28 ก.พ. 2557 นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 กล่าวว่า กฎบัตรสหประชาชาติมีหลักการสำคัญเรื่องการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศของประเทศอื่น (non-interference) ยกเว้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่กระทบต่อสันติภาพ มีการรุกราน หรือมีการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง กว้างขวาง ขอย้ำว่าต้องอย่างร้ายแรงและกว้างขวาง สหประชาชาติจะสามารถเข้าแทรกแซงด้วยเหตุแห่งมนุษยธรรม (humanitarian intervention) โดยการใช้กองกำลังเข้าไปในประเทศนั้นๆ ได้ก็เพื่อป้องกันแก้ไขเหตุดังกล่าวข้างต้นนั้น และต้องมีมติเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) ซึ่งมีสมาชิกถาวรประกอบด้วยมหาอำนาจ 5 ประเทศ 

 

การที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญสหประชาชาติ มาให้คำแนะนำหาทางออกให้กับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย โดยอ้างว่าเป็นองค์กรที่มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและความไม่สงบมา ในหลายประเทศนั้น ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะเข้ามาในรูปแบบใด แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะตนเห็นว่า สถานการณ์ในประเทศไทยนั้นมีความห่างไกลและแตกต่างกับบริบทที่สหประชาชาติเคยเข้าไปมีบทบาท เป็นเรื่องที่กระทบอธิปไตย กระทบเกียรติภูมิของประเทศในสายตาประชาคมโลก รวมถึงอาจส่งผลกระทบด้านต่างๆ โดยเฉพาะในด้านการเมืองและสังคมอย่างกว้างขวาง ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของนายสุรพงษ์ฯ 

 

ตนเห็นว่าการกระทำของนายสุรพงษ์ฯ ที่ดึงสหประชาชาติเข้ามาในความขัดแย้งภายในประเทศนั้น นอกจากจะทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด ไม่ว่าจะทำด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ยังจะทำให้ประชาคมระหว่างประเทศมองว่ารัฐไทยอยู่ในภาวะล้มเหลว (Failed State) หรือเกิดสภาวะเลวร้ายรุนแรงขึ้นในประเทศ ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงและน่าเชื่อถือของไทยในสายตาต่างประเทศอย่างยิ่ง และในฐานะรัฐบาลรักษาการไม่น่ากระทำได้อาจขัดรัฐธรรมนูญเพราะหากบทบาทของสหประชาชาติมีผลผูกพันต่อไปถึงคณะรัฐมนตรีชุดหน้า นอกจากนี้การกระทำของนายสุรพงษ์ฯ เอง ก็สุ่มเสี่ยงเข้าข่ายการเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้