หากมองย้อนกลับไปในสมัยเป็นเด็กนักเรียน เรามักจะถูกสอนจากผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ในเรื่องของคุณค่า ความเป็นไทย ว่าจะต้องหวงแหนรักษา และคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยนี้ให้ยั่งยืนนาน เพราะความเป็นไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมื่อนที่ใดในโลก
ความเป็นไทยเรามักได้ยินกันบ่อย จากสื่อต่างๆ รวมทั้งการสอนในระบบการศึกษาไทย ที่ผลิตซ้ำเรื่องของความเป็นไทยตลอดมา ความเป็นไทยที่คนทั่วไปเข้าใจจึงอาจหมายถึง ชาติ ศาสนา(พุทธ) พระมหากษัตริย์ และอาจแตกขยายรวมถึงศิลปะ วัฒนธรรม ค่านิยม ประเพณี ทั้งหมดนี้เรียกรวมๆกันคือความเป็นไทย
วาทกรรมความเป็นไทยถูกหยิบยกขึ้นมาใช้มากขึ้นในหลายปีที่ผ่าน เพื่อปฎิเสธคุณค่าและวัฒนธรรมอื่นที่ขัดแย้งกับความเป็นไทยแม้ว่าข้อโต้แย้งนั้นจะฟังมีเหตุผลมากแค่ใหนก็ตามก็จะถูกวาทกรรมความเป็นไทยลดทอนลงไป รวมถึง เพื่ออธิบายเพื่อปรับปรุงสิ่งแปลกปลอมที่มาจากภายนอก เช่น ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่เน้นเรื่องศีลธรรมความดีงามของผู้ปกครอง ซึ่งละเลยการต่อสู้กันอย่างสันติภายใต้กรอบกติกาที่ยุติธรรม จนไปถึง การปฎิเสธการสร้างพื้นที่ต่อรองทางการเมืองของคนทุกคนในสังคม
ความเป็นไทยกลายอาวุธทางวัฒนธรรมในทางความเชื่อความคิดของคนไทยผู้มีการศึกษาทั้งหลายที่ผ่านระบบการศึกษาสมัยใหม่ของรัฐไทย ถึงแม้ ระบบการศึกษาของไทยจะรับเอามาจากตะวันตกซึ่งไม่ใช้ของไทยแต่ดั้งเดิมอยู่แล้ว
จากการถูกหล่อหลอมทางการศึกษาสมัยใหม่ ทำให้ผู้มีการศึกษาในสังคมไทยยึดถือและถือความเป็นไทยเป็นมากกว่าความเป็นไทย คือ เป็นสิ่งศักสิทธิ์ที่ไม่สามารถถูกท้าทายและถูกตั้งคำถามได้ ไม่ว่าจากใครก็ตาม เขาก็พร้อมจะเป็น ผู้พิทักษ์ ปกป้องความเป็นไทยจากการถูกท้าทายไม่ว่าจากใครหน้าไหนก็ตาม ตัวอย่างเช่น อั้มเนโกะ เนติวิทย์ และเยาวชนหลายคนที่ลุกขึ้นมาท้าทายคุณค่าและความเป็นไทย แม้การตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไทยของเขาเหล่านั้นจะแหลมคมและน่าคิดจนสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับสังคมได้อย่างต่อเนื่อง แต่เขาและเธอกับต้องเจอกับการล่าแม่มด จากทั้งผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาและเยาวชนในระดับเดียวกันจากการลุกขึ้นตั้งคำถามใน ความเป็นไทยอันศักสิทธิ์นี้
ปฎิกิริยาของคนจำนวนมากที่ยอมรับไม่ได้กับการถูกตั้งคำถามต่อความเชื่อ และการตอบโต้อย่างบ้าคลั่ง หยาบช้า ไร้เหตุผล สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงอะไรในสังคมไทย? โดยส่วนตัวผู้เขียนเองมองว่า นี่คือความอ่อนแอของสังคมไทย ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ไม่เคยถูกสอนให้ใช้เหตุผลในการพูดคุยถกเถียง และไม่มีปัญญามากพอจะต่อสู้ทางความคิด
สังคมไทยเราคุ้นชินกับการใช้อำนาจ ปราบปรามและป้องปรามคนที่คิดจะแหกคอกทางความคิด หรือ ไม่เดินตามรอยจารีตประเพณีอันดีงามของไทย ที่ผู้ใหญ่ ชนชั้นนำขีดเส้นไว้ให้เดิน ซึ่งวัฒนธรรมจารีตอำนาจนิยมแบบนี้ ก็คือหนึ่งในผลผลิตของความเป็นไทยที่สะท้อนสภาพที่แท้จริงของสังคมไทยได้อย่างชัดเจน ในเรื่องการมองคุณค่าของคนที่สังคมไทยให้ความสำคัญน้อยกว่าคุณค่าทางวัฒนธรรมทางจารีตประเพณีซึ่งเป็นคุณค่ารวมหมู่ของคนในชาตินั้นก็คือความเป็นไทย และการใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่นโดยผู้ใหญ่ในสังคมนี้ รวมไปถึงการกดขี่คนในทางความคิดด้วยปฎิบัติการทางจารีตอำนาจนิยม ตัวอย่างเช่น "จะคิดจะพูดอะไรหัดดูตัวเองซะบ้าง" "จะพูดเรื่องนี้ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนแล้วค่อยพูด" ตรรกะเหล่านี้คือเครื่องมือไว้ใช้ ปิดปาก การตั้งคำถามหรือการแสดงความคิดเห็นที่ไม่เป็นไปตามระบบจารีต
ความดีเริ่มถูกหยิบยกมาใช้เป็นเครื่องมือในเวลาไม่นาน ด้วยความหมายและการถูกตีความใหม่ ซึ่งในสมัยก่อนเราอาจเข้าใจได้ว่าคำว่า ความดี คนดี นั้นหมายถึง ผู้ที่ประพฤติปฎิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีของศาสนา ซึ่งของไทยก็คือ ศาสนาพุทธ แต่ในเวลาไม่นาน คำว่าความดีและคนดี ถูกตีความใหม่ในบริบทปัจจุบัน ความดี คนดี ในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงแค่ ผู้ประพฤติปฎิบัติตนอยู่ในกรอบของศาสนาเท่านั้นตามสามัญสำนึกของคนทั่วๆไป แต่หมายรวมถึงการไม่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับปัญหาสังคมที่เป็นอยู่ ไม่พูดหรือตั้งคำถามในสิ่งที่คนในสังคมเชื่ออย่างไม่การพิสูจน์ข้อเท็จจริง ความดีในความหมายใหม่ในสังคมไทยจึงไม่ใช่แค่อยู่ในกรอบทางศีลธรรมของศาสนาเท่านั้น แต่รวมไปถึงการไม่มีปัญหากับความคิดความเชื่อในสังคมนี้ด้วยและยอมสยบใต้เท้าของความคิดความเชื่อของสังคมนี้อย่างเงียบๆไม่สร้างปัญหาอะไร
ความเป็นไทยแม้จะเป็นสิ่งที่บอกถึงอัตลักษณ์เอกลักษณ์ของการรวมเป็นชนชาติไทยจากการมีศูนย์รวมเดียวกันของคนทั้งชาติแต่ต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่เราพูดอาจไม่สะท้อนความเป็นจริงทั้งหมดในชาติ เพราะชาติไทยประกอบด้วยชาติพันธุ์ที่หลากหลาย รวมทั้งความเชื่อที่มาจากหลากหลายทิศทาง เพราะต้องไม่ลืมว่าคำว่าไทยนั้นมาทีหลัง เป็นผลผลิตจากการสร้างชาติให้เป็นรัฐสมัยใหม่ จากชนชั้นนำไทยที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันภายใต้อำนาจ
ความเป็นไทยแม้ยิ่งใหญ่ในสายตาของใครหลายคน แต่เราต้องมีที่ยืนให้กับคนที่ไม่ได้เห็นความสำคัญของความเป็นไทยเหมือนๆกับเราและเคารพความเป็นคนของเขาด้วย เพราะความเป็นไทยก็คือประดิษฐกรรมชิ้นหนึ่งจากคนนั้นเอง