ประจักษ์ กล่าวว่า อย่าลืมว่าไม่มีประเทศไหนทำรัฐประหารซ้ำกันถึงสองครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงสิบปี ในแง่นี้ประเทศไทยได้อยู่อันดับรั้งท้ายที่สุดในโลกแล้ว ด้วยการทำรัฐประหารในวันนี้ และจากประสบการณ์ไม่ว่าที่ไหนในโลกหรือของสังคมไทยเอง การรัฐประหารไม่เคยนำมาซึ่งการปฏิรูปสังคมที่ก้าวหน้าขึ้น และไม่เคยขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจสังคม หรือแก้ไขความขัดแย้งในสังคมได้ ถ้าเรามีบทเรียนจากการรัฐประหารปี 49 คงเห็นแล้วว่ารัฐบาลทหารที่มาหลังรัฐประหารไม่ได้มีความสามารถในการบริหารประเทศที่ดีขึ้นกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มีพฤติกรรมในการใช้อำนาจที่ปลอดจากทุจริตคอร์รัปชันอย่างที่แอบอ้าง
"แล้วถ้าถามว่าความแตกแยกในสังคมไทยเริ่มจากไหน ก็เริ่มจาก ณ วันที่ 19 ก.ย.2549 และผมเชื่อว่าการรัฐประหารในวันนี้จะยิ่งทำให้สังคมไทยแตกแยกกัน ร้าวลึกมากขึ้น เพราะเราได้ทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติด้วยสันติวิธี"
ประจักษ์ระบุว่า ถึงที่สุด รัฐประหารนี้ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอ้างว่า นุ่มนวลแค่ไหน หรือจะไม่ใช้กำลัง โดยตัวมันเองคือความรุนแรงทางการเมืองแล้ว เพราะกองทัพไม่มีความชอบธรรมอะไรเลยในการเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง หรือบริหารกิจการบ้านเมือง ฉะนั้น วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่สิทธิเสรีภาพและสิทธิทางการเมืองของคนไทยถูกทำลายลงและโอกาสในการช่วยแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีได้ถูกทำลายลง
"ถ้าความรุนแรงทางการเมืองใดๆ เกิดขึ้นหลังจากนี้ กองทัพจะต้องเป็นคนรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียวในสังคมไทย ที่มาปิดประตูการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีในสังคมไทย" ประจักษ์กล่าว และฝากถึงคณะรัฐประหารว่าอย่าใช้กำลังสลายการชุมนุมของมวลชนไม่ว่าฝ่ายไหน เพราะจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น พร้อมเรียกร้องให้กองทัพคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด
"แต่ที่ผ่านมา ความเชื่อมั่นในกำลังอาวุธของตัวเองของผู้นำทางการทหารในอดีต นอกจากจะจบลงด้วยการที่ประชาชนเสียชีวิตแล้ว ก็จบลงด้วยฝ่ายผู้นำทางการทหารก็พ่ายแพ้ เพราะที่สุดแล้ว อาวุธที่มีอยู่ไม่สามารถต้านทานเจตจำนงของประชาชนที่จะปกป้องสิทธิเสรีภาพของตัวเอง" พวงทองระบุและว่า "อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ตระหนักถึงประเด็นนี้ เชื่อว่าท่านเองไม่ได้เป็นผู้ที่กระหายอำนาจ แต่วิธีที่ใช้อยู่นี้กำลังจะนำพาสังคมไปสู่เส้นทางนองเลือดอีกครั้ง" พวงทองระบุ
ทั้งนี้ พวงทอง มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ควบคู่ไปกับการใช้กำลังทหาร คือการปิดกั้นไม่ให้คนคิด-แสดงความคิดเห็น เพราะสิ่งที่ทหารมีคืออาวุธเท่านั้น แต่อาวุธไม่สามารถเอาชนะจิตใจและความคิดของคนได้ สิ่งที่เขาจะทำได้คือปิดกั้นไม่ให้คนคิดและเผยแพร่ความคิดออกมา หลังจากนี้จะมีคนถูกจับกุมอีกมาก เพื่อสร้างความหวาดกลัวไม่ให้ประชาชนต่อต้าน แต่ความกลัวของประชาชน มีขีดจำกัดเช่นกัน ที่สุดแล้วศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน ท้ายที่สุด ประชาชนจะไม่กลัวและออกมาต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ย้ำว่า ไม่อยากเห็นการเสียชีวิตเลือดเนื้อของประชาชนที่ออกมาต่อสู้ เข้าใจว่าประชาชนที่ออกมาต่อสู้มีความคับแค้นใจมาตลอด โดยเฉพาะประชาชนคนเสื้อแดงที่ถูกกระทำตลอดเวลา หากบอกว่าอย่าทำอะไรเลย ประชาชนคงไม่ฟัง แต่หากจะทำขอให้ตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตของตัวเองด้วย อย่าเอาชีวิตไปแลกจนกว่าจะได้ประชาธิปไตย จะต้องหาวิธีการต่อสู้ที่จะทำให้เห็นว่าประชาชนจำนวนมากไม่ยอมรับกับรัฐประหารนี้และปกป้องชีวิตของตัวเองด้วย