หมายเหตุของผู้แปล:
บทความนี้รวบรวมอยู่ในหนังสือของ อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ชื่อ ท้าทายทางเลือก: ความรุนแรงและการไม่ใช้ความรุนแรง (สำนักพิมพ์ของเรา, 2557) โดยข้าพเจ้าเป็นผู้แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษชื่อ “Unusual Nonviolent Explosion in Thailand?: How repressive violence engenders creative nonviolent actions” ในการเผยแพร่ครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตทางสำนักพิมพ์แล้ว แต่มิได้ขออนุญาตจาก อ.ชัยวัฒน์ จึงกราบขอโทษอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื่อว่า อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผู้เป็นนักวิชาการด้านสันติวิธีที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย คงไม่ถือโทษโกรธข้าพเจ้า ทั้งนี้เพราะวัตถุประสงค์ที่ข้าพเจ้านำบทความนี้มาเผยแพร่ต่อสาธารณะ ก็เพื่อเรียกร้องให้สังคมและรัฐบาลทหารรำลึกถึงความจริงแท้ประการหนึ่งนั่น คือ คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด คือนักปฏิบัติการด้านสันติวิธีที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ดังที่ อ.ชัยวัฒน์ผู้เป็นปรมาจารย์ด้านสันติวิธี ก็ยืนยันอย่างชัดเจนในบทความที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ และข้าพเจ้าก็เชื่อว่าขณะนี้ อ.ชัยวัฒน์ก็คงรำลึกและเป็นห่วงคุณสมบัติ บุญงามอนงค์เช่นกัน
ถึงแม้คุณสมบัติ บุญงามอนงค์อาจท้าทาย กวนประสาทและหยอกล้อรัฐบาลทหารจนหัวปั่นและทำให้ท่านทหารโกรธเคือง แต่หากท่านมองย้อนกลับไป ขอให้ท่านและสังคมไทยพิจารณาดูว่า ควรแล้วหรือที่บุคคลที่เคยสร้างคุณูปการและช่วยเหลือผู้คนมากมายในประเทศนี้ อย่าง บ.ก.ลายจุดจะต้องรับโทษหนักหนาสาหัสดังที่รัฐบาลทหารขู่เข็ญ ในขณะที่แกนนำการประท้วงทั้งเหลืองแดง ทั้งนักการเมืองที่เป็นรัฐบาลและกองทัพที่กลายเป็นรัฐบาล ต่างก็เคยเป็นสาเหตุทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวน ไม่น้อยในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นาน ทั้งยังเคยจัดการประท้วงที่ปิดถนน ยึดสถานที่ ทำลายสิ่งของ สร้างความเดือดร้อนให้สังคมไทยเป็นระยะเวลายาวนาน แต่คนเหล่านี้กลับไม่มีผู้ใดต้องรับโทษทัณฑ์หนักหนาสาหัส ในขณะที่คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้เป็นแกนนอนการประท้วงอย่างสันติที่สุด ไม่เคยทำให้ใครบาดเจ็บล้มตาย ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้สังคมเป็นระยะเวลาเกินครึ่งวันหนึ่งวัน และการประท้วงทุกครั้งก็เป็นเพียงการใช้สัญลักษณ์และอารมณ์ขัน ควรแล้วหรือที่นักปฏิบัติการสันติวิธีที่สุดผู้นี้จะต้องรับโทษจำคุกถึง 7 ปีหรือน้อยกว่านั้นหรือมากกว่านั้น?
หากรัฐบาลทหารและสังคมไทยปล่อย ให้คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ต้องรับโทษอย่างหนักแตกต่างจากแกนนำคนอื่น ๆ นั่นย่อมหมายถึงความตายของสันติวิธีในประเทศไทย นั่นย่อมหมายถึงการไม่ยึดมั่นในสันติวิธีคือบรรทัดฐานของการพ้นผิดลอยนวล นั่นย่อมเป็นการผลักให้ผู้คนในประเทศนี้ถอยห่างจากปฏิบัติการสันติวิธี เพราะมันจะนำมาซึ่งโทษทัณฑ์ที่หนักหน่วงยิ่งกว่าการไม่ยึดมั่นในสันติวิธี
ภัควดี วีระภาสพงษ์
อุบัติการณ์ของสันติวิธีที่ไม่ธรรมดาในประเทศไทย?:
การกดขี่ปราบปรามด้วยความรุนแรงกลับก่อเกิดปฏิบัติการสันติวิธีเชิงสร้างสรรค์
ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
(ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปล)
ตอนที่ 2
ปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์: วัน (และอีกหลายวัน) หลังสลายการชุมนุม
“ผมร้องไห้ทุกวัน ร้องติดกันหลายสัปดาห์ นั่งๆ อยู่ร้องเลย” สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้นำกลุ่ม “วันอาทิตย์สีแดง” ให้สัมภาษณ์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการสลายการชุมนุมเสื้อแดงด้วยความรุนแรงเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 เขากล่าวต่อว่า สิ่งที่ช่วยบรรเทาความเศร้าโศกของเขาคือเฟซบุ๊กซึ่งเขาใช้แสดงความคิดเห็น ในฐานะตัวละครในโลกออนไลน์ผู้มีชื่อเสียงภายใต้นามจอว่า “บก.ลายจุด” เขามีผู้ติดตามจำนวนมาก ติดอันดับหนึ่งในห้าของผู้เขียนเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ตไทย “ผมพยายามหาทางออกตลอดเวลา ไม่เคยหยุดคิดหาทางสู้ หลังวันที่ 19 พฤษภาคม ผมอยู่ข้างนอก ซุ่มอยู่ในอินเทอร์เน็ต และเสนอเรื่อง ‘วันอาทิตย์สีแดง’” “[ผมคิดเรื่องนี้] คนเดียว คุณดูเฟซบุ๊กผมจะรู้ วันแมนโชว์ ผมเป็นปัจเจกนิยมแบบสุดๆ เลย เสื้อแดงทุกคนมีพลังงานเท่ากัน แต่ถูกเอาไปจัดการยังไงนั่นอีกเรื่อง....เพราะมันโกรธมาก เจ็บจริงๆ ถ้าจัดการพลังงานมหาศาลในใจไม่ได้ ในที่สุดคุณจะทำร้ายตัวเอง หรือถ้าปลดปล่อยไม่ได้ คุณจะเครียด” [12]
วิธีการ “ปลดปล่อยพลังงาน” ของเขาก็คือ พอนำเสนอความคิดผ่านเฟซบุ๊กแล้ว เขาก็เริ่มกิจกรรม “วันอาทิตย์สีแดง” ซึ่งเป็นการต่อต้านขัดขืนด้วยสันติวิธี โดยรวมกลุ่มคน 5 คนมานั่งดื่มกาแฟคุยเรื่องประชาธิปไตย [13] การจับกลุ่ม 5 คนเป็นการท้าทายกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งห้ามการชุมนุมทางการเมืองในเวลานั้น จากนั้นในวันที่ 26 มิถุนายน 2553 สมบัตินำผู้คนไปผูกผ้าแดงที่เสาป้ายสี่แยกราชประสงค์ อันเป็นสถานที่ที่มีการชุมนุมของเสื้อแดงและถูกสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง เขาถูกจับและถูกนำตัวไปคุมขังที่ค่ายตำรวจตระเวนชายแดนนอกกรุงเทพฯ จนถึงวันที่ 9 กรกฎาคมจึงได้รับการประกันตัวออกมา
เขาบอกผู้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่ได้ถูกขังคุก “มัน...เป็นบ้านพักในค่ายตำรวจ ตชด. ใช้โทรศัพท์ได้ มีคนมาเยี่ยมได้....มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน มีทีวีให้ดู แอบเอาโทรศัพท์เข้าไปเล่นเฟซบุ๊กข้างใน....ผมเชื่อมโยงการต่อสู้ภายในที่ถูกควบคุมตัวกับโลกข้างนอกได้ ผมไม่ได้นอนเฉยๆ แต่คิดตลอดเวลาว่าผมจะสู้จากการอยู่ข้างในยังไง คิดถึงขนาด พอเขาปล่อยกู กูจะไปผูกผ้า ผมคิด แต่เรียนนะครับว่าผมไม่ได้ไปหลอกให้มันจับและทำแบบนี้...พอออกไปปุ๊บก็รู้เลย ยิ่งเจอ มติชนสุดสัปดาห์ ปกที่ชูนิ้วกลาง ผมรู้แล้วว่าอยู่ในสถานะที่ต่อสู้ต่อได้ ผมก็ต่อทันที [หมายถึงกิจกรรมผูกผ้าแดงที่ราชประสงค์]” [14]
เขาไปทำกิจกรรมที่ราชประสงค์ร่วมกับคนอื่นๆ ทุกวันอาทิตย์ วันที่ 11 กรกฎาคม สองวันหลังจากได้รับการปล่อยตัว สมบัติก็ไปผูกผ้าแดงที่ราชประสงค์กับเพื่อนอีก 50 คน อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในวันที่ 18 กรกฎาคม เขากลับไปทำกิจกรรมเดิมอีก แต่ครั้งนี้กรมตำรวจระดมตำรวจปราบจลาจลกว่าร้อยนายมาคุมพื้นที่และจับกุมสมาชิกนักกิจกรรมคนหนึ่งด้วยข้อหาส่งเสียงดังในที่สาธารณะ ในที่สุดฝ่ายรัฐก็ตัดสินใจว่าตนเองอดทนต่อความน่าพรั่นของการผูกผ้าแดงนี้พอแล้ว จึงจัดการย้ายเสาป้ายสี่แยกราชประสงค์ที่กลุ่มผู้ประท้วงใช้ผูกผ้าแดงออกจากพื้นที่เสียเลย
วันที่ 25 กรกฎาคม กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงจัดกิจกรรมเต้นแอโรบิคบริเวณสวนลุมพินีโดยมีประชาชนเข้าร่วมกว่า 500 คน จากนั้นในวันที่ 1 สิงหาคม พวกเขาก็จัดการแสดง “ที่นี่มีคนตาย” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การแสดงชุดนี้จัดขึ้นตรงจุดที่เคยมีผู้ประท้วงเสียชีวิตจริงๆ โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมแต่งหน้าแต่งกายเป็นผี ผีเหล่านี้ถือป้ายเขียนข้อความที่ดัดแปลงมาจากประโยคดังในหนังของบรู๊ซ วิลลิส เรื่อง The Sixth Sense ว่า “ฉันเห็นคนตายทุกหนแห่ง!” ในวันที่ 8 สิงหาคม สมบัตินำผู้คนจำนวน 500 คนวิ่งรอบสวนสันติภาพเป็นระยะทาง 700 เมตร วันที่ 15 สิงหาคม มีการจัดกิจกรรมปิกนิกข้าวแดง (ข้าวแดงเป็นอาหารที่ให้คนคุกกิน) ที่สวนรถไฟและมีคนมาเข้าร่วมประมาณหนึ่งพันคน วันที่ 22 สิงหาคม เขาพาเพื่อนนักกิจกรรมเดินทางสู่ภาคเหนือเพื่อจัดกิจกรรมในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นครั้งแรกที่กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงมีการเคลื่อนไหวนอกเมืองหลวง วันที่ 29 สิงหาคม กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงจัดงาน “แดงเดินห้าง” ในกิจกรรมที่เรียกว่า “ช้อปช่วยชาติ” ซึ่งมีผู้เข้าร่วมราวสองพันคน กิจกรรมนี้มีนัยยะหลายประการ เนื่องจากการสังหารหมู่ในเดือนพฤษภาคม 2553 เกิดขึ้นตรงสี่แยกที่แวดล้อมไปด้วยศูนย์การค้าหรู และหากดูจากจำนวนศูนย์การค้าในกรุงเทพฯ เราก็พอทึกทักได้ว่าชาวกรุงเทพฯ ชื่นชอบการช้อปปิ้ง วันที่ 5 กันยายน กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงสัญจรไปภาคตะวันออกที่จังหวัดชลบุรีเพื่อร่วมกิจกรรม “แดงลงทะเล” วันที่ 12 กันยายน นักปั่นจักรยาน 60 คนขี่จักรยานไปตาม “เส้นทางสายเลือด” ใกล้สี่แยกศาลาแดง ซึ่งเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เกิดเหตุรุนแรงเมื่อผู้นำการต่อสู้คนหนึ่งถูกลอบสังหารเสียชีวิต วันที่ 19 กันยายน วันครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 2549 ที่สร้างหายนะให้ประเทศและครบ 4 เดือนหลังการกดขี่ปราบปราม สมบัตินำประชาชนกลับมาที่สี่แยกราชประสงค์และปล่อยลูกโป่ง 10,000 ลูกขึ้นสู่ท้องฟ้า อีกทั้งผูกผ้าแดง 100,000 ผืน มีประชาชนมาร่วมกิจกรรมนี้กว่า 10,000 คน เกินความคาดหมายของทั้งผู้จัดกิจกรรมและตำรวจ [15]
เมื่อถูกถามว่าเขาพยายามทำอะไรกันแน่? นี่คือคำตอบ “หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุม ผมคิดเรื่องการยึดพื้นที่ทางสัญลักษณ์คืนให้ได้ เพราะจุดที่จะร้อยมวลชนเข้าหากันได้ ต้องร้อยด้วยสัญลักษณ์ ไม่งั้นไม่รู้จะกอบกู้ยังไง มวลชนที่แตกกระเจิง ทุกคนเอาสัญลักษณ์เก็บ จนไม่รู้ใครเป็นใคร ใครยังสู้อยู่ มีสภาพยังไง การใช้สัญลักษณ์สีแดงอยู่ คือการปักธง การยืนยันที่จะใส่เสื้อแดงอยู่ มันสะท้อนถึงการรวบรวมจิตวิญญาณที่ต่อสู้ ผมอยากกอบกู้สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา จึงเสนอว่าให้ใช้วันอาทิตย์สีแดง ซึ่งเป็นสิ่งที่มวลชนสามารถทำร่วมกันได้โดยใส่เสื้อสีแดงอีกครั้ง หลังจากโดนสลาย โดนให้ร้ายป้ายสี เราต้องปรากฏตัวให้ได้ว่าเรายังเป็นเสื้อแดง ผมใช้การเคลื่อนไหวบนเฟซบุ๊ก ใช้เสื้อแดงให้เป็นภาพเดียวกัน ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายหน่อย... ผมคิดว่าผมได้ซัพพอร์ท ‘จิตใจ’ รวบรวมคนที่แตกพ่ายกลับขึ้นมาได้แล้ว ตอนนี้คนที่ล้มอยู่ ลุกยืนได้แล้ว นี่คือสิ่งที่ผมและวันอาทิตย์สีแดงทำ” [16]
สมบัติเชื่อว่าแทนที่จะเดินขบวนและจัดการประท้วงขนาดใหญ่ เราควรใช้การรณรงค์เชิงสัญลักษณ์อย่างก้าวร้าวดุดันเข้มข้นเพื่อ “กดดันรัฐบาลจนประสาทเสียได้เลย” ประเด็นสำคัญที่ต้องชี้ให้เห็นก็คือ สำหรับสมบัติ การเปิดแนวรบเชิงสัญลักษณ์เช่นนี้ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแค่ยุทธวิธีเสริมแบบสันติวิธี แต่ตั้งใจให้เป็นแนวรบหลักที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง และสำหรับเขา “ถ้าตั้งใจเป็นแนวรบหลักเลยก็สนุก” [17] แต่ในเมื่อตอนนี้กลุ่ม “วันอาทิตย์สีแดง” เริ่มมีพลังขับเคลื่อนและกำลังรุกคืบด้วยปฏิบัติการสันติวิธีเชิงสร้างสรรค์ ขบวนการจะหล่อเลี้ยงตัวเองอย่างไร ในเมื่อปฏิบัติการส่วนใหญ่กระทำการในกรอบเวลาระยะสั้นมากด้วยวิธีการไร้ความรุนแรงแบบแฟลชม็อบ เมื่อเปรียบเทียบกับการเดินขบวนของมวลชนหรือการยึดพื้นที่สาธารณะดังที่เคยเห็นกันมาก่อนหน้านี้?
สมบัติริเริ่มแนวทางบางอย่างที่ตรงกันข้ามกับ “แกนนำ” หรือ “กลุ่มผู้นำแนวตั้ง” และแทนที่ด้วยแนวทางที่เรียกว่า “แกนนอน” หรือ “กลุ่มผู้นำแนวนอน” ถึงแม้ผู้เขียนเชื่อว่า เขาคงชอบคำว่า “แกนนำสบายๆ” หรือ “แกนนอนเอกเขนก” มากกว่า ยกตัวอย่างกิจกรรม “วันอาทิตย์สีแดง” กับการผูกผ้าแดง 100,000 ผืนที่สี่แยกราชประสงค์ เขาอธิบายว่าแค่จำนวนคนที่มาเข้าร่วมก็เกินความเพ้อฝันที่เพ้อเจ้อที่สุดที่เขาเคยมี การจัดตั้งการประท้วงกลายเป็น “แกนนอน” (self-organization) (ตามคำศัพท์ของเขา) โดยเริ่มจากล่างขึ้นบน ไม่ต้องมีผู้นำ ไม่ต้องมีกิจกรรมใหญ่ๆ ไม่มีอะไรชัดเจน แต่มีคนเยอะๆ “อารมณ์ ความรู้สึก และโทนของมัน เป็นการชุมนุมที่แตกต่างจากการชุมนุมทั้งหมด ไม่เหมือนใครเลยเมื่อเทียบกับการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา มันมีบุคลิกของตัวเอง มันไม่มีเวทีปราศรัย ไม่มีผู้นำ ไม่มีการกำหนดเลยว่าใครจะทำอะไร ไม่มี แม้แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้... ตำรวจมาบอกให้ผมหยุด ผมบอกว่าผมสั่งใครไม่ได้ แล้วที่น่าสนใจก็คือคนเสื้อแดงใช้เวลาอยู่ราชประสงค์แค่ช่วงสั้นๆ เป็น flash mob ทำเสร็จแล้วเลิก มันแปลกที่... มีทฤษฎีว่าปลุกม็อบไม่ยาก ดาวน์ม็อบยากกว่า ของเราเป็นไปเอง มาเอง กลับเอง โดยไม่มีใครมาบอก จัดการเองหมด ไม่สามารถกำหนดอะไรได้ เกิดสิ่งแปลกๆ คือใยแมงมุมสีแดง ผมรับรองว่าไม่มีใครคิดได้ ไม่มีใครกล้าคิด แต่พอคนจำนวนมากมาอยู่ร่วมกัน มีความรู้สึกเดียวกัน มันเกิดขึ้นเอง เป็นการด้น แสดงสด ศิลปะสด ผมแค่เอาผ้ามาผูกเสาให้แดงๆ แต่ใยแมงมุมเกิดได้ยังไง งงมาก ใครคิด ไม่มีใครตั้งใจ เป็นคุณภาพของมวลชนที่เมื่อถึงจุดหนึ่งมันเกิดปรากฏการณ์ เป็นของมันเช่นนั้นเอง และผมว่ามันเยี่ยมมาก” [18]
สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับการที่มีประชาชนกว่า 10,000 คนมาชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน 2553 ก็คือ ประชาชนไม่หวาดกลัวอีกต่อไป เมื่อหลุดพ้นจากความหวาดกลัว พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็กลายเป็นเรื่องตลก กฎหมายมีไว้สร้างความกลัว แต่ “เราใช้ความตลก ใช้สัญลักษณ์ แทงสวนมันขึ้นไป ทำให้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ซึ่งเป็นพลังของความน่ากลัวกลายเป็นตัวตลก...เป็นการสู้กันในระดับจิต มองไม่เห็นและพลิกเกมเลย ฟื้นขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว แต่อยู่ในช่วงของการลุกขึ้นยืน ไม่ใช่จังหวะของการรุกไล่... สิ่งที่ผมทำต่อจากนี้คือหาทางเดิน ไม่ใช่หาทางยืน ผมทำเรื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ เปลี่ยนมวลชนเป็นผู้ปฏิบัติงาน” [19]
เพื่อการนี้ เขาเริ่มก่อตั้งโรงเรียนฝึกอบรมให้คนกลายเป็น “แกนนอน” หรือ “ผู้นำแนวนอน” ขบวนการคือตัวเขาเองและเขาหาทุนด้วยการขายเสื้อยืด โรงเรียนแกนนอนสอน 4 เนื้อหา นั่นคือ ทบทวนมุมมองประชาธิปไตยเพื่อมองให้เห็นความเป็นสามัญชนในหมู่คนเสื้อแดง อภิปรายถึงวิธีทำการตลาดประชาธิปไตยโดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย พฤติกรรมและเทคนิคการสื่อสาร สำรวจหาวิธีการจัดตั้งและบริหารจัดการองค์กรประชาธิปไตย และเนื้อหาสุดท้ายคือออกแบบกิจกรรมโดยไม่ต้องอาศัยกิจกรรมแบบเดิมๆ อย่างการปราศรัยหรือจัดคอนเสิร์ต [20]
เมื่อผู้เขียนอ่านคำให้สัมภาษณ์ของสมบัติและได้พูดคุยกับเขา ผู้เขียนอดครุ่นคิดไม่ได้ว่าปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ผู้เขียนขอเสนอว่า การกดขี่ปราบปรามมีบทบาทในการก่อให้เกิดปฏิบัติการสันติวิธีเชิงสร้างสรรค์ของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ในฐานะผู้ศึกษาปรัชญาการเมือง ผู้เขียนคิดว่าแนวคิดของมาเกียเวลลี (Machiavelli) ใน The Prince บทที่ 6 มีประเด็นสอดรับกัน มาเกียเวลลีเขียนไว้ว่า “ดังนั้น จำเป็นที่โมเสสพึงค้นพบประชาชาติอิสราเอลที่ตกเป็นทาสในอียิปต์และถูกชาวอียิปต์กดขี่ ประชาชนเหล่านั้นจึงยินยอมติดตามโมเสสไปเพื่อจะได้หลุดพ้นจากพันธนาการ จำเป็นที่โรมิวลัสพึงไม่อยู่ต่อไปในเมืองอัลบา [21] และควรแล้วที่เขาถูกทิ้งตั้งแต่เกิด เพื่อที่เขาจะได้เป็นกษัตริย์แห่งโรมและผู้สถาปนาปิตุภูมิแห่งนี้ จำเป็นที่ไซรัสพึงค้นพบว่าชาวเปอร์เซียไม่พอใจรัฐบาลของชาวมี้ด [22] อีกทั้งชาวมี้ดก็อ่อนแอป้อแป้เนื่องจากอยู่อย่างสงบสุขมายาวนาน ธีเซียส [23] คงไม่ได้สำแดงความสามารถ หากมิใช่เพราะเขาพบว่าชาวเอเธนส์แตกฉานซ่านเซ็น ด้วยเหตุนี้เอง โอกาสเปิดช่องให้คนเหล่านี้ และความสามารถอันสูงส่งของพวกเขาช่วยให้พวกเขาตระหนักถึงโอกาส ประเทศของพวกเขาจึงยิ่งใหญ่และเลื่องระบือนาม” [24]
หากมาเกียเวลลีกล่าวได้อย่างถูกต้องว่า การกดขี่คือเงื่อนไขจำเป็นของการก่อเกิดจุดเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งใหม่นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยเฉพาะในกรณีของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงที่กล่าวถึงข้างต้น? ผู้เขียนขอย้อนกลับมาสู่ยุคสมัยใหม่มากขึ้นและหยิบยกทฤษฎีเกี่ยวกับความรุนแรง ในที่นี้ ภูมิปัญญาของฟาน็องช่วยอธิบายได้
ฟรานซ์ ฟาน็อง [25] ยืนยันว่า ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการรื้อถอนโครงสร้างอาณานิคม ความรุนแรงไม่เพียงทำลายโครงสร้างอาณานิคมที่เป็นทางการ แต่ยังสร้างความแปลกแยกให้แก่จิตสำนึกของชาวพื้นเมือง เนื่องจากมันปลดปล่อยชาวพื้นเมืองจากความรู้สึกต้อยต่ำและอดสู ซึ่งเป็นภาวะทางจิตใจที่ระบอบอาณานิคมปลูกฝังไว้ และความรุนแรงช่วยฟื้นคืนชาวพื้นเมืองสู่ความเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยม นี่คือเหตุผลที่ฟาน็องมองว่าความรุนแรงเป็นพลังชำระล้าง ไม่ต่างจากพิธีบัพติศมาหรือศีลล้างบาปในศาสนาคริสต์ที่ยุติชีวิตในอดีตของคนคนหนึ่งและเริ่มชีวิตใหม่ของคนคนนั้นในฐานะมนุษย์ [26] แต่ทฤษฎีของฟาน็องวางพื้นฐานบนผลกระทบที่ความรุนแรงมีต่อปัจเจกบุคคล แต่คำถามคือ แล้วอะไรคือผลกระทบที่ความรุนแรงมีต่อขบวนการ?
เมื่อผสมผสานความคิดของมาเกียเวลลีกับฟาน็องเข้าด้วยกัน ผู้เขียนขอกล่าวว่า การกดขี่ปราบปรามด้วยความรุนแรงของรัฐบาลได้บั่นทอนขบวนการเสื้อแดงด้วยความหวาดกลัวในชั่วขณะนั้น เมื่อแกนนำทุกคนถูกจับกุม รวมทั้งแกนนำบางคนที่เคยสนับสนุนทางเลือกที่ใช้ความรุนแรงมาก่อนหน้านั้นด้วย คนที่เหลือต่างตกอยู่ในภาวะอ่อนเปลี้ยทั้งจากความกลัวและความโกรธแค้น เงื่อนไขจำเป็นที่การปราบปรามด้วยความรุนแรงสร้างขึ้นจนนำไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่ในกรณีนี้ ก็คือการพรากขบวนการจากแกนนำแบบเดิมๆ และสร้างช่องว่างของเทศะขึ้นเพื่อรอโฉมหน้าใหม่ของขบวนการ กิจกรรมของสมบัติเข้ามาเติมเต็มช่องว่างของเทศะนี้ด้วยพลังสร้างสรรค์แปลกใหม่ แตกต่างอย่างมากจากที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้ เขาทำได้เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเสื้อแดงมาตั้งแต่แรก เขามีความน่าเชื่อถือเป็นทุนรอนในการนำเสนอปฏิบัติการ เขาได้รับความไว้วางใจจากคนจำนวนมากในฐานะหนึ่งในบรรดาแกนนำขบวนประท้วงที่มีภาวะผู้นำ แต่ความสามารถนี้ไม่มีโอกาสฉายชัดตราบที่แกนนำแบบเดิมๆ คนอื่นๆ ยังนำขบวนการอยู่
ในขณะที่การปราบปรามด้วยความรุนแรงก่อให้เกิดช่องว่างของเทศะที่จำเป็นต่อจุดเริ่มต้นใหม่ ปฏิบัติการสันติวิธีเชิงสร้างสรรค์ของสมบัติได้ดึงเอาพลวัตของผลกระทบจากความรุนแรงออกมา โดยเสนอปฏิบัติการสันติวิธีเป็นเครื่องมือชำระล้างผลตกค้างของความรุนแรงที่มีต่อขบวนการ ด้วยการเชื้อเชิญสามัญชนผู้พ่ายแพ้ให้รักษาความโกรธเกรี้ยวทางศีลธรรมไว้โดยไม่ยอมจำนนต่อความหวาดกลัว ปฏิบัติการสันติวิธีเชิงสร้างสรรค์ของสมบัติช่วยทดแทนการชำระล้างผลตกค้างของความรุนแรงด้วยการทำหน้าที่ดียิ่งกว่านั้นอีก นั่นคือ ประชาชนสามารถต่อสู้ต่อไป ทำให้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กลายเป็นเรื่องตลก และเดินหน้าต่อต้านขัดขืนโดยไม่ต้องสูญเสียชีวิต และที่สำคัญอย่างยิ่งคือสร้างความชอบธรรมขึ้นมาได้ในระดับที่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนในกรุงเทพฯ ซึ่งอาจไม่เห็นด้วยกับคนเสื้อแดงและยุทธวิธีที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้อกังขาว่าฝ่ายคนเสื้อแดงเองก็อาจใช้ความรุนแรงบางรูปแบบด้วย กระนั้น คนเหล่านี้ก็เห็นว่าความรุนแรงที่รัฐบาลใช้สลายการชุมนุมก็สมควรถูกตำหนิติเตียนไปจนถึงยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ประเด็นที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ผู้เขียนขอเสนอว่า กิจกรรมวันอาทิตย์สีแดงของสมบัติผุดขึ้นมา ณ จังหวะเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สุดสำหรับขบวนการต่อต้านขัดขืน ไม่ใช่แค่ช่องว่างของเทศะเท่านั้นที่สำคัญ ช่องว่างของเวลาก็สำคัญไม่แพ้กัน ช่องว่างของเวลาคือเวลาของการเลือก หลังจากการปราบปรามด้วยความรุนแรง มีสัญญาณตอบรับการใช้ความรุนแรงจากแกนนำเสื้อแดงคนอื่น เมื่อประกอบกับประวัติศาสตร์ของการต่อต้านขัดขืนในสังคมไทยที่บรรยายโดยสังเขปข้างต้น ความเป็นไปได้ที่ประชาชนจะเลือกการต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อสืบสานการต่อต้านขัดขืนต่อไปก็มีโอกาสเกิดขึ้นมากทีเดียว อันที่จริง ณ ชั่วขณะนั้น สิ่งที่ผู้เขียนวิตกมากที่สุดคือผลกระทบของความรุนแรงที่จะผลักคนให้สุดขั้ว ทั้งยังมีคำเล่าลือดังมาให้ได้ยินว่าคนบางกลุ่มเริ่มคิดลงใต้ดินเพื่อเตรียมการต่อสู้ด้วยอาวุธ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ลองดูไอร์แลนด์เหนือเป็นตัวอย่าง ขบวนการสิทธิพลเมืองในช่วงทศวรรษ 1960 มีความเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในภายหลัง ในตอนเริ่มต้น ถึงแม้มีความขัดแย้งถึงรากลึก แต่ไม่มีการฆ่ากันตาย หลังจากนั้นตั้งแต่ ค.ศ. 1969-1972 มีประชาชนเสียชีวิตถึง 497 คน หากดูจากแบบแผนพื้นฐานทั่วๆ ไปของการยกระดับความรุนแรง เราสามารถชี้ให้เห็นว่า องค์ประกอบสำคัญที่สุดก็คือข้ออ้างเหตุผลที่สนับสนุนการต่อสู้อย่างก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นแค่ข้ออ้างดาดๆ และไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก แต่กลับกลายเป็นข้ออ้างอันชอบธรรมขึ้นมาในความขัดแย้งที่เป็นผลจากการที่รัฐใช้ความรุนแรงในการปราบปรามประชาชน เงื่อนไขนี้เอื้ออำนวยให้ขบวนการ IRA สบช่องขยายกลายร่างเป็นองค์กรสังหารรายใหญ่ [27] ในช่องว่างของเวลา ถ้าปราศจากบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือระดับหนึ่งและมีจินตนาการอันน่าทึ่งก้าวออกมาพร้อมปฏิบัติการสันติวิธีเชิงสร้างสรรค์ที่ปฏิบัติได้จริงและโน้มน้าวผู้คนได้ ช่วงเวลานั้นอาจถูกฉกชิงไปและขบวนการต่อต้านขัดขืนก็อาจตกสู่หลุมพรางของการใช้ความรุนแรง
บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากปฏิบัติการสันติวิธีเชิงสร้างสรรค์
เมื่อผู้เขียนถกเถียงกับปัญญาชนไทยบางคนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการต่อสู้ด้วยอาวุธหลังการสลายการชุมนุมครั้งนี้ ปัญญาชนหลายคนชี้ว่า พ.ศ. 2553 ไม่เหมือนกับ พ.ศ. 2519 ในสมัยนั้น เมื่อต้องเผชิญการกดขี่ปราบปรามอย่างป่าเถื่อนของรัฐไทย นักศึกษาและประชาชนหนีจากเมืองมุ่งหน้าสู่ป่าเพื่อเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในยุคปัจจุบัน ไม่มี พคท. รอรับนักสู้ผู้พ่ายแพ้แล้ว พื้นที่ป่าส่วนใหญ่กลายเป็นรีสอร์ตรอรับนักท่องเที่ยวแทน ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่การปราบปรามจะส่งผลลัพธ์กลายเป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ ถึงแม้ผู้เขียนมองเห็นเช่นกันว่าบริบทเปลี่ยนไปจากเมื่อสามสิบปีก่อน กระนั้นความเปลี่ยนแปลงก็ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่ๆ เช่นกัน ในศตวรรษที่ 21 บางครั้งแค่คนคนเดียวหรือไม่กี่คนที่ใช้ความรุนแรงก็สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ชีวิตผู้คนตลอดจนอนาคตทางการเมืองได้ ยกตัวอย่างเช่น อันเดอร์ส แบริง ไบรวิก [28] ชาวนอร์เวย์ที่สังหารหมู่ประชาชนถึง 77 คนเมื่อ พ.ศ. 2554 นี่คงเป็นสิ่งที่อัปปาดูไร [29] หมายถึงเมื่อเขาเตือนโลกยุคโลกาภิวัตน์ให้เกรงกลัวคนจำนวนหยิบมือที่สามารถสร้างภัยสยองด้วยวิธีการรุนแรงใหม่ๆ [30]
กระนั้นก็ตาม ทั้งหมดที่อภิปรายมาคือกรณีศึกษาของปฏิบัติการสันติวิธีเชิงสร้างสรรค์ กรณีนี้ขึ้นอยู่กับความพิเศษเฉพาะหลายประการด้วยกัน อาทิ การมีผู้นำอย่างสมบัติ ซึ่งเป็นนักกิจกรรมที่มีภูมิหลังด้านการละคร ทั้งยังชอบอ่านหนังสือฮาวทูและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้คล่องแคล่ว หรือสภาพแวดล้อมทางการเมืองเฉพาะเจาะจงบางอย่างที่ก่อให้เกิดขบวนการเสื้อแดง ซึ่งสามารถระดมมวลชนทั้งชาวชนบทและปัญญาชนฝ่ายซ้ายภายใต้การนำของอภิมหาเศรษฐีที่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์ กรณีศึกษาเช่นนี้จะมีปฏิสังสรรค์กับแนวคิดการต่อต้านขัดขืนอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการต่อต้านขัดขืนแบบสันติวิธี?
ผู้เขียนเชื่อว่ามีอย่างน้อย 4 ประเด็นให้เราได้ขบคิดกัน
ประการแรก มีผู้เสนอแนวคิดว่า เหตุการณ์อาหรับสปริง ใน ค.ศ. 2011 มีความคล้ายคลึงอย่างมากกับ “คลื่นการปฏิวัติ” ค.ศ. 1848 [31] เพราะทั้งสองเหตุการณ์มีลักษณะของกระแสที่กระเพื่อมออกไปทั่วทั้งภูมิภาคด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ ทว่าก่อให้เกิดความก้าวหน้าไม่มากนักในแง่ของเสรีภาพและประชาธิปไตย นอกจากมองไม่เห็นความแตกต่างของแต่ละประเทศและประเมินความสำเร็จของชาวตูนิเซียสูงเกินไปแล้ว หนึ่งในเหตุผลที่นำเสนอก็คือ สังคมอาหรับมีการจัดตั้งที่อ่อนแอและถูกกดทับมาตลอด ขาดความเข้มข้นขององค์กรจัดตั้ง ฝ่ายค้านอ่อนปวกเปียกและภาคประชาสังคมก็แตกแยกดังเช่นในกรณีของอียิปต์ [32] ถึงแม้เราอาจตั้งคำถามต่อข้อสรุปในลักษณะนี้ได้ว่าเกิดจากการขาดความเข้าใจสังคมอาหรับอันเป็นผลมาจากแนวคิดแบบ “บูรพนิยม” (Orientalism) และการวางยุโรปเป็นศูนย์กลาง (Euro-Centrism) รวมไปถึงอคติอื่นๆ [33] อีกทั้งสังคมไทยก็แตกต่างอย่างชัดเจนจากสังคม “อาหรับ” แต่เห็นได้ชัดว่าประวัติศาสตร์ของการต่อต้านขัดขืนมีความสำคัญอย่างยิ่ง สังคมไทยมีประวัติศาสตร์ของการต่อต้านขัดขืนยาวนาน ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ประชาชนจะรวมตัวกันและร่วมกันดำเนินกิจกรรมทางการเมืองบางอย่าง ทั้งในพื้นที่ทางกายภาพดังเช่นสมัยก่อนและในพื้นที่ไซเบอร์สเปซดังเช่นสมัยนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่า หากสังคมใดปราศจากประวัติศาสตร์ของการต่อต้านขัดขืน สังคมนั้นก็จะไม่มีการต่อต้านขัดขืนเกิดขึ้น ผู้เขียนหมายความดังนี้ต่างหากว่า หากสังคมใดมีประวัติศาสตร์ของการต่อต้านขัดขืน ไม่ว่าด้วยความรุนแรงหรือสันติวิธีก็ตาม ก็มีความเป็นไปได้สูงขึ้นว่าสังคมนั้นจะมีการจัดตั้งการต่อต้านขัดขืนแบบสันติวิธีเกิดขึ้นภายหลังการปราบปรามด้วยความรุนแรง
ประการที่สอง ข้อสรุปประการหนึ่งในหนังสือระดับรางวัลอย่าง Why Civil Resistance Works ของ Chenoweth และ Stephan ก็คือ ความหลากหลายของผู้เข้าร่วมมีความสำคัญเท่าๆ กับจำนวน ทั้งสองหยิบยกการต่อสู้ด้วยความรุนแรงของกองทัพประชาชนใหม่ (New People’s Army-NPA) ในฟิลิปปินส์เป็นตัวอย่าง และให้เหตุผลว่า NPA มีลักษณะปิดตัวเองอย่างมากสืบเนื่องจากอุดมการณ์มาร์กซิสต์ ดังนั้นจึงมีสายสัมพันธ์ที่จำกัดมากกับภาคส่วนต่างๆ ในระบอบการปกครองเดิม ในขณะที่ขบวนการที่มีความหลากหลายมากกว่าก็จะมีสายสัมพันธ์มากกว่า เงื่อนไขนี้เองที่ทำให้ NPA มีโอกาสน้อยลงที่จะสร้างความแตกแยกขึ้นมาภายในระบอบการปกครองเดิม [34] ความหลากหลายเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เมื่อผู้เขียนนึกถึงขบวนการเสื้อแดง ผู้เขียนพบว่าภายในขบวนการมีความหลากหลายมาก เพราะร้อยละ 20 ของผู้ประท้วงเป็นแรงงานคอปกขาว ร้อยละ 16 มีธุรกิจขนาดเล็ก ร้อยละ 12 เป็นผู้ประกอบการ ร้อยละ 10 เป็นข้าราชการ และมีเพียงร้อยละ 1.6 เท่านั้นที่เป็นเกษตรกร [35] กระนั้นก็ตาม ถึงแม้เต็มไปด้วยความหลากหลาย แต่ขบวนการนี้ก็อาจหันไปหาความรุนแรงได้ เพราะบริบทของสังคมไทยในปัจจุบันมีการแบ่งแยกแตกขั้วอย่างหนัก คำถามในตอนนั้นก็คือ การแบ่งแยกแตกขั้วอย่างร้ายแรงนี้มีผลกระทบอะไรบ้างต่อขบวนการต่อต้านขัดขืน? ผลกระทบของการแบ่งแยกแตกขั้วสามารถกลบทับพลังของความหลากหลายและลดทอนความเป็นไปได้ในการแสวงหาหนทางสู่ปฏิบัติการสันติวิธีหรือไม่? มีปัจจัยอะไรบ้างที่จำเป็นในการต้านทานพลังของการแบ่งแยกแตกขั้ว ธำรงรักษาความหลากหลายและยังคงเปิดกว้างให้ขบวนการมีโอกาสเลือกปฏิบัติการสันติวิธี?
ประการที่สาม ในงานศึกษาขบวนการแห่งชาติปาเลสไตน์ (Palestinian National Movement) ซึ่งครอบคลุมเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ Pearlman ตั้งคำถามที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือ ทำไมนักกิจกรรมบางคนจึงเลือกยุทธวิธีแบบไม่ใช้ความรุนแรง ในขณะที่บางคนเลือกใช้ความรุนแรง เธอเสนอเหตุผลว่าการที่ขบวนการหนึ่งๆ จะเลือกใช้สันติวิธี ขบวนการนั้นต้องมีวินัย มีทิศทางของยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและมีการประสานความร่วมมือ ซึ่งขบวนการที่มีเอกภาพเท่านั้นจึงจะมีสิ่งเหล่านี้ได้ อันที่จริงเธอชี้ให้เห็นว่า “ในขณะที่หนทางสู่ความรุนแรงมีหลากหลาย แต่หนทางสู่การประท้วงอย่างสันติวิธีมีหนทางหลักเพียงทางเดียว นั่นคือ หนทางที่มีเงื่อนไขว่าขบวนการต้องมีหรือต้องสร้างความสามัคคีเหนียวแน่นภายในขบวนการ” [36] หากพิจารณาขบวนการเสื้อแดงจากข้อสันนิษฐานของ Pearlman เราอาจมองเห็นว่า เหตุผลหนึ่งที่สมบัติและกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงไม่สามารถก้าวขึ้นมามีอิทธิพลมากกว่านี้ในขบวนการเสื้อแดงก่อนการปราบปรามด้วยความรุนแรง นั่นคงเป็นเพราะขบวนการเสื้อแดงมีความเป็นเอกภาพและเหนียวแน่นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่มีพื้นที่เปิดกว้างเพียงพอสำหรับการนำในแบบอื่นๆ ซึ่งอาจนำพาขบวนการไปในทิศทางที่เข้าใกล้ปฏิบัติการสันติวิธีมากขึ้น กระทั่งหลังการปราบปรามด้วยความรุนแรงที่ทำลายขบวนการและโครงสร้างที่มีเอกภาพลง ขบวนการที่มุ่งมั่นในแนวทางสันติวิธีมากกว่าและมีความคิดสร้างสรรค์อย่างยิ่งดังเช่นกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงจึงสามารถปรากฏตัวออกมา ดูเหมือนมีหลายคำถามที่สอดคล้องในที่นี้ เมื่อไรที่ขบวนการสันติวิธีต้องการความเหนียวแน่นมากที่สุด? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะจินตนาการว่า ความเหนียวแน่นก็เป็นคุณสมบัติที่อาจบั่นทอนช่องทางสู่สันติวิธีของขบวนการหนึ่งๆ ได้เช่นกัน? มีคุณสมบัติใดที่ขบวนการสันติวิธีอาจต้องการนอกเหนือจากความเหนียวแน่นหรือไม่? เมื่อพิจารณาจากกรณีของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง อาจมีบางเวลาที่ขบวนการต้องการความเหนียวแน่นน้อยลงเพื่อก้าวสู่แนวทางสันติวิธี เช่น เมื่อการปราบปรามด้วยความรุนแรงกำลังจะเกิดขึ้น เป็นต้น แน่นอน มีบางเวลาที่ขบวนการต้องการความเหนียวแน่นมากขึ้น เช่น ภายหลังการปราบปรามด้วยความรุนแรง และประชาชนโหยหาความรู้สึกผูกพันเชื่อมต่อเพื่อฟื้นคืนความแข็งแกร่งมาชุบชีวิตให้ขบวนการด้วยปฏิบัติการสันติวิธีอีกครั้ง
ประการที่สี่ ในการวิเคราะห์การปฏิวัติด้วยสันติวิธี 6 ครั้ง ซึ่งมีทั้งการปฏิวัติต่อต้านระบอบสังคมนิยม (จีนและเยอรมนีตะวันออก) ต่อต้านระบอบทหาร (ปานามาและชิลี) และต่อต้านระบอบผู้นำเผด็จการ (เคนยาและฟิลิปปินส์) ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1980 จนถึงทศวรรษ 1990 Nepstad พบว่าในการปฏิวัติด้วยสันติวิธีที่ประสบความสำเร็จทุกกรณีที่เธอศึกษานั้น การที่กองกำลังความมั่นคงถอนความสนับสนุนที่มีต่อระบอบนั้นๆ เป็นปัจจัยเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด เนื่องจากมันทำลายอำนาจการบังคับข่มขู่ของรัฐอย่างชะงัด [37] ในบทวิจารณ์งานของ Nepstad นั้น Pearlman ตั้งคำถามว่า การที่กองกำลังความมั่นคงถอนความสนับสนุนต่อระบอบเป็นประเด็นเชิงยุทธศาสตร์หรือโครงสร้าง เธอตั้งคำถามอย่างแหลมคมว่า พฤติกรรมหนึ่งๆ สามารถเป็นยุทธวิธี ยุทธศาสตร์และไม่ได้ตั้งใจไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร? [38] ถ้าเช่นนั้น กิจกรรมผูกผ้าแดงของกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงเป็นยุทธวิธีหรือยุทธศาสตร์? หรือเราสามารถกล่าวได้ไหมว่า ครั้งแรกที่สมบัติไปผูกผ้าแดงที่เสาป้ายสี่แยกราชประสงค์ในวันที่ 26 มิถุนายน 2553 เป็นปฏิบัติการอย่างเดียวกันกับเมื่อเขาร่วมกับประชาชนอีก 10,000 คนผูกผ้าแดง 100,000 ผืนในสถานที่เดิมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2553? หากคำตอบคือไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่ปฏิบัติการเดียวกันอาจเป็นยุทธวิธี ณ เวลาหนึ่งและเป็นยุทธศาสตร์ ณ อีกเวลาหนึ่ง? ยิ่งกว่านั้น ถึงแม้ Pearlman ตั้งคำถามไว้ก็ตาม แต่เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะจินตนาการถึงปฏิบัติการที่เป็นทั้งยุทธวิธีและยุทธศาสตร์ในเวลาเดียวกัน? เมื่อศาสดามูฮัมหมัดเดินทางอพยพจากเมืองเมกกะสู่เมืองเมดินาดังที่เรียกกันว่าฮิจเราะห์นั้น ถือเป็นการประท้วงด้วยการอพยพซึ่งเป็นปฏิบัติการสันติวิธีอย่างหนึ่งตามการจัดประเภทของ Sharp [39] เราสามารถนิยามได้ไหมว่า ปฏิบัติการนี้เป็นทั้งการเคลื่อนไหวเชิงยุทธวิธี เพราะพระนบีและสาวกกำลังหนีจากการรังควานทำร้าย และเป็นทั้งการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ในแง่ที่นำไปสู่ศูนย์กลางแห่งใหม่เพื่อกำเนิดขบวนการในเมืองยัทริบหรือเมดินา? ในขณะที่นักคิดนักเขียนส่วนใหญ่ดูเหมือนจัดรวมความสำคัญของยุทธวิธีเชิงสันติวิธีไว้ภายใต้ยุทธศาสตร์เชิงสันติวิธี แต่ Iain Atack เพิ่งสร้างข้อโต้แย้งเมื่อไม่นานมานี้ว่า การแบ่งเช่นนั้นไม่เป็นจริงในเชิงปฏิบัติ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งแบบแคบและแบบกว้างมักดำรงอยู่คู่กันในการรณรงค์เชิงสันติวิธีทุกๆ ครั้ง ทั้งนี้เพราะการรณรงค์เชิงสันติวิธีครั้งใดก็ตามมักประกอบด้วยแนวร่วมของกลุ่มต่างๆ ที่มีวัตถุประสงค์ของตนเอง วัตถุประสงค์นั้นอาจแคบในคนกลุ่มหนึ่ง แต่กว้างอย่างยิ่งในคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ [40] ผู้เขียนและคณะเพิ่งเสนอข้อโต้แย้งเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เราสามารถจงใจใช้ปฏิบัติการสันติวิธีเชิงยุทธวิธีบางอย่างภายในวัตถุประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ที่กว้างกว่าได้ ในขณะที่ปฏิบัติการบางอย่างอาจใช้ได้กับเป้าหมายที่แคบกว่ามาก [41] เป็นไปได้ไหมว่ายุทธวิธีนี่เองที่ให้ข้อมูลและอาจปรับโฉมหน้ายุทธศาสตร์ระยะยาวของขบวนการต่อต้านขัดขืนก็ได้? สำหรับสมบัติและกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง การใช้โซเชียลมีเดียใหม่ๆ เป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นยุทธวิธีที่อาจปรับโฉมหน้าแนวทางในการสร้างยุทธศาสตร์ของขบวนการอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปข้างหน้า
ข้อสรุป: ความสร้างสรรค์กับปฏิบัติการสันติวิธี
ปัญหาตอนนี้คือการทำความเข้าใจว่า ความสร้างสรรค์ทำงานอย่างไรในภาวะความขัดแย้งขั้นร้ายแรง ในงานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับการที่ทางเลือกแบบสร้างสรรค์ปรากฏขึ้นมาเพื่อแปรเปลี่ยนความขัดแย้ง โดยอาศัยการสร้างสรรค์หนทางแก้ไขความขัดแย้ง 16 ขั้นตอน ซึ่งครอบคลุมทั้งการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งสามฝ่ายระหว่างอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ การแก้ไขความขัดแย้งของเขตนิเวศวิทยาทวิภาคีในพื้นที่พรมแดนที่มีปัญหาระหว่างเปรู-เอกวาดอร์ ตลอดจนการรณรงค์สัตยาเคราะห์ครั้งแรกของคานธีในแอฟริกาใต้ตั้งแต่ ค.ศ. 1906-1914 Tatsushi Arai เสนอคำนิยามว่า ความสร้างสรรค์คือ “สมรรถภาพนอกกรอบ” ซึ่งผู้กระทำหรือกลุ่มผู้กระทำที่พัวพันในความขัดแย้งสามารถสร้างทางเลือกนอกกรอบในการแก้ไขปัญหาและ/หรือสร้างกระบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา พร้อมๆ กับทำให้คนอื่นๆ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มคล้อยตามว่า ทางเลือกนั้นเป็นหนทางที่เป็นไปได้ในการจัดการแก้ไขปัญหาของพวกตนจากมุมมองทั้งในเชิงหมู่คณะและในเชิงอัตวิสัย [42]
ในเอกสารชิ้นนี้ ผู้เขียนเสนอว่า ปฏิบัติการสันติวิธีเชิงสร้างสรรค์ของสมบัติกับกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงเป็นการริเริ่มที่เติมเต็มช่องว่างของเทศะ อันเป็นผลจากการกดขี่ปราบปราม ณ ชั่วขณะช่องว่างของเวลาเมื่อประชาชนที่ตกอยู่ในความเจ็บปวดและโกรธแค้นกำลังจะเลือกทางเลือกต่างๆ ในแง่นี้ ปฏิบัติการสันติวิธีเชิงสร้างสรรค์ที่กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงริเริ่มขึ้นมาได้เสนอ “สมรรถภาพนอกกรอบ” ให้แก่ผู้คนที่ถูกบดขยี้จากการปราบปรามด้วยความรุนแรง ปฏิบัติการที่สมบัติและกลุ่มของเขานำเสนอมีความเป็นไปได้และนอกกรอบเดิม ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถเติมเต็มช่องว่างของเทศะและช่วงชิงช่องว่างของเวลามาได้ในชั่วขณะที่เหมาะสม และด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงช่วยป้องกันไม่ให้ขบวนการเสื้อแดงหันไปใช้ความรุนแรง ซึ่งมิฉะนั้นแล้วคงจะฉีกทึ้งสังคมไทยเป็นชิ้นๆ จนพินาศด้วยสงครามกลางเมือง
อ้างอิง:
- “ผู้ก่อการแดงหวานเย็น” บทสัมภาษณ์สมบัติ บุญงามอนงค์ โดย วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ใน October 09 ฉบับ “Democracy” ปกป้อง จันวิทย์ (บก.) (กรุงเทพฯ: Openbooks, 2553), หน้า 148.
- กิจกรรมนี้จงใจอย่างเห็นได้ชัดและจึงมีความแตกต่างอยู่บ้างจากบางตัวอย่างที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออก ซึ่งกลายเป็นต้นเค้าของขบวนการโซลิดาริตี้หรือ Solidarinos ที่นำไปสู่จุดสิ้นสุดของจักรวรรดิโซเวียต ดังที่มีอภิปรายไว้ใน Jeffrey C. Goldfarb, The politics of small things: the power of the powerless in dark times (Chicago: The University of Chicago Press, 2007) .
- Ibid., pp.152-153.
- ข่าวสด, 20 กันยายน 2553.
- วรพจน์ พันธุ์พงศ์, “สมบัติ บุญงามอนงค์ : ว่าด้วยสงครามระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า,” ใน สถานการณ์ฉุกเฉิน (กรุงเทพฯ: บางลำพู, 2554), น. 153-154.
- เรื่องเดียวกัน.
- เรื่องเดียวกัน, หน้า 155-157. คำอธิบายของสมบัติชวนให้นึกถึงแนวคิดสำนักเฮเกลเกี่ยวกับปริมาณที่เปลี่ยนไปสู่คุณภาพ แต่คำว่า “suchness” ที่เขาใช้เป็นศัพท์พุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเรียกตัวเองว่า “ตถาคต” ซึ่งแปลว่า ผู้อยู่และไปแล้วเช่นนั้น หรือ “Suchness”
- เรื่องเดียวกัน, หน้า 158.
- เรื่องเดียวกัน, หน้า 161-163.
- Romulus หมายถึงบุคคลที่ในตำนานเล่าว่าเป็นผู้สร้างกรุงโรม โรมิวลัสมีพี่น้องฝาแฝดชื่อรีมัส มารดาของทั้งสองคือธิดาของราชาแห่งอาณาจักรอัลบา (Alba) ก่อนโรมิวลัสและรีมัสถือกำเนิด น้องชายของราชาแห่งอัลบาชิงอำนาจจากพี่ชายของตนและฆ่าทายาททุกคนที่เป็นเพศชาย เมื่อโรมิวลัสกับรีมัสคลอดออกมา ทั้งสองจึงถูกโยนทิ้งแม่น้ำ แต่รอดมาได้และได้รับการเลี้ยงดูจากสุนัขป่า จนกระทั่งได้ไปอยู่กับครอบครัวของคนเลี้ยงแกะ เมื่อทั้งสองเติบใหญ่ ก็ล้างแค้นได้สำเร็จ แต่ไม่ต้องการเป็นใหญ่ในอาณาจักรอัลบา พี่น้องแยกกันตั้งอาณาจักรใหม่ แต่แล้วก็ขัดแย้งกันเองและโรมิวลัสฆ่ารีมัสตาย จากนั้นโรมิวลัสก็ตั้งอาณาจักรใหม่ นั่นคือ กรุงโรม --ผู้แปล
- หมายถึงกษัตริย์ไซรัสที่สองแห่งเปอร์เซีย (Cyrus II of Persia) (600 หรือ 576-530 ก่อนคริสตกาล) มักเรียกกันว่า Cyrus the Great หรือ Cyrus the Elder ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิอะคีเมนิด (Achaemenid) ด้วยการรบชนะจักรวรรดิมีเดียนของชาวมี้ด (Mede) หรือชาวอิหร่านในปัจจุบัน --ผู้แปล
- Theseus วีรบุรุษในเทพปกรณัมกรีก บุตรของโพไซดอน ผู้สังหารมิโนทอร์ และเป็นผู้สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่เอเธนส์ --ผู้แปล
- Niccolo Machiavelli, The Prince on the Art of Power (W.K. Marriott Trans. 1908) (London: Duncan Baird Publishers, 2007), p. 54.
- Frantz Fanon (1925-1961) ชาวครีโอล (ผู้มีสายเลือดผสมระหว่างคนยุโรปกับคนผิวดำ) เชื้อสายฝรั่งเศส เขาเป็นทั้งนักปรัชญา นักจิตบำบัด นักปฏิวัติและนักเขียน ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อการศึกษาสำนัก post-colonial, critical theory ลัทธิมาร์กซิสต์ ตลอดจนนักมนุษย์นิยมเชิงอัตถิภาวนิยม (existentialist humanist) ผลงานของเขาเน้นหนักไปในด้านการศึกษาสภาพทางจิตใจในยุคอาณานิคม ตลอดจนผลพวงทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นตามมาหลังการปลดปล่อยอาณานิคม --ผู้แปล
- Emmanuel Hansen, Frantz Fanon: social and political thought (Columbus: Ohio State University Press, 1977), pp.121-122. สำหรับผู้ที่อาจรู้สึกว่าการอ้างถึงมาเกียเวลลีแล้วก็อ้างถึงฟาน็องในการอภิปรายเกี่ยวกับปฏิบัติการสันติวิธีนั้นออกจะเป็นการลบหลู่ ผู้เขียนขอกล่าวว่า อันที่จริงมีนักวิชาการที่อ้างเหตุผลสนับสนุนความเป็น “ฟาน็องนักมนุษยนิยม” เช่นกัน และสามารถเปรียบเทียบกับคานธีและแมนเดลาได้ ยกตัวอย่างเช่น Gail M. Presby, “Fanon on the Role of Violence in Liberation: A Comparison with Gandhi and Mandela,” in Lewis R. Gordon, T. Denean Sharpley-Whiting and Renee T. White (eds.) Fanon: A Critical Reader (Oxford: Blackwell Publishers, 1996), pp. 283-296.
- โปรดดู Richard English, “The Interplay of Non-violent and Violent Action in Northern Ireland, 1967-1972,” in Adam Roberts and Timothy Garton Ash (eds.) Civil Resistance and Power Pollitics: The Experience of Non-violent Action from Gandhi to the Present (Oxford: Oxford University Press, 2009), pp. 73-90. และ Chaiwat Satha-Anand, “Courting nonviolent confrontation in Thai house divided: What can be done?” บทความนี้เขียนในเดือนเมษายน 2553 ก่อนเกิดความรุนแรงและได้รับการตีพิมพ์ในฐานะบทความ op-ed ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post (http://www.oldsite.transnational.org/Resources_Treasures/2010/Satha-A_NonviolenceThai.html)
- Anders Behring Breivik (1979- ) ผู้ก่อการสังหารหมู่ในนอร์เวย์เมื่อ ค.ศ. 2011 หลังจากวางระเบิดตึกรัฐบาลในออสโล ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย เขาก็เข้าไปสังหารหมู่ในค่ายเยาวชนบนเกาะ Utøya โดยยิงประชาชนเสียชีวิตอีก 69 ราย ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนและเด็ก --ผู้แปล
- Arjun Appadurai (1949- ) นักมานุษยวิทยาร่วมสมัยชาวอินเดีย ผลงานของเขาเน้นให้เห็นความสำคัญของความทันสมัยของรัฐชาติและโลกาภิวัตน์ --ผู้แปล
- Arjun Appadurai, Fear of Small Numbers: An Essay on the Geography of Anger (Durham and London: Duke University Press, 2006).
- หมายถึงกลุ่มเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เรียกกันว่า The European Revolutions of 1848 หรือในบางประเทศเรียกว่า Spring of Nations หรือ Springtime of the Peoples ซึ่งเป็นกระแสของการลุกฮือของประชาชนในหลายประเทศของยุโรปเมื่อ ค.ศ. 1848 ถือกันว่าเป็นกระแสการปฏิวัติที่กินวงกว้างที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป แต่เกิดขึ้นได้เพียงปีเดียว หลังจากนั้นฝ่ายปฏิกิริยาก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ กระแสปฏิวัตินี้เริ่มขึ้นในฝรั่งเศสในเดือนกุมภาพันธ์ แล้วแผ่ขยายไปเกือบทุกประเทศในยุโรป รวมทั้งบางส่วนในละตินอเมริกา รวมแล้วส่งผลกระทบมากกว่า 50 ประเทศ ทำให้ประชาชนถูกสังหารหลายหมื่นคนและจำนวนมากต้องอพยพหนีภัย เหตุการณ์นี้ส่งผลสำคัญอาทิ การยกเลิกระบบฟิวดัลในออสเตรียและฮังการี การสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในเดนมาร์ก สิ้นสุดราชวงศ์ Capetian ในฝรั่งเศส และส่งผลกระทบอย่างมากในเยอรมนี โปแลนด์ และอิตาลี -- ผู้แปล
- Kurt Weyland, “The Arab Spring: Why the Surprising Similarities with the Revolutionary Wave of 1848?,” Perspectives on Politics Vol. 10 No.4 (December 2012), pp. 917-934.
- ตัวอย่างเช่น Magid Shihade, “On the Difficulty in Predicting and Understanding the Arab Spring: Orientalism, Euro-Centrism, and Modernity,” International Journal of Peace Studies Vol.17 No.2 (Winter 2012), pp. 57-70.
- Erika Chenoweth & Maria J. Stephan, Why Civil Resistance Works: The Strategic Logic of Nonviolent Conflict (New York: Columbia University Press, 2011), pp. 192-193.
- อุเชนทร์ เชียงเสน, “กำเนิด ‘เสื้อแดง’ ในฐานะขบวนการโต้กลับ,” หน้า 128.
- Wendy Pearlman, Violence, Nonviolence, and the Palestinian National Movement (New York: Cambridge University Press, 2011), p. 2.
- Sharon Nepstad, Nonviolent Revolutions: Civil Resistance in the Late 20th Century (New York: Oxford University Press, 2011).
- Wendy Pearlman’s review of Sharon Nepstad’s Nonviolent Revolutions in Perspectives on Politics Vol.10 No.4 (December 2012), p. 997.
- Gene Sharp, Sharp’s Dictionary of Power and Struggle: Language of Civil Resistance in Conflicts (Oxford: Oxford University Press, 2012), p. 148.
- Iain Atack, “Some Reflections on Transformative Nonviolence,” in Luc Reychler, Julianne Funk Deckard and Kevin HR Villanueva (eds.), Building Sustainable Futures: Enacting Peace and Development (Bilbao: University of Deusto, 2009), p. 239.
- Chaiwat Satha-Anand. Janjira Sombatpoonsiri, Jularat Damrongwithitham, and Chanchai Chaisukkosol, “Humor, Witnessing and Cyber Nonviolent Action: current research on innovative tactical nonviolent actions against tyranny, ethnic violence and hatred,” in Akihiko Kimijima and Vidya Jain (eds.) New Paradigms of Peace Research: The Asia-Pacific Context (Jaipur: Rawat Publications, 2013), pp. 137-158.
- Tatsushi Arai, Creativity and Conflict Resolution: Alternative pathways to peace (London and New York: Routledge, 2009).