สำหรับคนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำ รัฐประหาร – สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้คือ ให้กำลังใจตัวเองว่า คสช. กองทัพ หรือ พูดให้ชัด คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านก็มีเจตนาดีต่อบ้านเมือง ต้องการแก้ไขวิกฤติของชาติ ต้องการนำความปกติสุข คืนความสุขสู่สังคมไทย ดังนั้น ดีที่สุดสำหรับเราคือ ให้โอกาส และให้เวลา กับ คสช.

แม้ว่า บทเรียนจากประวัติศาสตร์การทำรัฐประหารในการเมืองไทย หลายสิบครั้งที่ผ่านมา มักจะขึ้นต้นด้วยดอกกุหลาบ แต่สุดท้ายกลายเป็นดอกกัญชาเสมอ เพราะปลายทางแห่งการรัฐประหารที่เราเรียนรู้มา สุดท้ายจะมีแต่ความสูญเสีย ความเสียหาย และความว่างเปล่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้นำเอาความล้มเหลวของการทำรัฐประหารแต่ละครั้งมาเป็นบทเรียน

แต่หากถอดบทเรียนออกมาว่า ความล้มเหลวของรัฐประหารที่ผ่านมา เป็นเพราะ ผู้นำรัฐประหาร ไม่เด็ดขาด แก้ปัญหาไม่สะเด็ดน้ำ ดังนั้นจึงต้องเพิ่มความเข้มงวด ให้เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด หรือ ทำให้สะเด็ดน้ำมากขึ้น ก็ทำได้ไม่ว่ากัน เพราะอำนาจ รัฏฐาธิปัตย์ อยู่ในมือท่านแล้ว จะทำอะไรก็ย่อมได้ แต่ต้องอาศัยเดิมพันที่สูงลิ่วจริงๆ

อย่างไรก็ตาม อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดนี้ ถ้าถูกใช้โดยคนที่ มีจิตใจอันเที่ยงธรรมสูงส่ง อำนาจรัฏฐาธิปัตย์นี้ ก็จะกลายเป็น ดอกกุหลาบที่มีกลิ่นหอม และไร้หนาม

แต่ กุหลาบหอมไร้หนาม จะเกิดขึ้นได้ ไม่เพียงแต่ความตั้งใจของผู้ปลูกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดินฟ้า อากาศ และน้ำ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญด้วย

ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะของแต่ละกลุ่ม แต่ละฝ่ายในหมู่ประชาชนไทย ซึ่งต่างก็มีเจตนาแน่วแน่ด้วยเหมือนกันว่า ต้องการช่วยให้ คสช. สามารถนำความสุขคืนสู่สังคมไทยให้ได้อย่างแท้จริง เป็นสิ่งจำเป็นที่ คสช. จะต้องรับฟังอย่างตั้งใจ และอย่าคิดไปเพราะว่า เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขั้วใดขั้วหนึ่ง หรือเป็นฝ่ายที่ต่อต้านรัฐประหารเพราะถึงอย่างไร ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ความมุ่งมั่นตั้งใจของกกองทัพ ที่จะนำความสงบสุขคืนสู่สังคมเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอ กลไกสำคัญ อยู่ที่พลังของประชาชนแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่าย ที่มีองค์ความรู้อยู่อย่างอุดมด้วย

ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง กับ ข้อเสนอของ 7 องค์กรภาคธุรกิจ ที่เสนอมาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่น สร้างความโปร่งใส และลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างความปรองดอง โดยเฉพาะเรื่อง การต่อต้านการโกง หรือ การต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น

ข้อเสนอ 7 ข้อขององค์กรธุรกิจ ไม่ได้เกิดจากความไม่ไว้วางใจ คสช. แต่เป็นมาตรการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และประชาชนสามารถการันตีได้ว่า กองทัพ หรือ คสช. จะไม่มีการ ทุจริตคอรัปชั่น ทั้งเรื่องผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงิน จากงบประมาณจำนวนมหาศาล ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ที่กำลังจะเดินหน้า หรือการคอร์รัปชั่นฉ้อฉลในอำนาจที่มีอยู่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ของ คสช.

อย่าให้ต้องเป็นเหมือน กับผู้เขียน ที่ได้รับผลกระทบ และกลายเป็น ประสบการณ์อันเลวร้ายอีกครั้งหนึ่ง ในการปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชน ที่พยายามอย่างเต็มที่ กับ การอยู่บนหลักการของความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมอย่างที่สุด

ด้วยคำถาม ที่ผู้เขียนถาม ผู้ร่วมรายการ คือ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม ในรายการ ฟันธง เมื่อคืนวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็ด้วยเจตนาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นใจ และสร้างหลักประกันในหมู่ประชาชนคนไทยว่า คสช. จะปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คอร์รัปชั่น ในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ที่ คสช. กำลังพิจารณาอยู่ในเวลานี้ เท่านั้นเอง แต่ผู้เขียนกลับถูกคำสั่ง (ผู้บริหารช่อง อ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้ใหญ่ใน คสช.) ให้ ยุติการทำหน้าที่ในทันหลังจากที่รายการออกอากาศไปเพียงไม่กี่นาที

ทั้ง ๆ ที่ เป็นเจตนาเดียวกัน กับ 7 องค์ภาคธุรกิจ ที่ได้นำเสนอมาตรการให้เกิดความโปร่งใส ต้านการโกง แก้ปัญหาสินบน แก้การโกงในองค์กรรัฐวิสาหกิจ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดซื้อจัดจ้าง และให้ รัฐ (คสช.) ร่วมสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการโกง

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คสช. คงจะเห็นถึงเจตนาดีที่แน่วแน่ และนำเอาข้อเสนอของ 7 องค์กรภาคธุรกิจที่ต่อต้านการโกง และการทุจริตคอรัปชั่นไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด ให้ค้านกับความรู้สึกของประชาชนที่เชื่อมาตลอดว่า ยุคเผด็จการทหาร การตรวจสอบ ความโปร่งใสและธรรมาภิบาล เป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุด

เพราะ อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีพลังมากมายทั้งสร้างสรรค์ และทำลายล้าง จึงพึงระวังอยู่เสมอด้วยว่า การแก้ทุกปัญหาให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ ระวังการลำลักน้ำ และการจมน้ำตายในที่สุดด้วย