Skip to main content
sharethis
พิมพ์เขียวปฏิรูปประเทศด้านการเมืองโดยคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ ให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งผ่าน สนช. ให้ผู้สมัคร ส.ส.มีอายุ 30 ปีขึ้นไป จำกัดวาระไม่เกิน 2 วาระ ห้ามบุคคลกระทำผิดต่อสถาบันลงสมัครรับเลือกตั้งทั้ง ส.ส.และ ส.ว.
 
9 ต.ค. 2557 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้จัดทำเอกสารข้อมูล 11 ด้าน เรื่องการปฏิรูปประเทศ หรือพิมพ์เขียว ที่คณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้รับฟังและรวบรวมเป็นกรอบความเห็นร่วมของประชาชน ให้สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ สปช.ไปศึกษาและเตรียมพร้อมสำหรับการทำงาน ซึ่งหัวข้อเรื่องการปฏิรูปด้านการเมือง มีสาระสำคัญ คือ
 
1.รูปแบบรัฐสภา มีข้อเสนอ 2 รูปแบบ คือ รัฐสภาแบบเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง จากรายชื่อของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาคราวเดียวกัน กับ รัฐสภาแบบการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยอ้อม ซึ่งมีข้อเสนอ 3 แบบ คือ 1.แบบสภาเดี่ยว มีเฉพาะ ส.ส. ทำหน้าที่ตราและปรับปรุงกฎหมายเท่านั้น 2.แบบ 2 สภา คือสภาผู้แทนราษฎร กับวุฒิสภา และ 3 แบบ 3 สภา ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร, วุฒิสภา และสภาประชาชน
 
2.พรรคการเมือง ให้ตั้งพรรคการเมืองโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภูมิภาคเข้าสู่ระบบพรรคการเมืองได้ง่าย ปราศจากการครอบงำของทุน ห้ามพรรคการเมืองจ่ายเงินพิเศษให้ ส.ส.เพื่อออกเสียงสนับสนุนหรือเข้าร่วมประชุม สำหรับการเสนอนโยบายพรรค ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบนโยบายพรรคที่ไม่เป็นประชานิยม และนโยบายของพรรคที่ใช้หาเสียงต้องมีวงเงินใช้จ่ายรวมกันไม่เกินกรอบวงเงินงบประมาณในช่วง 4 ปีข้างหน้า ตามที่กระทรวงการคลังประกาศไว้
 
3.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีกรอบความเห็นที่ต้องแก้ปัญหาการทุจริตการเลือกตั้ง และคุณสมบัติของคนที่ปฏิบัติหน้าที่ จึงมีข้อเสนอ คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง มีข้อเสนอคือ 1) ไม่สังกัดพรรคการเมือง 2) ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องมีอายุ 30 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 70 ปี 3) ไม่กำหนดวุฒิการศึกษา 4) มีการกลั่นกรองบุคคลก่อนลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยวิธีไพร์มารี่ โหวต จากประชาชนในพื้นที่ 5) จำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง ส.ส.ไม่เกิน 2 วาระ ติดต่อกัน 6) ห้ามไม่ให้บุคคลที่เคยกระทำผิดต่อสถาบันลงสมัครรับเลือกตั้ง 7) ให้มีการเลือกตั้ง 2 รอบ การเลือกรอบแรก ผู้สมัครคนใดได้เสียงข้างมากเกินร้อยละ 50 ของผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ถือว่าผู้นั้นได้รับเลือกตั้งทันที แต่หากคะแนนเลือกตั้งไม่ถึงร้อยละ 50 ของผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ให้นำผู้ที่ได้คะแนนลำดับที่ 1 และ 2 แข่งขันกันอีกครั้ง หากใครได้เสียงข้างมากเกินร้อยละ 50 ให้ถือว่าเป็นผู้ชนะ 8) วิธีออกเสียงลงคะแนน ให้นำคะแนน Vote No มาเปรียบเทียบกับคะแนนของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งมากที่สุด ถ้าคะแนน Vote No มากกว่าให้เลือกตั้งใหม่ 9) ยกเลิกลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรและนอกเขตจังหวัด เพราะมีช่องทำให้เกิดทุจริต 10) การถอดถอนต้องทำโดยศาลเลือกตั้งและศาลทุจริต คอร์รัปชัน 11) ออกกฎหมายมาตรการลงโทษนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ให้ประชาชนสามารถฟ้องร้องนักการเมืองทุจริตได้โดยตรง
 
4.สมาชิกวุฒิสภา ให้มาจากการเลือกตั้งและสรรหา การสรรหาให้มาจากกลุ่มอาชีพ เพื่อให้ได้ตัวแทนทุกกลุ่ม จำนวนต้องเท่ากับ ส.ส.เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล ไม่จำกัดระดับการศึกษา และไม่สังกัดพรรคการเมือง ห้ามไม่ให้คนที่เคยกระทำผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็น ส.ว. และห้าม ส.ว.ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 6 ปี
 
5.นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เสนอรูปแบบการคัดเลือกนายกรัฐมนตรี 2 วิธี คือ 1.จากการเลือกตั้งโดยตรง ผ่านระบบบัญชีรายชื่อ หรือ เลือกตั้งโดยอ้อม คือให้ ส.ส.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และ 2.จากการแต่งตั้งบุคคลภายนอก ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การตรวจสอบและถอดถอนให้ใช้มาตรการเดียวกับ ส.ส.และ ส.ว.
 
6.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้านโครงสร้างองค์กรตุลาการทางการเมือง มีข้อเสนอให้จัดตั้งศาลเลือกตั้ง และศาลทุจริต ส่วนศาลฎีกาต้องมีข้อกำหนดและกรอบการดำเนินคดีทางการเมือง และไม่จำกัดอายุความคดีทางการเมือง และยกเลิกมาตรการคุ้มครองนักการเมืองในระหว่างสมัยประชุม
 
7.ศาลรัฐธรรมนูญ เสนอให้ปรับโครงสร้าง ให้ทำในรูปแบบตุลาการพระธรรมนูญ ที่มีอำนาจพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไม่ควรจัดในรูปศาลที่มีอายุ 9 ปี ส่วนอำนาจหน้าที่ต้องแบ่งองค์คณะของศาลรัฐธรรมนูญเป็น 2 องค์คณะ โดยแยกเป็น 2 ส่วน คือ พิจารณาความทั่วไป และวิธีพิจารณาเฉพาะ มีหน่วยสนับสนุนทางวิชาการทำงาน และศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจชี้ถูกชี้ผิดในกรณีพิพาทระหว่างองค์กร แต่ทำหน้าที่ตีความทางกฎหมายที่มีข้อสงสัยขัดรัฐธรรมนูญเท่านั้น
 
8.คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอให้ปรับโครงสร้าง กกต.ให้มีบุคคลจากหลายฝ่าย เช่น ตุลาการ ฝ่ายการเมือง ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้เชี่ยวชาญจากสายอาชีพเข้ารับการสรรหาเป็น กกต. ขณะที่ กกต.จังหวัดต้องประกอบด้วยผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัด หรือตุลาการศาลปกครองในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ ขณะที่การเพิ่มความเข้มแข็งของ กกต. ต้องหมุนเวียน ผู้อำนวยการ กกต.จังหวัดทุก 3 ปี ให้ กกต.จัดการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว ส่วนการวินิจฉัยความผิดให้เป็นหน้าที่ของศาล
 
9.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอให้ปรับโครงสร้าง ป.ป.ช. โดยเพิ่มสัดส่วน กรรมการสรรหา ป.ป.ช.จากสายการเมืองที่ไม่น้อยกว่าคณะกรรมการสรรหาจากสายอื่น
 
10.การเมืองภาคพลเมือง มีข้อเสนอให้เปิดพื้นที่ให้เข้าร่วมกับภาครัฐในด้านตรวจสอบ มีส่วนร่วมการพัฒนา
 
 
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net