัฐบาลไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นโมฆะ เพราะปฏิเสธอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ  จึงต้องดำเนินการปฏิวัติประชาชน แล้วแก้ไขเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง นายสุเทพย้ำว่า จะไม่เอาการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ เพราะถ้าเลือกตั้งภายใต้กติกาเดิม ในที่สุดเพื่อไทยก็จะได้เสียงกลับมาครองอำนาจแล้วทำเลวระยำกับแผ่นดินต่อไป การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงเป็น”อารยะขัดขืน” ยอมทำผิดกฎหมายเพื่อต่อต้านระบอบอธรรม ร่วมหยุด หรือเฉื่อยงานเพื่อร่วมมือร่วมใจล้มล้างระบอบทักษิณให้สิ้นซาก เลิกก้มหัวให้นักการเมืองพรรคการเมืองชั่ว

กระบวนที่เกิดขึ้นนี้เห็นได้แล้วว่า นายสุเทพต้องการจะนำประเทศไปสู่ระบอบการเมืองแบบอื่น ที่ไม่ต้องเป็นไปหลักประชาธิปไตย และไม่เป็นตามรัฐธรรมนูญแม้กระทั่งในฉบับ 2550 นี้ ถ้าพิจารณาตามที่นายสุเทพดำเนินการ ระบอบใหม่จะเป็นการเมืองที่ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง หรือถ้าเลือกตั้งก็ต้องเลือกพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว และอำนาจอยู่ที่พระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง และวิธีการที่ได้มาก็คือ การใช้มวลชนเข้ายึดสถานที่ราชการ แล้วประกาศปฏิวัติ คำถามก็คือ ระบอบแบบนี้และวิธีการได้มาแบบนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องและชอบด้วยเหตุผลจริงหรือ และที่สำคัญนายสุเทพมั่นใจจริงหรือว่าใช้วิธีเช่นนี้แล้วจะขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้สำเร็จ หรือความจริง คุณสุเทพใช้วิธีการนี้เพื่อสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย แล้วเปิดทางให้ตัวช่วย คือ องค์กรอิสระทั้งหลาย หรืออำนาจนอกระบบ อ้างความจำเป็นที่จะต้องรักษาความสงบของบ้านเมือง แล้วมาที่จะมาจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ ซึ่งถ้าเป็นดังนั้น จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาก้าวหน้าไปได้กระนั้นหรือ

ย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุมของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องถือว่าบ้านเมืองไทยไม่ได้มีวิกฤตการณ์อะไร ฝ่ายพรรคเพื่อไทยกำลังเพลี่ยงพล้ำขนานใหญ่ หลังจากที่ไปผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ยกโทษให้ฆาตกรแลกกับนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในสถานะเช่นนั้นถ้าพรรคประชาธิปัตย์ใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการรณรงค์ แล้วมุ่งโจมตีอย่างมีเหตุผลต่อนโยบายที่เป็นข้ออ่อนของรัฐบาล แล้วเปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ดี นำเสนอนโยบายแก้ปัญหาของประเทศอย่างเป็นระบบ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะมีน้ำหนักมากขึ้นในการเลือกตั้งสมัยหน้า และอาจจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างมีหลักการได้ แต่กลับกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ละทิ้งวิธีต่อสู้อันชอบธรรม ลดฐานะตัวเองจากพรรคการเมืองในระบอบรัฐสภา กลับมาใช้วิธีแบบม็อบขวาจัดลักษณะเดียวกับม็อบอุรุพงศ์และม็อบสวนลุมพินี แล้วนำเอาพลังของประชาชนที่สนับสนุนมาใช้ต่อสู้ด้วยวิธีการอนาธิปไตย อันเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

ดังนั้นจึงต้องสรุปว่า การเคลื่อนไหวของม็อบนายสุเทพในขณะนี้จึงไม่ได้ดำเนินไปด้วยหลักการและเหตุผล ไม่ต้องเสนอนโยบายและวิธีการ  ไม่ต้องอาศัยคนที่มีภาพลักษณ์ดีเสียด้วยซ้ำ แต่อาศัยการระดมอารมณ์ความรู้สึกที่เกลียดชังและอคติที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ มาเป็นเชื้อเพลิง ทั้งที่ไม่ได้มีหลักฐานตามที่กล่าวอ้างกันเลยว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาลที่โกงกินบ้านเมือง จนเกินกว่าที่จะยอมรับได้ ม็อบแห่งความเกลียดชังเหล่านี้ จะเอากฎหมายข้อไหนมาไล่ตระกูลชินวัตรทั้งหมดจากประเทศ ทั้งที่เขาไม่ได้มีความผิดอะไรเลย

นอกจากนี้ สิ่งที่ฝ่ายประชาธิปัตย์และกลุ่มชนชั้นกลางเกลียดทักษิณ ลืมไปว่า พวกเขาเป็นเสียงข้างน้อย มีจำนวนไม่ถึงครึ่งของผู้ลงคะแนนเสียงในประเทศนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศคือคนที่ลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทย ขณะที่ฝ่ายนายสุเทพอ้างได้ว่า มีมวลชนสนับสนุนจำนวนมาก แต่ฝ่ายพรรคเพื่อไทย  นปช.และคนเสื้อแดง เขาก็อ้างได้เช่นกันว่า ฝ่ายของเขาก็มีคนสนับสนุนจำนวนมากหรือมากกว่า และคนเหล่านี้พร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้บริหารประเทศต่อไป คำถามอย่างง่ายในที่นี้ว่า สมมติว่าวิธีการของนายสุเทพและกลุ่มเกลียดทักษิณใช้ได้ และสามารถยึดอำนาจรัฐได้จริง จะปกครองคนส่วนที่เหลือให้ยอมรับได้อย่างไร ต่อให้มีตัวช่วยและมีอำนาจนอกระบบค้ำจุน ก็ไม่สามารถสร้างความนิยมในหมู่ประชาชนได้ การปกครองเช่นนั้นก็คงจะต้องใช้อำนาจอันอนารยะ ใช้การปราบปรามเข่นฆ่าสังหาร หรือจับกุมคุมขังอย่างหนักเพื่อกดประชาชนฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณลงไปให้จงได้ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว บ้านเมืองไทยคงจะย้อนสู่ยุคบ้านป่าเมืองเถื่อนแน่นอน

ลองกลับไปคิดกันเสียใหม่ เพราะความจริงทางที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหาบ้านเมือง และจะทำให้ประเทศไทยรักษาสันติภาพและการพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้ในระยะยาวก็คือ การกลับมาต่อสู้ทางการเมืองในระบบ ยอมรับกติกากันก่อน และถ้ากติกาไม่ถูกต้องไม่สอดคล้องก็ยอมรับการแก้ไขกันตามระบบที่เป็นอยู่ เลิกคิดที่จะใช้ตัวช่วยและอำนาจนอกระบบ หรือวิธีการนอกกติกา ซึ่งการแก้ปัญหาแบบอารยะในลักษณะนี้ จะเป็นวิธีการที่ไม่ปฏิเสธความขัดแย้ง แต่จัดการให้ความขัดแย้งอยู่ในกรอบ เคารพในเสียงข้างมาก รักษาสิทธิเสียงส่วนน้อย บ้านเมืองจึงจะไปได้ แต่หากจะเอาตามเสียงส่วนน้อยมาลากจูงกำหนดทิศทางประเทศ ไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและคงจะหลงทิศผิดทางเช่นกัน



ที่มา: โลกวันนี้ ฉบับ 440 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2556

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net