Skip to main content
sharethis

พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่าไม่รู้จัก "โกตี๋" และปฏิเสธข่าวส่งทหารไล่ล่า ยืนยันทหารไม่เกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงที่หลักสี่ วอนประชาชนบ้านเมืองยังคับขัน อยากให้ช่วยกันแก้ไขไปในทางที่ถูกต้อง-ตามกฎหมาย ส่วน "รัฐบุคคล" เป็นทหารเกษียณที่อาจนัดเจอกันบ้าง และท่านคงไม่มาสั่งอะไร 

4 ก.พ. 2557 - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เดินทางเป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนาหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ครบรอบ 66 ปี ณ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน เขตพระนคร โดยผู้บัญชาการทหารบกได้ร่วมประกอบพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 ,ร่วมประกอบพิธีสงฆ์และลงนามสมุดตรวจเยี่ยม พร้อมขึ้นแท่นรับการเคารพจากแถวทหารต้อนรับ นอกจากนี้ผู้บัญชาการทหารบก ได้มอบแหนบทองคำให้กับผู้บังคับกองผสม ,มอบโล่แก่ผู้บังคับการกรมสวนสนาม 4 กรม และมอบเงินสงเคราะห์แก่คู่สมรสและบุตร ของกำลังพลในสังกัดหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน

ทั้งนี้ ข่าวสด ได้เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ปฏิเสธข่าวที่ว่า นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำ นปช.ปทุมธานี ถูก ผบ.ทบ. สั่งทหารไล่ล่า โดย พล.อ.ประยุทธ์ ถามว่า เขาเป็นใคร ตนไม่ให้ความสนใจขนาดนั้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรนอกกฏหมายได้อยู่แล้ว ควรไปคิดว่า ควรเชื่อเขาหรือเชื่อตน ส่วนจะฟ้องร้องดำเนินคดีหรือไม่ เป็นเรื่องของกฎหมายที่ต้องว่ากันไป ทั้งนี้ตนคงไม่ให้อภัย เพราะไม่ได้เป็นศัตรูกัน

ส่วนเหตุการณ์ความรุนแรงที่แยกหลักสี่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า จะต้องมีการตรวจสอบทั้งสองฝ่าย ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า อาวุธที่ใช้เป็นของทหารนั้น มันจะออกมาได้อย่างไร เพราะปืนทหารทุกกระบอกต้องอยู่ในคลัง และปืนทหารไม่ได้ถือติดตัว ทุกวันนี้ทหารมีระเบียบ มีกฎกติกา การเบิกอาวุธออกมาจากคลังต้องมีผู้รับผิดชอบ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งให้มีการเคลื่อนย้ายหรือใช้อาวุธ ปืนทุกกระบอกของทางราชการต้องอยู่ในคลังทั้งหมด ถ้าจะเอาออกมามี 2 อย่าง คือ ขโมยออกมา หรือ ไม่ใช่ของทหาร แต่เอามาจากที่อื่น ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบว่า ปืนหายออกไป มีแต่ปืนที่หายไปตั้งแต่ปี 53 และยังไม่ได้คืน ขอให้ช่วยกันหาว่า ปืนเอ็ม 16 และทราโว่อยู่ที่ไหน ซึ่งทุกคนทราบดีว่า หายไปไหน ภาพก็มีอยู่ ให้ไปหาผู้ที่เกี่ยวยข้องมาชี้แจงว่า ปืนหายไปไหน และเอาไปยิงใครบ้างแล้วก็ไม่รู้

"การจะพูดอะไรหรือเป็นข่าวอะไร ขอให้ตรวจสอบด้วย การเป็นทหารไม่ใช่ว่า นึกอยากทำอะไรก็ทำ เรามี 2 สถานะ คือ การเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเมื่อเป็นเจ้าหน้าที่ต้องเคารพกฎหมาย ถ้าเราไม่ยึดถืออะไร ทำตามชอบใจ คงไม่ใช่กองทัพ และจะอันตราย ยืนยันว่า ทหารไม่ได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปะทะ บางคนเคยเป็นพลทหารแล้วออกมาเป็นพลเรือน ท่าขว้างระเบิดก็ไม่ยากอะไร หลับตาขว้างก็เหมือนกัน อย่ามองให้เป็นยุทธวิธีกันไปเสียหมด วันนี้อยากให้สังคมช่วยกันวิเคราะห์ให้รอบคอบไม่ว่า จะเป็นภาพหรือข่าวที่เผยแพร่กันในโซเชียลมีเดีย โดยมีข้อเท็จจริงไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นการเขียนแล้วแต่ว่า ชอบข้างไหน โดยไม่คำนึงถึงผลเสียว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างกับบุคคลหรือองค์กรที่ถูกกล่าวอ้าง โดยเฉพาะกองทัพบกที่ทำงานเยอะ แต่วันนี้ถูกต่อว่ามากมาย ยืนยันว่า จะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด โดยไม่ไปขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น"

"วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองยังคับขันอยู่ อยากให้ทุกคนช่วยกันแก้ไขปัญหาไปในทางที่ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย และอย่าสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทำผิดกฎหมายแล้วไม่ใช้การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ และให้อีกพวกหนึ่งใช้วิธีการนอกกฎหมายมากระทำต่อผู้ทำผิดกฎหมาย ถามว่า ถูกต้องหรือไม่ บ้านเมืองมีขื่อ มีแป บ้างไหม ดังนั้นขอเตือนไว้เสียก่อน ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องร้อนตัว ไม่ต้องไปกล่าวอ้างอะไรทั้งสิ้น เท่าที่ทราบมีการแจ้งดำเนินคดีมาก ถ้ากลับมาตำรวจคงต้องจับ แทนที่จะไปสู้รบตบมือกับอริราชศัตรูกลับต้องมารบกันเอง แล้วคนที่มาใช้อาวุธ รบกันก็เป็นนักเลงเสียส่วนใหญ่" ผบ.ทบ.กล่าว

ส่วนกรณี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่มีผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเพราะคนไม่เคารพกฎหมาย โดยปี 53 ก็มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่แก้ไขไม่ได้ แต่จำเป็นต้องใช้ เพราะเมื่อสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น ก็ต้องมีการใช้กฎหมาย แต่ขึ้นอยู่กับว่า คนจะเชื่อฟังกฎหมายหรือไม่ และผู้ปฏิบัติจะดำเนินการได้ถูกต้อง รัดกุม รอบคอบ ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายหรือไม่ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียว บางครั้งก็เป็นปัญหา เพราะไม่ใช่โจรผู้ร้ายปกติ เนื่องจากครั้งนี้เป็นเรื่องความขัดแย้ง ดังนั้นการบังคับใช้กฎหมายมากๆ ความขัดแย้งก็ยังไม่ลดลง ขอให้ไปหาว่า ความขัดแย้งอยู่ที่ไหน ใครจะต้องแก้ และแก้อย่างไร อย่าทำให้ทุกอย่างสับสน

ส่วนกรณี พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีต ผบ.สส. พล.อ.วิมล วงศ์วานิช อดีต ผบ.ทบ. และอดีตนายทหารระดับสูงจัดตั้งกลุ่ม "รัฐบุคคล" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว ท่านเกษียณอายุไปแล้ว ท่านคงนัดเจอกันบ้าง เพราะมีห่วงใยชาติบ้านเมือง แต่ท่านไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกตน ไม่ได้มาสั่งอะไร มีแต่ให้กำลังใจ ท่านก็แค่นั่งกินกาแฟ และแสดงความคิดเห็น อาจไม่รู้จะคุยอะไรกันจึงคุยเรื่องบ้านเมือง เรื่องกองทัพบ้าง ส่วนท่านจะพูดอะไร เป็นความคิดเห็นของท่าน ท่านหมดหน้าที่จากกองทัพไปแล้ว คิดว่า ท่านคงไม่มาสั่งอะไรใคร แต่ความคิดของคนห้ามกันไม่ได้ ตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่สงบ ทุกคนมีสิทธิ์คิด แต่ปัญหา คือ จะทำอย่างไรให้ถูกต้องเหมือนกองทัพบกที่พยายามทำให้ถูกต้อง

สำหรับคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การจัดการเลือกตั้งไม่ใช่หน้าที่ของตน หน้าที่ของตน คือ ดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน ซึ่งวันเลือกตั้งถือว่า มีความเรียบร้อยน่าพอใจอยู่ในระดับหนึ่ง และถือว่า ดีที่สถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่ประเมินไว้ ไม่มีการสูญเสียหรือมีคนตาย แต่จะให้เห็นด้วย หรือไม่กับการเลือกตั้ง ตนคงไม่ตอบในเรื่องนี้ เพราะไม่ได้มอบหน้าที่ให้ตนจัดการเลือกตั้ง ส่วนที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่

เมื่อถามว่า กดดันหรือไม่ที่มีผู้ใหญ่หลายฝ่ายกดดันให้กองทัพทำรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ใครจะมากดดันตน ผู้ใหญ่ที่ไหนไม่มี อย่าพูดให้ท่านเสียหาย สื่อเขียนไปเรื่อยเปื่อย ทำให้คนเหล่านั้นเสียหาย ตนโตมาถึงบัดนี้คงไม่มีใครมาบังคับ ตนทำงานด้วยระบบและกติกา ตนคงไม่ฟังอะไรที่นอกเหนือจากกติกาของกองทัพบก ดังนั้นไม่มีใครชักจูงตนได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net