Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

                                                                            

การเมืองภาคพลเมืองมีความหมายหลากหลายตามเป้าหมายที่แตกต่างกัน เช่น

1.การเมืองภาคปริมณฑลสาธารณะ (Public sphere) ที่มุ่งสร้างพื้นที่เวที กลไกส่วนกลางที่ไม่ใช่รัฐสภาที่จะถกเถียง สร้างประเด็นต่างๆ ขยายสิทธิอำนาจต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

2.การเมืองภาคประชาสังคม (Civil Society) หรือการเมืองภาคพลเมือง (Citizen politics) ที่เน้นการมีส่วนร่วมที่แข็งขันของบุคคลองค์การต่าง ๆ ในสังคมที่จะถกเถียงและบรรลุข้อตกลงในประเด็นปัญหาต่าง ๆ หรือผลักดันบางประเด็นให้เป็นนโยบายของรัฐ

3.การเมืองภาคประชาชน (People’s politics) หรือขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ (New Social Movement) ที่มุ่งเคลื่อนไหวสร้างจิตสำนึกในประเด็นผลประโยชน์ร่วมของมนุษยชาติ ได้แก่ สภาพแวดล้อมโลก สภาพทุนโลก การคัดต้านโลกาภิวัตน์ เป็นต้น

(ที่มา : ศรัณยุ หมั้นทรัพย์. “การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง : ฐานรากของการเมืองภาคพลเมือง,” วารสารสถาบันพระปกเกล้า.  6,2. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2550. หน้า 101-115.)

ในประเทศไทยในปัจจุบันการให้ความหมายต่อการเมืองภาคพลเมืองเปิดกว้างที่มีความหมายรวมทั้งการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม NGO ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง กลุ่มเครือข่ายภาคพลเมือง ในบางครั้งมีการให้ความหมายไปถึงการออกมาชุมนุมทางการเมืองที่มีกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลังก็ถูกเหมาว่าเป็นการเมืองภาคพลเมืองด้วย

การเมืองภาคพลเมืองในความรู้ความเข้าใจของคนที่สนใจการเมืองหรือแม้แต่คนทั่วไปแทบจะเป็นแดนสนธยาที่ไม่มีคนรู้จักหรือมีความเข้าใจมากนัก มีการเคลื่อนไหวกันในวงจำกัด (อาจมีคนบอกว่าวงกว้างแต่ก็เป็นวงกว้างที่จำกัดอยู่ดี) ผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองภาคพลเมืองประกอบด้วยบุคคลที่พอจะจำแนกอย่างคร่าวๆได้ดังนี้

1.กลุ่มเครือข่ายสภาองค์กรชุมชน ภายใต้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนหรือ (พอช.)

2.กลุ่มนักวิชาการที่ทำงานเครือข่ายร่วมกับภาคพลเมือง

3.เครือข่ายจังหวัดจัดการตนเอง

4.กลุ่มเครือข่าย NGO ที่รวมตัวเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆ ที่โดดเด่นคือ ประเด็นเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

หลังจากมีรัฐธรรมนูญ 50 อำนาจฝ่ายรัฐพยายามยิ่งในการหนุนเสริมพลังการเมืองภาคพลเมือง มีการจัดตั้งองค์กรที่สนับสนุนการเคลื่อนของขบวนการเมืองภาคประชาชนคือ สภาพัฒนาการเมืองและกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง (www.pdc.go.th)  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน รวมถึงองค์กรที่เน้นใช้กระบวนการการเมืองภาคพลเมืองในการเคลื่อนงานอันได้แก่เครือข่ายตระกูล ส. เช่น สสส. สปสช. อสม. สปร. รวมถึงคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่ปัจจุบันก็ให้ความสำคัญกับภาคพลเมือง การสนับสนุนดังกล่าวอาจจะต้องมีการศึกษาอย่างลึกซึ้งว่าวิธีการดังกล่าวส่งเสริมให้การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งขึ้นหรืออ่อนแอลงอย่างไร จะได้กล่าวถึงในอีกวาระหนึ่งโดยละเอียด

ผู้ทำงานการเมืองภาคพลเมืองนั้นมีความหลากหลาย โดยนับจากที่มาในวงการที่เขาเหล่านั้นสังกัดอยู่ มาจาก NGO ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ นักวิชาการเครือข่าย ปราชญ์ชาวบ้าน นักการเมืองท้องถิ่นผู้พลาดหวังจากการเลือกตั้งในพื้นที่ หรือแม้กระทั้งนักการเมืองระดับชาติที่อาจมีความมุ่งหวังในการพัฒนาการเมืองโดยผ่านกระบวนการนี้หรืออาจเพียงเป็นผู้หาที่ยืนในวงการเมืองเพื่อสร้างฐานทางการเมืองของตน จากความหลากหลายในที่มา จึงมีความคิดแบ่งแยกอยู่ในสังคมของการเมืองภาคพลเมือง ผู้มาจากนักวิชาการหรือนักการเมืองมักจะให้ความสำคัญกับความเห็นของคนที่มาจากกลุ่มอื่นๆค่อนข้างน้อย แม้จะเปิดรับฟังความเห็นบ้างแต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ยึดมั่นในทฤษฎีและกฎหมายเป็นหลัก ส่วนผู้มาจาก NGO ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติบางส่วนก็มักจะมีทัศนคติที่ต่อต้านรัฐ และยึดมั่นในความคิดของตนอย่างมั่นคง มักจะตั้งคำถามต่อกระบวนการอันยุ่งยากซับซ้อนของระบบราชการและกฎหมาย

จุดอ่อนอย่างสำคัญของการเมืองภาคพลเมืองที่เห็นได้ชัดคือการยึดมั่นรักษาเขตแดนทางสังคมการเมืองของตนอย่างเข้มแข็งและไม่พยายามในการขยายเขตแดนของตนไปสู่สังคมการเมืองอื่นๆ การเมืองภาคพลเมืองมักเคลื่อนไหวในสังคมต่างจังหวัดอย่างเข้มแข็งต่อเนื่องแต่ในทางกลับกันในสังคมเมืองทั้งเมืองในต่างจังหวัดและรวมถึงกรุงเทพมหานคร น้อยคนที่จะรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของการเมืองภาคพลเมืองหรือมีความเข้าใจในนิยามเป็นอย่างอื่น (เช่นเข้าใจว่าเป็นเรื่องของการชุมนุมทางการเมืองเพียงอย่างเดียว) ทำให้การขับเคลื่อนงานใดๆก็ตามต้องเริ่มต้นจากการอธิบายความเสมอว่าการเมืองภาคพลเมืองคืออะไร เปรียบเหมือนการนับ 1- 10 แต่ทุกครั้งเริ่มนับ 1 เพียงอย่างเดียวไม่เคยถึง 2 เสียที

สังคมการเมืองภาคพลเมือง มีความมุ่งหวังที่จะพัฒนาการเมืองในระดับชาติ หากจะให้ประสบผลสำเร็จนั้นต้องมุ่งพัฒนาวิธีการเชิงรุกในการสร้างความตื่นตัวทางการเมืองและที่สำคัญยิ่งการปรับทัศนคติเข้าหากันของผู้อยู่ในสังคมการเมืองภาคพลเมืองเองและพยายามขยายความรู้ความเข้าใจไปสู่สังคมการเมืองอื่นให้มากขึ้น เปิดรับวิธีการใหม่ๆเพื่อในการรุกเข้าไปสู่สังคมอื่นๆ สังคมการเมืองภาคพลเมืองต้องแสวงหาความรู้เพื่อทำความเข้าใจการเมืองระดับชาติการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคใกล้เคียง รวมถึงต้องมีความเข้าใจในความสัมพันธ์เชิงอำนาจของอำนาจรัฐ อำนาจทุน และพยายามทำความเข้าใจของคนในทุกระดับ แสวงหาแนวคิด ความรู้ที่หลากหลาย การเมืองภาคพลเมืองไม่ควรติดยึดกับแนวคิดแบบชุมชนนิยมมากจนไม่สามารถก้าวออกไปไหนได้

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net