Skip to main content
sharethis

‘อนันต์’ ชี้ ปัญหาการเลือกตั้ง นักการเมืองขาดจริยธรรม ผู้เลือกตั้งไม่ทันเล่ห์นักการเมือง 'เจษฎา' แย้งโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว คนรู้มากขึ้น ระบุคน ตจว.อาจรู้เรื่องการเมืองมากกว่ากทม. ลงท้ายด้วยต่างปราถนา “ภราดรภาพ”

7 ม.ค.2557 เมื่อเวลา 17.20 น. รายการสรยุทธเจาะข่าวเด่น ทางช่อง 3 ได้เผยแพร่ใน ประเด็น “2 มุมมองการเมืองจากนักวิชาการจุฬาฯ” ตอนที่ 2 โดยมีผู้ร่วมรายการคือ อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล  อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในนามเครือข่ายจุฬาเชิดชูคุณธรรม ซึ่งขึ้นเวที กปปส. ที่ราชดำเนินมาเป็นครั้งคราวแล้ว กับ รศ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีวะวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งล่าสุดโพสต์ข้อความชาวจุฬาฯ เสียงส่วนน้อย ที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่จะนำไปสู่ความรุนแรง โดยตลอดรายการประมาณ 20 นาที เป็นการสนทนาการในประเด็นสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน การเลือกตั้ง  ก.พ.นี้ การปิดกรุงเทพของ กปปส. สงครามการเมือง เป็นต้น ต่อจากตอนที่ 1 เมื่อวานนี้ (คลิกอ่าน ตอนที่ 1 ได้ที่เจษฎา-อนันต์ วิวาทะการเมือง 2 นักวิชาการจุฬาฯ)

0000

อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล(ซ้าย) และ เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์(ขวา)

ปัญหาการเลือกตั้ง นักการเมืองไม่มีจริยธรรม ประชาชนไม่ทันเล่ห์กลของนักการเมือง

อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล  กล่าวว่า เรามีความต่างกับประเทศที่พัฒนาแล้วทางด้านการเมืองด้านประชาธิปไตย ที่จริงแล้วเมื่อวานผมเสนอไปแค่ประเด็นเดียวนั่นคือคุณภาพการศึกษา ส่งผลมาสู่คุณภาพของประชากร

ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งซึ่งผมคิดว่าสำคัญมากก็คือเรื่องจริยธณรมของนักการเมือง ในประเทศที่เจริญแล้วนักการเมืองนี่ เมื่อทำผิด จะแอบที่จะทำผิด แล้วก็เมื่อใดก็ตามสังคมจับได้ว่าทำผิดหรือสังคมจับได้ว่าโกหก เขาจะมีความรับผิดชอบทางการเมืองโดยที่ไม่จะเป็นจะต้องนำตัวบทกฏหมายนั้นมาบังคับใช้โดยตรง เขาจะมีความละอายใจ แต่สังคมของเรา ไม่ ถึงแม้จับได้ว่าทำความผิด จับได้ว่าโกหก ก็สามารถที่จะบิดเบือน สามารถที่จะเลี่ยงไปได้ สารพัด เราไม่เคยเห็นความรับผิดชอบใดใด ไม่เคยเห็นจริยธรรมปรากฏอยู่ในนักการเมืองของเรา

เมื่อเรามีนักการเมืองแบบนี้มาให้เราเลือกตั้ง แล้วประชาชนซึ่งไปเลือกตั้งเองก็มีการศึกษาที่รู้ไม่เท่าเทียมกับเล่ห์กลของนักการเมืองเหล่านั้น 2 ปัจจัยประกอบกันทำให้การเลือกตั้งมันจะนำไปสู่การรวบอำนาจและกินขาดของนักการเมือง ซึ่งจะอาศัยการเลือกตั้งเป็นวิธีสร้างความชอบธรรม และขึ้นครองอำนาจอยู่ร่ำไป

คนมีความรู้มากขึ้น โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว

เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ผมเป็นเหมือนขั้วที่ 3 ไม่ได้เป็นด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ได้เชียร์รัฐบาลไม่เชียร์ฝั่งม็อบ ผมเป็นขั้วที่ 3 ที่ต้องการแก้ปัญหาทางการเมืองโดยการใช้ความสงบสันติและประชาธิปไตย แล้วเราเรียนรู้ได้ครับ

สิ่งที่ผมบอกก็คือว่าเราใช้เวลาสั้นมา เราพึ่งเริ่ม 2475 จริงๆต้องนับตั้งแต่ 2540 ว่าเราพึ่งมีประชาธิปไตยที่เต็มใบจริงๆจากรัฐธรรมนูญฉบับนั้น นั่นแปลว่าเรามีเวลาแค่ 10 กว่าปี แต่ว่าถ้าเราจะอยู่ในศตวรรษที่ 21 ถ้าเราจะต้องเดินไปยังโลกข้างหน้า อยู่กับประชากรโลกได้ เราควรต้องเอาบทเรียนจากเขามาใช้ เราไม่จำเป็นต้องฆ่าฟันกัน 100 ปี อย่างเข้า เราบอกว่าเขามีปัญหาอะไรบ้าง แล้วมาแก้ไข วันนี้ที่น่าเสียดายคือ 10 ปีที่ผ่านมา เราไม่ค่อยมาสนให้ความรู้กันว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร โดยวิธีการมี 2 พรรคแล้วสู้กัน ผมเชื่อว่าเราทำได้ แล้วค่อยๆทำ แต่มันต้องเริ่มจากการมาคุยกันก่อน ถ้าไม่คุยกันก็ไม่ได้

โดยสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายงาน ถามว่า แต่อาจารย์อนันต์บอกเลยครับว่าคุณภาพการศึกษาของประชากรทำให้ถูกชักจูงได้ง่าย และจริยธรรมของนักการเมืองประเทศนี้มีปัญหาด้วย

เจษฏา ตอบกลับว่า ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่นัก อย่างแรกผมไม่คิดว่าคนในประเทศไทยมีแค่ 2 ขั้ว อย่างที่ว่า ถ้าเราดูเสียงการเลือกตั้ง คนที่ค่อนข้างจะเป็นแฟนคลับของแต่ละฝาก เพื่อไทย 15 ล้านเสียง ประชาธิปัตย์ 10 ล้านเสียง แล้วคนตรงกลางล่ะ คน 30% ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ นี่คือสวิงโหวตที่สำคัญมาก ในประเทศที่พัฒนาแล้วเขาแคร์คนตรงนี้ครับ เขาแคร์ที่สุดก็เป็นคนที่เป็นแฟนคลับตนเองแน่ๆ ซึ่งต้องเก็บเอาไว้ให้ดี แต่เขาก็จะพยายามที่จะชักจูงคนที่อยู่ตรงกลางนี้ไปเลือกเขาในคราวหน้า นี่คือสวิงโหวต

แต่ที่สำคัญเราไม่เคยมาพูดกันว่าจะปรับเปลี่ยนอย่างไรให้คนตรงนี้มีความรู้มากขึ้น แต่ผมว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้วนะ โลกตอนนี้มันไอทีมาก มีทีวีดาวเทียมไปถึงทุกบ้าน ผมว่าคนต่างจังหวัดบางทีรู้การเมืองดีกว่าคนในกรุงเทพอีก เขาเปิดดาวเทียมดูสารพัดช่อง แล้วผมเองก็พึ่งมีดาวเทียมติดไม่นานนี้เอง ผมก็สวิตช์ช่องดูไปเรื่อยๆ ผมว่าอันตรายมากถ้าจะล็อคดูช่องใดช่องหนึ่ง ดูแต่ฝั่งรัฐบาลอย่างเดียว ดูแต่ฝั่งช่อมของม็อบอย่างเดียว อันตราย แต่ถ้าคุณดูไปเรื่อยๆคุณจะเริ่มเห็นว่ามันก็เลวทั้ง 2 ฝ่ายล่ะ มันก็ดีทั้ง 2 ฝ่ายล่ะ มันก็หลอกเหมือนกัน มันก็จริงเหมือนกัน

การเมืองมันมีทั้งคนดีคนเลวปนกัน แต่เราไม่สามารถอยู่ในโลกที่เราเป็นคนที่ไปบังคับบัญชาเองได้ ผมไม่อาจเป็น ส.ส.เองได้ ผมยังจำเป็นที่จะต้องมีคนไปเป็นตัวแทนผม ดังนั้นผมคิดว่าทุกคนในประเทศไทยมีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกัน แล้วถ้าเราคิดว่าคุณภาพในการโหวตไม่เพียงพอ เราต้องให้ความรู้มากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของการล้มรัฐบาลนี้เลย เพราะว่าถ้าเราล้มรัฐบาลนี้ รัฐบาลหน้าก็ล้มได้ ดังนั้นแปลว่าเรามองว่าปัญหาคือนักการเมืองทั้งหมด ซึ่งผมยิ่งไม่เห็นด้วยเข้าไปใหญ่

ในฐานะคน พ.ค.35 ไม่คิดว่าคนที่นำไปหานายกจากการเลือกตั้ง วันนี้กลับต้องการนายกแต่งตั้ง

เจษฏา กล่าวว่า ผมผ่านพฤษภาทมิฬามา ผมผ่านการต่อสู้เพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ผมไม่เคยฝันเลยว่าคนกลุ่มหนึ่งที่เคยนำผมไปหานายกที่มาจากการเลือกตั้ง แต่กลับมาบอกว่าต้องการนายกที่มาจากการแต่งตั้ง แล้วผมจะเจ็บตัวไปหนีกระสุนตอนนั้นทำไม

เพราะฉะนั้นตอนนี้เราได้ประชาธิปไตยเต็มใบแล้ว เรามีช่วงเวลามาระยะหนึ่งแล้ว เราเอาบทเรียนต่างๆมาช่วยกันทบทวนดีกว่า ผมบอกแล้วว่าช่วยชลอความรุนแรงในสังคมนี้ได้ไหม อย่าให้ลูกหลานเกิดมาได้เห็นสงคราม หรืออยากให้ลุกหลานแม้ไม่ตรงใจกันแต่ก็ฟังกันได้ คุยกันได้ แล้วหาทางลงเอยกันอย่างสงบสันติ เช่น กากบาท ได้ไหม 1 ปีตรงนี้ทำได้ไหม เลือกตั้งไปก่อน อย่างที่บอกถ้าประชาธิปัตย์ หรือทุกพรรคลงเลือกตั้งตั้งแต่วันนี้ หรือถ้าวันนี้เขาไม่ลงเลือกตั้งก็ไปช่วยกันกาโนโหวตก็ได้ ฝ่าย กปปส. เอง ตั้งแต่แรกก็ควรตั้งพรรคขึ้นมาด้วยซ้ำ แล้วก็บอกไปเลยว่าผมคิดอย่างนี้ แล้วทุกคนก็ไปเลือกตั้ง

เลือกตั้งวัดคนได้ดีที่สุดว่าคนส่วนใหญ่เขาต้องการอะไร

เจษฏา กล่าวด้วยว่า แล้วที่บอกว่ามองทางกล้องโทรทัศน์ลงมามีคนกี่ล้านคนเดินนี่มันไม่สามารถวัดได้ ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์เรารู้ว่านี่เป็น ‘Pseudo Science’ (วิทยาศาสตร์ลวงโลก) นี่เป็นวิทยาศาสตร์ที่มันไม่ชัดเจน ไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่าไปกากบาทและนับเสียง Pseudo Science มันคือเครื่อง GT200 ที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าพูดว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์แต่มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ฉะนั้นผมคิดว่าวิธีดีที่สุดตอนนี้ผมว่ารอกันก่อน เย็นกันก่อน แล้วทำเหมือนประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว เรียนรู้ประสบการเขา มาหาทางออกร่วมกัน

สรยุทธ สรุปประเด็นของ เจษฏา ว่า อาจารย์บอกว่าวิธีเลือกตั้งวัดคนได้ดีที่สุดว่าคนส่วนใหญ่เขาต้องการอะไร แล้วมันจะสงบได้ แล้วฝังผู้ชุมนุมก็จะเห็นตัวเลขสะท้อนได้เหมือนกัน ให้รณรงค์ให้ไปโหวตโน ซึ่งโหวตโนอาจจะชนะทุกพรรคการเมืองก็ได้

เจษฏา ยืนยันว่านี่เป็นทางออกเดียวที่มันจะไม่สูญเสีย วันนี้ผ่านมา 2 เดือนนี่ตายไปกี่ศพแล้ว ยังไม่ทันปะทะกันเลย ตายไปแล้วนะ บาดเจ็บกี่คนแล้ว ยังอยากจะเป็นอย่างนี้ต่อไปหรือเปล่า

เราติดบ่วงเลือกพรรคที่เสนอผลประโยชน์ให้กับประชาชนสูงสุด ไม่ได้เลือกประเทศชาติสูงสุด

อนันต์ กล่าวว่า ผมคิดว่าการไปเลือกตั้ง การไปรณรงค์คนไปโหวตโนนี่จะรณรงค์ได้เพียงแค่บางส่วน ในขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งจะไปเลือกพรรคใดๆก็ตามที่เสนอประโยชน์ให้กับตัวเอง คนในขณะนี้เราติดบ่วงตรงที่ว่าเราไปเลือกพรรคที่เสนอผลประโยชน์ให้กับประชาชนสูงสุด เราไม่ได้เลือกพรรคที่เสนอประโยชน์ให้กับประเทศชาติสูงสุด ขณะนี้เราไม่ได้ออกมาเพื่อที่จะขับไล่รัฐบาลนี้ ไม่ได้ออกมาเพื่อที่จะขับไล่รัฐบาลเพื่อไทย แต่เราออกมาขับไล่ทุกๆรัฐบาลที่หมดสิ้นความชอบธรรม ต่อใหรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์แล้วกระทำเช่นเดียวกับที่รัฐบาลปัจจุบันทำ ประชาชนก็จะออกมาขับไล่เช่นเดียวกัน นั่นก็เพราะว่ารัฐบาลหมดสิ้นความชอบธรรมลง เสียงที่ประชาชนได้มอบให้ไปนั้น ได้หมดสิ้นลงแล้ว

สรยุทธ แต่อาจารย์เจษฏาก็บอกว่าถึงที่สุดก็ต้องหาทางออกที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้ตัดสิน และอาจารย์เจษฏาเสนอด้วยว่าไม่ต้องอยู่ถาวรด้วย อยู่ 1 ปี อยู่ถึง ก.พ.58 แต่ละหว่างนี้จะปฏิรูปอะไรอย่างไรมาคุยกัน

เจษฏา การสานเสวนาหรือไดอล็อคมันสำคัญมาก และ ณ วันนี้เรายังไม่เห็นผู้นำ 2 ฝ่ายมาคุยกันเลย มีครั้งเดียวที่ทหารสั่งให้เขามาคุยกัน เพื่อให้หยุดการต่อสู้ก่อนวันที่ 5 ธ.ค. ครั้งเดียว ทำไมทหารถึงสั่งได้ ผมไม่เห็นด้วย ผมคิดว่ามันควรเป็นเรื่องที่ผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย มานั่งคุยกันเอาตัวแทนมาคุยก็ได้

สรยุทธ ยั้นอนันต์ ผบ.ตร.ไม่เคยแถลงว่า ตร.ที่อยู่บน ก.แรงงานใช้กระสุนจริง

อนันต์ กล่าวแย้งเจษฏา โดยยกสิ่งที่เจษฏาพูดว่า “สงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบยังไม่ได้เกิด แต่ก็มีคนตายแล้ว” นั้น อนันต์มองว่า ถ้าเราไปดูว่าเหตุแห่งความตายนั้น เกิดมาจากอะไร เหตุเกิดมาจากมีการใช้กระสุนจริง แล้วทาง ผบ.ตร.ก็ยอมรับแล้วด้วยว่า ทางตำรวจได้ใช้กระสุนจริง

สรยุทธ กล่าวแย้งว่า ไม่ได้บอกนะครับ ผบ.ตร. เท่าที่ผมฟังแถลง ผบ.ตร.บอกว่ามี ตำรวจอยู่บนอาคารกระทรวงแรงงาน แต่ไม่ได้ใช้กระสุนจริง 

อย่างไรก็ตาม อนันต์ ก็ยังยืนยันต่อว่า มีการใช้กระสุนจริง แล้วมีผู้ชุมนุมตาย แล้วก็การยิงแก๊สน้ำตาเอง ก็ไม่ได้ทำตามหลักสากล ถ้าทุกอย่างทำตามหลักสากล แล้วคุมคนที่ใช้อาวุธได้ ไม่มีคนตายแน่ ก็จะไม่มีเหตุรุนแรง ไม่มีคนตาย แล้วคนที่ตายในขณะนี้คงต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ต่อไปว่ากระสุนที่ปลิดชีวิตของผู้ชุมนุม กับที่ปลิดชีวิตของผู้ตำรวจนั้น เป็นกระสุนประเภทเดียวกันหรือเปล่า

พอเริ่มเคลื่อนขบวนความรุนแรงจะค่อยๆมา จากมือที่ 1 ที่ 2 ที่ 3

เจษฏา กล่าว่า ผมไม่ได้มาต้านม็อบ กปปส. ผมเพียงต้องการบอกว่าผมขอที่ยืนบ้าง ผมไม่มีที่ยืนในสังคม ผมไม่เห็นด้วยกับทุกม็อบที่ผ่านมานะ ตั้งแต่ม็อบเสื้อเหลือง ม็อบเสื้อแดง แล้วมาม็อบ กปปส. และผมเองก็พยายามบอกว่าวิธีการของฝ่ายรัฐที่ไม่เหมาะสมก็บอกทุกครั้ง เช่น การยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อไล่ผู้ชุมนุม ผมก็เคยโพสต์ข้อความใน Pantip ว่าอันตลาย ไม่ควรทำ ถ้าเราได้ถอดบทเรียนจากพฤษภาทมิฬ ณ วันนี้ผมมองย้อนกลับไป ผมดีใจที่ผมรอดชีวิตมาได้ วันนั้นผมโดนล้างสมอง โดนปลุกปั่นจนกระทั่งตัวเองอยากไปสู้ ไปฆ่าทหารให้ได้ แต่ถ้าวันนั้นผมเรียนรู้สักหน่อยว่าขั้นตอนของการยกระดับเป็นอย่างไร แล้วถ้าผมชะงักทันนี่ ผมว่าทุกอย่างมันคงจะดีกว่าวันนี้ เช่น เราจะเห็นว่าทุกม็อบจะคลายกัน จะเริ่มจากการที่คุณอยู่ในพื้นที่ชุมนุมก่อน ที่สงบ ม็อบเสื้อเหลืองเคยอยู่ที่สวนลุม ทุกอย่างเป็นเรื่องดี ผมพึงกลับจากเกาหลี เขาก็ประท้วงแบบนี้เหมือนกัน เขายืนสงบเลยอยู่กลางเมือง แล้วเขาประท้วง เป็นเรื่องที่สวยงามมาก แต่เมื่อไหร่ก็ตามคุณเริ่มเคลื่อนขบวนออกถนน กลับไปดูเทปพฤษภาทมิฬได้ พอเริ่มเคลื่อนขบวนความรุนแรงจะค่อยๆมา จะมีมือที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ทุกอย่างเกิดขึ้นหมด แล้วสุดท้ายมันนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายได้

ผมจึงบอกว่าจริงๆตั้งแต่พฤษภาทมิฬ มาถึงม็อบเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือม็อบนี้ หรือม็อบอื่นๆ ในอนาคต ลดระดับลงมาได้ไหม มันไม่ใช่ทางออกที่จีรังหรอก วันนี้คุณทำได้ ปีนี้อาจไม่เกิดสงครามกลางเมือง ปีหน้าอาจจะเกิด 10 ปีข้างหน้าอาจจะเกิด เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมไม่อยากเห็นประเทศไทยเป็นแบบนั้น ทางที่ผมเสนอคือขอที่ยืนให้กับขั้วที่ 3 อย่างผมนี่อยู่ตรงกลาง และหาทางออกโดยสันติ ใครเห็นด้วยก็เข้ามา แต่ผมไม่ได้บอกว่าผมไปต้านม็อบ กปปส.

ใครเห็นด้วยกับผมวันศุกร์นี้ก็มาเจอกับผมที่จุฬา แล้วก็ไปที่หอศิลป์ กลุ่มพอกันที แค่นั้น

ยัน กปปส. คปท. คุมได้ แม้จะคุมยาก แต่ก็คุมได้

อนันต์ กล่าวว่า การชุมนุมเป็นสิทธิและเป็นวิถีทางปกติในการแสดงออกตามประชาธิปไตย อาจารย์เจษฏาพูดสิ่งที่ขัดกันเอง คือบอกว่าไม่เห็นด้วยกับม็อบทุกม็อบ แต่อาจารย์เจษฏาก็ชวนคนมาร่วมชุมนุมในจุฬา เสร็จแล้วก็จะเคลื่อนออกไป ถ้าสมติคนมาร่วมชุมนุมกับอาจารย์เจษฏาจำนวนมาก ก็จะกลายสภาพไปเป็นม็อบและก็เป็นม็อบที่เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน

จริงๆแล้วผมคิดว่าอาจารย์เจษฏาทำเช่นนั้นได้ เป็นวิถีทางปกติ และผมก็ไม่ห้าม เช่นเดียวกันทุกฝ่ายมีสิทธิทำได้ เพียงแต่ว่าอย่าทำร้ายกัน

เช่นเดียวกันทางฝ่ายกลุ่ม กปปส. หรือกลุ่ม คปท. เอง เวลที่นำมวลชนเคลื่อนไปก็ต้องคุมมวลชนให้ได้ แล้วก็ต้องใช้สันติอย่างแท้จริงไม่ใช่สันติแต่เพียงคำพูด

คิดว่าคุมได้ แม้จะคุมยาก แต่ก็คุมได้ ถึงแม้ผมจะระบุตัวเลขไม่ได้อย่างแน่นอน ว่าตัวเลขแท้ๆเท่าไหร่ แต่คนนั้นมากมายมหาศาลเหลือเกิน แล้วจำนวนมากมายขนาดนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในโลกนี้ แล้ววันที่เดินขบวนต่างๆเหล่านั้นไม่มีคนตาย

เดินขบวนประเทศที่พัฒนาแล้วไม่รุกรานเข้าไปในสิทธิเสรีภาพคนอื่น

เจษฏา กล่าว่า ผมมองประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นต้นแบบ เขามีการเดินขบวนชุมนุมได้ แต่เขาจะไม่ปิดถนน ยึดสถานที่ ไม่ทำการอะไรที่เป็นการรุกรานเข้าไปในสิทธิเสรีภาพคนอื่น ฉะนั้นสิ่งที่ผมจะทำนี่คือแค่มานัดเจอกัน แล้วถ้าคนเยอะพอ ผมเดินไปตามฟุตปาธ ไปตามทางเท้าธรรมดาแล้วไปหอศิลป์ฯ แล้วถ้าเกิดคนเยอะเกินอาจไปบนทางเดินบีทีเอส แล้วเท่าที่คุยกับทีมพอกันทีเมื่อบ่ายที่ผ่านมานี้ ถ้าคนมาที่จุฬาเยอะ ผมไม่ไป ผมไม่ออกนอกพื้นที่ ผมก็อยู่ที่จุฬานั่นล่ะ ส่วนหนึ่งเพราะมันเสียง แต่ผมไม่มีความจำเป็นต้องไปทำให้คนใช้ถนนเดือดร้อน เพราะจริงๆแล้วผมต้องการเพียงแค่ให้เกิดการกระเพื่อมของสังคมว่าเราต้องการที่ยืน เพราะฉะนั้นผมก็อยู่ทีจุฬา 6 โมงเย็นจุดเทียนไขพร้อมกัน เปิดไฟฉายพร้อมกัน แล้วก็แยกย้าย จบ

เพราะผมได้เรียนรู้จากพฤษภาทมิฬนั่นล่ะ พฤษภาทมิฬมีทั้งมือที่ 3 ที่ 4 และมือที่ 1.5 มือที่ 2.5 อยู่ด้วย ซึ่งอันตรายมาก เราไม่รู้ว่าทุกคนต้องการจะทำอะไรก็ตามเพื่อยกระดับขึ้นเมื่อไหร่ เราไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นอย่าไรบ้าง ซึ่งตรงนี้ใน กปปส. เอง ในม็อบเหลืองม็อบแดงม็อบต่างๆ มีคนอยู่มากมาย และทุกคนพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ม็อบตัวเองมีเป้าหมายขึ้นมา

โต้แย้ง กปปส. กับ ออคคิวพาย วอลสตรีท

อนันต์ เทียบการเคลื่อนไหวของ กปปส. ว่า คนอเมริกันออกมายึดถนนวอลสตรีท แล้วชูคำขวัญ “ออคคิวพาย วอลสตรีท”  ขณะที่ เจษฏา แย้งว่า แต่ออคคิวพาย วอลสตรีท ไม่ค้างคืน แต่การชุมนุมของไทยไม่มีการยึดแบบออคคิวพาย วอลสตรีท ด้าน อนันต์ ยืนยันว่า ออคคิวพาย วอลสตรีท มีการค้างคืน เขาตั้งเต้นท์อยู่

เจษฏา ขยายความเพิ่มเตมว่า ออคคิวพาย วอลสตรีทตั้งเต้นอยู่แค่นั่น แต่ไม่ใช่อยู่บนถนน แต่จะใช้ลานวอลสตรีทชุมนุม แล้วไม่มีการประท้วง ไปทุบอะไรด้วย

อย่างไรก็ตาม อนันต์ ยังคงยืนยันว่าผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนแล้วสามารถควบคุมได้ เพราะพิสุจน์มาแล้วมากกว่า 1 ครั้ง

การรุกเคลื่อนออกไปจากที่ตั้ง มีลักษณะที่เสี่ยง

เจษฎา มองว่าการรุกเคลื่อนออกไปจากที่ตั้ง มีลักษณะที่เสี่ยงอาจจะมีมือที่ 1.5 หรือ 2.5 มือที่ 3 หรือ 4

ถ้ากลัวประเทศก็จะไม่ขยับไปไหน อยู่ในวงจรเดิม

ด้าน อนันต์ ยอมรับว่ากลัวมือที่ 2 ที่ 4 แต่ถ้าวันที่ไม่ขยับหรือไม่ทำอะไรเลย ประเทศนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วเราจะย่ำอยู่กับที่ เพราะฉะนั้นเราจะให้ความกลัวมาทำให้เราไม่กล้าที่จะขยับเดินหน้าไปข้างหน้านั้น ไม่ได้ ถ้ากลัวประเทศก็จะไม่ขยับไปไหน อยู่ในวงจรเดิม

ยังไม่เห็น รูปธรรมของการปฏิรูป ตามแนว กปปส.

เจษฏา กล่าวว่า คำว่า “ปฏิรูป” เป็นคำที่สวย “เราต้องการกำจัดคอรัปชั่น” เป็นคำที่สวย แต่เราไม่เห็นรูปธรรมว่าต้องทำอะไร 1 2 3 4 5 อะไรบ้าง หลายๆอย่างมันทำอยู่แล้ว หลายๆอย่างก็ยังไม่ได้ทำ ฉะนั้นอยากให้เซ็ตออกมาเลยว่าต้องการทำอะไรบ้าง บางทีทำประชามติยังได้เลยนะ ทำสัก 20 ข้อมาเลยว่าประชาชนทั้งประเทศเห็นด้วยกับข้อไหนบ้าง แต่ลิสต์เป็นรูปธรรมได้ไหม อย่าเอาแค่คำนามธรรม

ยืนยันรูปธรรมแนวทางปฏิรูปกำลังทำอยู่ จะค่อยๆเปิดเผย

อนันต์ กล่าว่า เราทำประชามติไม่ได้ เพราะทำประชามติต้องเป็นประเด็นเดียว ไม่สามารถเป็นหลาหลายประเด็น ซึ่งเรื่องของการปฏิรูปมีข้อมูลมาก ทีมงาน กปปส. เองก็ได้ทำงานเรื่องนี้ไปค่อนข้างมากแล้ว ผมไม่สามารถพูดแทน กปปส. ได้ เพราะว่าผมไม่ได้อยู่ในทีมนั้น เขามีทีมทำงานเขาอยู่ แล้วจะค่อยๆเปิดเผยขึ้นมาเป็นระยะๆ

และอนันต์ยังคงยืนยันในรายการว่าจะเข้าร่วมปิดกรุงเทพกับ กปปส.ในสัปดาห์หน้า

เผย ขั้วที่ 3 จุดเทียนวันศุกร์ ขอต่อสู้ด้วยวิธีที่สันติ

ขณะที่เจษฏา มองว่าเป็นสิทธิของเขา แต่ผมก็ห่วงสังคมไทย ผมอยาเห็นลูกหลานผมโตขึ้นมาในโลกที่สงบ สันติ สามารถจะคุยกันได้ ไม่ใช้ความรุนแรง แล้วถ้าใครเห็นด้วยกับผมวันศุกร์นี้อยู่ที่บ้านตัวองก็ได้ หรือมหาวิทยาลัยตัวเองก็ได้ จุดเทียนไขพร้อมๆกัน แล้วค่อยๆสื่อกับสังคมว่าเรายังมีขั้วที่ 3 นะ คนอีก 30% ที่เขาไม่อยากจะต่อสู้ด้วยวิธีรุนแรง แต่ขอต่อสู้ด้วยวิธีที่สันติกว่า

อนันต์ ชี้ การเคลื่อนไหวของเจษฏา เป็นโลกในอุดมคติ

อนันต์ มองการเคลื่อนไหวของเจษฏาว่าเป็นโลกในอุดมคติ ซึ่งอุดมคติเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่เมื่อนำมาสู่การปฏิบัติจริงแล้วแทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลย เช่น ถ้าจะจุดเทียนอยู่ที่บ้าน แล้วจะประกาศให้โลกรู้ ต่อให้สื่อผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างไรนี่ การรับรู้ก็จะค่อนข้างจำกัด วิธีที่จะแสดงออกถึงพลังจของประชาชนอย่างแท้จริงคือเดินออกมานอกบ้าน

เจษฏา สวนกลับโลกสวยสำหรับบ้านเราตอนนี้ แต่มันเป็นโลกปกติสำหรับต่างประเทศ

เจษฏา กล่าว่า ผมเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล ผมถูกส่งให้ไปเรียนรู้ในต่างประเทศว่าเขาพัฒนาอย่างไร เราเรียนรู้ว่าประเทศเรายังไม่ได้พัฒนา เราอยากให้พัฒนาดีขึ้น มันเป็นโลกสวยสำหรับบ้านเราตอนนี้ แต่มันเป็นโลกปกติสำหรับต่างประเทศเขา ผมคิดว่าถ้านำตรงนี้มาถ่ายทอดเรียนรู้กันได้ ถ้าเป็น 10 ปีที่แล้ว เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจุดเทียนไขอยู่กับบ้าน ตอนนี้โซเชียลมีเดียมันมี โลกมันเปลี่ยนแปลงไป คนเริ่มรู้มากขึ้น ขอแค่ที่ยืนให้เราอยู่เท่านั้นล่ะสำหรับ 30% ตรงนี้

เจษฏา ยันนักวิทยาศาสตร์จะต้องอยู่ร่วมกันได้เพราะชอบการโต้เถียง

ท้ายรายการ สรยุทธ ถ้ามผู้ร่วมรายการทั้ง 2 ว่า คนที่มีความเห็นต่างกันอยู่ร่วมกันได้ไหม ?

อนันต์ ตอบว่า เราอยู่ร่วมกันได้ ถ้าอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์อยู่ร่วมกันได้อย่างดี

ขณะที่ เจษฏา กล่าว่า นักวิทยาศาสตร์จะต้องอยู่ร่วมกันได้ ต้องชอบการโต้เถียง แต่ผมอยู่ค่อนข้างยากนิดหน่อยตอนนี้ ผมกลัวล่าแม่มดมากเลยตอนนี้

ปราถนา “ภราดรภาพ”

“ผมมาจากคณะที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Liberal Arts” มันแปลว่าศิลปะแห่งเสรีภาพ เราต้องทำให้สังคมไทยเรียนรู้ที่จะมองคนที่เห็นต่าง เป็นญาติพี่น้องหรือเป็นเพื่อนของเรา นี่คือความหมายของคำว่าภราดรภาพ ซึ่งเป็นเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในอุดมคติประชาธิปไตยบ้านเรา บ้านเราไม่เคยพูดถึง ภราดรภาพ” อนันต์ กล่าวทิ้งท้าย

“ผมก็อยากจะเห็นโลกที่เป็นภราดรภาพเหมือนกัน ผมก็ฝันจะไปถึงโลกอย่างนั้นเหมือนกัน” เจษฏา กล่าวทิ้งท้าย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net