Skip to main content
sharethis
ดร.วันกาเดร์ อดีตประธานขบวนการเบอร์ซาตูออกบรรยายต่อสาธารณะ เผยแพร่งานวิจัยของตัวเองเมื่อ 33 ปีที่แล้วเป็นครั้งแรกต่อสังคมมลายูปาตานี ทำความเข้าใจขบวนการต่อต้านรัฐไทยผ่านชนชั้นนำและโครงสร้างสังคมในอดีตเพื่อเข้าใจในปัจจุบัน
 
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน
 
 
เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2557 ที่ห้องประชุม 1 สำนักอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) โรงเรียนการเมือง ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้(DSW) จัดการบรรยายสาธารณะครั้งที่ 12 โดยเชิญ รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน อดีตผู้นำองค์กรเบอร์ซาตู อันเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของการต่อต้านรัฐไทย หัวข้อ ทำความเข้าใจการเมืองของ “ปาตานี” ผ่านชนชั้นนำและโครงสร้างสังคมมลายู โดยมี ศ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ นักประวัติศาสตร์ไทย จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และรศ.อับดุลเลาะ อับรู จากวิทยาลัยอิสลามศึกษา ม.อ.ปัตตานี เป็นวิทยากรร่วม ดำเนินการโดยนายรอมฎอน ปันจอร์
 
อนึ่งการบรรยายสาธารณะครั้งนี้สืบเนื่องจากโรงเรียนการเมือง DSW เห็นว่าการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทที่ รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน ทำการศึกษาวิจัยเมื่อครั้งศึกษาที่มหาวิทยาลัย Science Malaysia เมื่อกว่า 33 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีการเผยแพร่ต่อคนในพื้นที่ และเห็นว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันสำหรับทำความเข้าใจการเปลี่ยนผ่านของสังคมมลายูปาตานี อันเป็นการย้อนดูความงานศึกษาค้นคว้าในอดีตเพื่อทำความเข้าในปัจจุบัน
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าวถึงเหตุผลหนึ่งที่ตนสนใจศึกษาในประเด็นดังกล่าวในช่วงเวลานั้นว่า เนื่องจากตนเป็นหนึ่งในสมาชิกสังกัดองค์กรต่อต้านรัฐไทยในขณะนั้น คือ องค์กร BNPP และการศึกษาวิจัยครั้งนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการรู้ว่าขบวนการต่อต้านรัฐและองค์กรที่ตนเองสังกัดอยู่นั้นมีจุดอ่อนหรือจุดแข็งอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อที่จะสามารถนำข้อมูลที่ได้ศึกษามาปรับปรุงองค์กรตนเอง
 
“จากการศึกษาและค้นพบว่าองค์กรของเราเองก็จะคล้ายๆ กับองค์กรอื่นๆ ที่มีอยู่ ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนักและไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะทั้งหมดก็อ่านทฤษฎีหรือแนวทางปฏิบัติคล้ายๆ กัน ก็คืออ่านจากทฤษฎีของตะวันตกบ้าง ของใครต่อใครบ้าง ซึ่งไม่ได้มีความคิดของตัวเองเท่าไร” รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าว
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยในครั้งนั้นทำได้รับรู้ถึงความเป็นจริงขององค์กรที่เป็นขบวนการต่อต้านรัฐว่ามีโครงสร้างอย่างไร ได้รับการสนับสนุนอย่างไรและมีความซับซ้อนอย่างไร จะเห็นได้ว่า ในความเป็นจริงแล้วองค์กรเหล่านี้เป็นองค์กรใต้ดิน แต่ในความเป็นจริงยังมีองค์กรใต้ดินขององค์กรใต้ดินอีก ซึ่งทำให้การทำความเข้าใจขบวนการเหล่าเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะจากคนภายนอกที่ต้องการทำความเข้าใจขบวนการ
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าวว่า สมัยก่อนสามารถรับรู้ได้ว่ามีองค์กรอะไรบ้างที่มีบทบาทหรือปฏิบัติการในพื้นที่ และปัจจุบันเป็นเรื่องยากมากที่จะรู้ว่ามีองค์กรใดบ้างที่มีบทบาทเพราะปิดลับมาก ซึ่งเมื่อก่อนจะมีองค์กรของขบวนการประมาณ 10 องค์กร และที่มีบทบาทอยู่ 4 องค์กร แต่ปัจจุบันไม่อาจจะทราบได้ว่ามีองค์กรอยู่เท่าไร และองค์กรที่มีบทบาทอยู่ในพื้นที่เป็นองค์กรใดบ้าง ทั้งนี้เนื่องจากตนได้ยุติบทบาทนี้แล้ว
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างขบวนการต่อต้านรัฐกับชนชั้นนำและผู้นำศาสนาว่า ในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในปาตานีจะเห็นได้ว่า ในช่วงแรกของการต่อต้านรัฐไทยนั้น ผู้นำการต่อต้านรัฐไทยมาจากชนชั้นนำที่เป็นอดีตผู้ปกครองรัฐมลายูหรือเชื้อสายเจ้ามาก่อน เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นผู้สูญเสียอำนาจเมื่อตกอยู่ภายใต้การปกครองของไทย
 
“ในสภาพความเป็นจริงกลุ่มผู้นำที่เป็นเชื้อสายเจ้าเมืองเก่าเหล่านี้ไม่ได้รับการรอมรับจากประชาชนระดับล่างมากนัก เนื่องจากเป้าหมายการต่อสู้ของพวกเขาเพื่อต้องการรักษาฐานอำนาจและผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง” รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าว
 
“แรกๆ ประชาชนชอบผู้นำเลือดเจ้าเหล่านี้ แต่อยู่นานๆ คนเหล่านี้ทำอะไรไม่ค่อยถูกกับกับหลักการที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ และผู้นำสายเจ้าเหล่าค่อยๆ หายไป ผู้นำกลุ่มใหม่ที่เข้ามาแทนที่ คือคนที่มีอำนาจในสังคมที่แท้จริง ซึ่งก็คือ ชนชั้นนำทางศาสนา เพราะคนเหล่านี้เป็นผู้นำที่สามารถชี้นำประชาชนได้อย่างแท้จริง เพราะใช้ศาสนาที่ประชาชนชื่นชอบเป็นฐานในการนำองค์กรและเข้ามาแทนที่ผู้นำสายเจ้า” รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าว
 
จากการศึกษาวิจัย รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน พบว่า ชนชั้นนำที่เป็นผู้นำศาสนาเหล่านี้เมื่อขึ้นสู่สถานะความเป็นผู้นำแล้วจะไม่ค่อยยอมลงจากสถานะความเป็นผู้นำ หรือลงไม่ได้แม้จะมีความผิดอยู่บ้าง เนื่องจากมีประชาชนมุสลิมเป็นฐานรองรับอยู่จำนวนมาก ทำให้ผู้นำศาสนามีบทบาทสูงมากในขบวนการต่อต้านรัฐไทย และในความเป็นจริงแล้ว ผู้นำศาสนาเหล่านี้ล้วนเป็นผู้รู้ที่มีการศึกษาสูง จบการศึกษาจากต่างประเทศและมีบทบาทในการสอนศาสนาในชุมชนอย่างแท้จริงและเข้ามาเป็นผู้นำในองค์กรของขบวนการ
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าวว่า บทบาทของผู้ศาสนาเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไปมากกว่านักการเมืองในระบบด้วยซ้ำไป เนื่องจากผู้นำการเมืองในระบบไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประชาชนจะเข้าใจว่านักการเมืองเหล่านี้ต้องเข้าไปอยู่ในรัฐสภาของรัฐไทย ซึ่งเป็นการอยู่กับฝ่ายตรงข้ามหรืออยู่กับผู้ปกครองที่กดขี่
 
“วัฒนธรรมของพวกเราที่นี่ ประชาชนที่นี่เขาให้ความสนใจโต๊ะครูสอนศาสนาที่ใส่เสื้อขาวขี่จักรยานมากกว่านักการเมือง”
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าวว่า เหตุผลส่วนหนึ่งที่ผู้นำศาสนาเข้าร่วมขบวนการต่อต้านรัฐเนื่องจากคำสอนของศาสนาอิสลามกำหนดให้ต้องต่อสู่กับการกดขี่ ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐหรือฝ่ายอื่นๆก็ตาม อีกทั้งการเปลี่ยนผ่านนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการปฏิบัติของรัฐไทยที่มีต่อชนชั้นนำเหล่านี้ด้วย กล่าวคือ ชนชั้นนำสายเจ้ามักจะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าชนชั้นนำทางศาสนาจากรัฐ ในขณะเดียวกันนักการเมืองในระบบเองก็ได้รับความสนใจจากรัฐมากกว่าเช่นเดียวกัน
 
“นักการเมืองในระบบรัฐสภาหรือนักธุรกิจถูกมองจากประชาชนว่าเป็นผู้นำทางโลก ไม่ตรงความต้องการของประชาชน การปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชนชั้นนำทางศาสนาเข้าร่วมกับขบวนการ”
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าวถึงประเด็นความเห็นต่างระหว่างรัฐไทยกับปาตานีว่า นโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินกับชาวมลายูปาตานีเป็นนโยบายที่ไม่ตรงกับความต้องการของชาวมลายูปาตานีและปฏิบัติกับชาวมลายูปาตานีเหมือนอย่างเป็นคนนอก ปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกัน และในความเป็นจริงชาวมลายูต่างรับรู้ถึงการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ด้วย
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน ยังกล่าวถึงงานศึกษาวิจัยขบวนการการแบ่งแยกดินแดนของชาวโมโร ในเกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ ในระหว่างทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของตนว่า ได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาวิจัยเป็นเวลา 7 เดือน พบว่า แนวร่วมการต่อสู้ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนโมโรมีผู้นำที่เป็นชนชั้นนำทางศาสนาน้อยมาก โดยตนพบเพียงคนเดียว ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย อัล-อัซฮัร ประเทศอียิปต์ ในขณะที่ผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดนของปาตานีในเวลานั้น เป็นชนชั้นนำทางศาสนามากถึง 90%
 
สำหรับการตอบคำถามจากผู้เข้าร่วมเสวนา เช่น นายเด่น โต๊ะมีนา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานีหลายสมัย การเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐไทยกับขบวนการต่อต้านรัฐไทยที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้มีความหวังมากน้อยแต่ไหนในฐานะที่เคยเป็นผู้นำต่อต้านรัฐไทย
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน ตอบว่า ขึ้นอยู่กับคู่เจรจาทั้งสองฝ่ายว่าจะมีแนวทางอย่างไร มีความฉลาดอย่างไรและมีความจริงใจหรือไม่ ทั้งนี้มองว่ามาเลเซียที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยนั้นอาจจะไม่มีความรู้เรื่องของปาตานีอย่างแท้จริงเท่ากับคนปาตานีเอง และมาเลเซียได้พยายามแก้ปัญหาปาตานีมา 20 ปีแต่ยังไม่มีผลแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงคนในพื้นที่รู้เรื่องของตัวเองดีที่สุด
 
ส่วนคำถามที่ว่าการต่อสู่เพื่อเอกราชปาตานียังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้หรือไม่ รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน กล่าวว่า ความเป็นได้ขึ้นอยู่กับกลุ่มที่กำลังต่อสู้กันอยู่ บางกลุ่มเชื่อว่าเป็นไปได้ บางกลุ่มบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่บางกลุ่มต่างรอโอกาสที่เหมาะสมในการต่อสู้ในขณะที่บางกลุ่มมองว่า หน้าที่ของตนคือต้องต่อสู้ ส่วนชัยชนะเป็นเรื่องของพระเจ้า ในขณะเดียวกันกลุ่มที่ต่อสู้ในปัจจุบันนี้ มีทั้งที่ต้องการต่อสู้ด้วยอาวุธและอีกกลุ่มหนึ่งต้องการต่อสู้ด้วยสันติวิธี
 
“ผมคนหนึ่งที่เปลี่ยนจากการสู้ด้วยการจับปืนมาเป็นมาเป็นการต่อสู้ที่ต้องมาพูดแบบวันนี้ ผมสู้มากว่า 30 ปีแล้ว ยังไม้ได้อะไร ก็ลองทางอื่นบ้าง” รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ กล่าว
 
 
 
หมายเหตุ :
 
รศ.ดร.วันอับดุลกาเดร์ เจ๊ะมัน (แวกาเดร์ เจ๊ะแม) มักเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะอดีตประธานขบวนการเบอร์ซาตู แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาเป็นนักวิชาการรัฐศาสตร์คนสำคัญที่มีภูมิหลังเป็นคนในพื้นที่ชายแดนใต้/ปาตานี
 
ผลงานการศึกษาวิจัยของเขาได้รับการกล่าวถึงและอ้างอิงอย่างกว้างขวางในแวดวงของผู้ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคามขัดแย้งในชายแดนใต้/ปาตานี โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่สำเร็จจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) ซึ่งต่อมาภายหลังสำนักพิมพ์ออกซ์ฟอร์ดได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ “Muslim Separatism: The Moros of Southern Philippines and the Malays of Southern Thailand” (การแบ่งแยกดินแดนโดยมุสลิม:  กรณีชาวโมโรในภาคใต้ของฟิลิปปินส์และชาวมลายูในภาคใต้ของไทย) ซึ่งเป็นเพราะเป็นการศึกษาวิจัยจากมุมมองของ “คนใน”
 
นอกจากนี้ วิทยานิพนธ์ปริญญาโทของเขาที่ชื่อ “Muslim Elites and Politics in Southern Thailand” (ชนชั้นนำและการเมืองของมุสลิมในภาคใต้ของไทย) ซึ่งจัดทำขึ้นขณะศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์มาเลเซีย (USM) ก็ถือเป็นงานวิชาการที่ทรงคุณค่าและจะเป็นฐานหลักในการบรรยายครั้งนี้
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net