เว็บไซต์ Livescience จัด 10 อันดับข่าววิทยาศาสตร์แปลกๆ ในปี 2556 ตั้งแต่เรื่องในระดับควอนตัมฟิสิกส์ การใช้พลังงานจากปัสสาวะ การค้นพบความเบื่อหน่ายลักษณะใหม่ อวัยวะใหม่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกระจกตา และผึ้งที่ชื่นชอบคาเฟอีน
29 ธ.ค. 2556 ตลอดปี 2556 ที่ผ่านมามีเรื่องน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์หลายเรื่องนับตั้งแต่การค้นพบอนุภาคฮิกส์โบซอน การตรวจพบดีเอ็นเอของมนุษย์จากกระดูกฟอสซิลอายุกว่า 400,000 ปี ในอุโมงค์ของสเปน
แต่ก็มีบางเรื่องที่ดูน่าประหลาดเช่น กรณีโรคอุปาทานหมู่ในหมู่บ้านของสาธารณรัฐแอฟริกากลางที่มีคนกลัวการถูกขโมยอวัยวะเพศ ไปจนถึงการค้นพบว่าบรรพบุรุษมนุษย์ยุคปัจจุบันมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับมนุษย์สายพันธุ์อื่นนอกจากเดนิโซแวนและนีแอนเดอทาล ซึ่งเว็บไซต์ Livescience ได้จัดอันดับเรื่องแปลกประหลาดทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจประจำปี 2556 ไว้ดังนี้
1. บรรพบุรุษมนุษย์เคยผสมข้ามพันธุ์หลากหลาย
ดูเหมือนว่ามนุษย์ยุคโบราณไม่เพียงแค่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับสายพันธุ์เดนิโซแวนและนีแอนเดอทาลเพียงอย่างเดียว แต่การวิจัยพันธุกรรมล่าสุดพบว่ามนุษย์โฮโมเซเปียนส์ (Homo Sapien) มีการผสมข้ามสายพันธุ์อื่นๆ ที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มานานกว่า 30,000 ปีแล้ว ซึ่งบางสายพันธุ์เป็นสายพันธุ์มนุษย์ที่ยังไม่เคยสืบพบมาก่อน
ก่อนหน้านี้มีการค้นพบว่ามนุษย์บางส่วนในหมู่เกาะคาบสมุทรแปซิฟิค ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางภาคใต้ของจีนมียีนของมนุษย์เดนิโซแวนปนอยู่ ขณะที่มนุษย์ยุคใหม่ในยุโรปและเอเชียร้อยละ 1-4 มียีนของมนุษย์นีแอนเดอทาลปนอยู่
2. โคโร โรคตื่นกลัวว่าอวัยวะเพศจะหายไป
ในเดือน มี.ค. นักมานุษยวิทยารายงานว่าในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง เกิดเหตุการณ์ผู้คนตื่นกลัวว่าอวัยวะเพศของตนจะหดหาย ซึ่งอาการแตกตื่นเช่นนี้ในทางการแพทย์จัดเป็นโรคที่เรียกว่าโคโร (Koro)
ผู้เป็นโรคนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพศชายกลัวว่าอวัยวะเพศของตนจะหายไปในร่างกายหรือถูกขโมยไป ทำให้บางคนพยายามมัดอวัยวะเพศของตัวเองติดไว้กับร่างกายจนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากหมอผี
โรคนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องตลก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะมีบางคนเชื่อว่าการสัมผัสกับคนแปลกหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เกิดการขโมยอวัยวะเพศ และการกล่าวหาเช่นนี้ก็ทำให้มีการรุมประชาทัณฑ์ผู้ที่ถูกกล่าวหา โดยโรคโคโรเป็นหนึ่งในตัวอย่างของอาการอุปาทานหมู่ (Mass Hysteria)
3. ทฤษฎีเวิร์มโฮลที่นำมาใช้ในปรากฏการณ์ทางควอนตัม
กลศาสตร์ควอนตัมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนเกี่ยวกับสิ่งที่เล็กกว่าระดับอะตอม แต่ในปี 2556 นักวิทยาศาสตร์ก็เปิดเผยทฤษฎีใหม่เรื่องโพรงหนอนหรือเวิร์มโฮล (wormhole) ซึ่งเชื่อว่าในทางทฤษฎีแล้วเป็นสิ่งเชื่อมต่อการเดินทางข้ามพื้นที่และเวลา
ทฤษฎีนี้สามารถนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่ชื่อว่า ความพัวพันเชิงควอนตัม (Quantum Entanglement) ซึ่งเป็นพฤติกรรมของอนุภาคตั้งแต่สองตัวขึ้นไปมีการกระทำส่งผลถึงกันเสมอแม้ว่าจะอยู่คนละตำแหน่งไม่ว่าจะห่างกันเท่าใดก็ตาม นอกจากนี้ทฤษฎีใหม่ยังเสนอว่าเวิร์มโฮลอาจเป็น "หลุมดำที่เกิดปรากฏการณ์ความพัวพันเชิงควอนตัม"
4. ความเบื่อหน่ายชนิดใหม่
ถัดจากเรื่องควอนตัมมาดูเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้สึกของมนุษย์กันบ้าง ในปี 2556 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า 'ความเบื่อหน่าย' ไม่ได้มีอยู่แบบเดียว แต่มีมากกว่า 5 แบบ จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ก็เคยมีการวิจัยระบุว่าความเบื่อหน่ายมีอยู่หลายลักษณะ ตั้งแต่ความเบื่อหน่ายที่มาจากความเหนื่อยหรือขี้เกียจเล็กน้อย ซึ่งดีกว่าความเบื่อหน่ายอีกแบบหนึ่งที่เป็นความรู้สึกด้านลบจากการต้องติดอยู่ในสิ่งน่าเบื่อที่ไม่สามารถหนีออกมาได้
แต่ความเบื่อหน่ายล่าสุดที่ค้นพบในหมู่วัยรุ่นยุคปัจจุบันคือความเบื่อหน่ายในแบบไม่ยินดียินร้าย (apathetic) ต่อสิ่งต่างๆ ลักษณะความเบื่อหน่ายจากการไม่ผูกมัดต่อสิ่งต่างๆ เช่นนี้มีความเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า ทำให้ไม่สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้
ความเบื่อหน่ายลักษณะที่ค้นพบล่าสุดนี้มาพร้อมกับอารมณ์ด้านลบหลายอย่าง แต่ไม่นับอารมณ์หงุดหงิดกระสับกระส่ายที่มาจากการทำสิ่งจำเจหรือติดอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง
5. ความลับของสัตว์ประหลาดเยติ
มีตำนานของสัตว์ประหลาดที่เรียกว่าเยติ มีลักษณะเป็นมนุษย์หิมะขนดกเดินเหินไปตามพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ จนกระทั่งเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของเยติได้จากการค้นพบหลักฐานพันธุกรรมจากสัตว์รูปร่างประหลาดที่ถูกยิงเมื่อ 40 ปีที่แล้วที่เทือกเขาหิมาลัย ดีเอ็นเอของสัตว์ดังกล่าวตรงกับดีเอ็นเอของหมีขาวยุคโบราณในนอร์เวย์ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าพื้นที่หิมาลัยอาจเป็นที่อยู่ของหมีขาวยุคโบราณ (ช่วง 40,000 - 120,000 ปีที่แล้ว แต่ไม่เคยมีการค้นพบอีกเลยกระทั่งในปีนี้) ซึ่งผู้คนเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์ประหลาดเยติ
6. พลังงานจากปัสสาวะ
มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตเราจะสามารถใข้พลังงานจากปัสสาวะได้ เมื่อมีนักวิจัยค้นพบวิธีการเปลี่ยนปัสสาวะเป็นเซลล์เชื้อเพลิงจุลินทรีย์ (Microbial Fuel Cell) ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ความคิดนี้เริ่มมาจากการสร้างเครื่องให้พลังงานแก่หุ่นยนต์ที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ความปลอดภัยของสะพานไปจนถึงมลภาวะในอากาศ
7. กรณีผู้หญิงถึง 'จุดสุดยอด' ที่เท้า
ผู้หญิงมีความสามารถถึงจุดสุดยอดทางเพศได้หลายวิธีแม้กระทั่งจากการคิดจินตนาการ ในรายงานวิทยาศาสตร์ล่าสุดพบว่ามีกรณีของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถึงจุดสุดยอดที่เท้าได้ แต่โชคร้ายสำหรับเธอที่การถึงจุดสุดยอด (orgasm) เกิดขึ้นในระยะเวลาเฉียบพลันและไม่ได้มาจากความรู้สึกต้องการทางเพศ ทำให้ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องน่ารำคาญมากกว่า
หมอผู้วินิจฉัยตั้งสมมติฐานว่าอาการนี้มาจากความเสียหายของเส้นประสาทหลังการติดเชื้อจากแบคทีเรียทำให้เส้นประสาทสื่อสารสลับกัน โดยเมื่อมีการรับข้อมูลสัมผัสจากเท้าส่งไปยังเส้นประสาทไขสันหลัง แต่สมองกลับได้รับข้อมูลสัมผัสจากช่องคลอดของเธอแทน กรณีนี้แพทย์ทำการรักษาด้วยวิธีการฉัดยาระงับความรู้สึกที่เส้นประสาทซึ่งดูเหมือนจะได้ผล
8. มีการค้นพบอวัยวะใหม่ในตัวมนุษย์
หลังจากวิทยาการผ่าตัดคนผ่านมาหลายศตวรรษแล้วคงทำให้นักวิทยาศาสตร์รู้เรื่องกายวิพากษ์ของคนอย่างครบถ้วน แต่ในปี 2556 ก็เป็นปีที่เราได้ค้นพบอวัยวะใหม่ในตัวคนเราอีกคือเนื้อเยื่อในดวงตาที่เรียกว่าชั้นของดูอา (Dua's layer) ซึ่งตั้งชื่อตามผู้ค้นพบคือ ฮาร์มินเดอร์ ดูอา ศาตราจารย์ด้านจักษุวิทยาและวิทยาศาสตร์การมองเห็นของมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมโดยอวัยวะนี้เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่หลังกระจกตามีส่วนช่วยในการปรับรวมแสงที่ตา
9. เรื่องแปลกๆ ของค้างคาว
ปี 2556 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าค้างคาวเป็นสัตว์ที่มีความแปลกหลายเรื่อง นับตั้งแต่ค้างคาวในประเทศคอสตาริกาที่ใช้ใบไม้ที่มีลักษณะคล้ายโทรโข่งในการช่วยฟังเสียง นอกจากนี้ยังมีค้างคาวที่ทำโอษฐกามกิริยา (Oral sex) ทั้งเพศผู้และเพศเมีย นอกจากนี้ยังค้นพบว่าค้างคาวกินน้ำหวานใช้วิธีการทำให้ขนที่อยู่บนลิ้นลุกชูชันในการดูดซับน้ำหวาน
10. คาเฟอีนทำให้ผึ้งความจำดีขึ้น
ไม่ใช่แค่คนทำงานเท่านั้นที่ต้องการคาเฟอีนในการเสริมพลังยามง่วง แม้แต่ผึ้งก็ต้องการเช่นกัน โดยแมลงมีความสามารถในการรับรู้ว่าพืชอย่างเช่นกาแฟและดอกส้มมีสารคาเฟอีนอยู่ในน้ำหวาน นักวิจัยค้นพบว่าผึ้งที่ถูกเลี้ยงด้วยน้ำหวานที่มีคาเฟอีนจะสามารถจดจำกลิ่นของดอกไม้ได้ดีกว่าผึ้งที่ไม่ได้กินน้ำหวานที่มีคาเฟอีน นอกจากนี้ยังทำให้ผึ้งทำงานได้ดีขึ้นด้วย ขณะเดียวกันดอกไม้ก็ได้รับผลประโยชน์จากการที่ผึ้งช่วยถ่ายละอองเรณูเพื่อผสมเกสรข้ามดอก
เรียบเรียงจาก
Weird! Strangest Science Stories of 2013, Livescience, 27-12-2013
http://www.livescience.com/42211-2013-strangest-science-stories.html
Penis-Snatching Panics Resurface in Africa, Livescience, 19-03-2013
http://www.livescience.com/28015-penis-snatching-panics-koro.html
Ancient Humans Had Sex with Mystery Relatives, Study Suggests, Livescience, 02-12-2013
http://www.livescience.com/41610-ancient-human-sex.html
Woman's 'Foot Orgasm' Is First Known Case, Livescience, 28-06-2013
http://www.livescience.com/37828-foot-orgasm-syndrome-report.html
Caffeine Gives Bees a Memory Boost, Livescience, 07-03-2013
http://www.livescience.com/27722-caffeine-gives-bees-memory-boost.html
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)