นักวิจัยพบว่าการคิดว่าตัวเองเป็นคนดีมีศีลธรรมนำไปสู่พฤติกรรมสุดโต่ง และ “คนดีมีศีลธรรม” มองการโกงว่าเป็นสิ่งที่ทำได้โดยให้ความชอบธรรมว่ามันคือหนทางไปสู่ปลายทางแห่งศีลธรรม
หมายเหตุ
ประชาไทได้รับจดหมายท้วงติงจากผู้อ่านว่าข้อมูลในข่าวนี้ผิดพลาดคลาดเคลื่อน และเป็นการแปลโดยละเมิดลิขสิทธิ์ และตรวจสอบแล้วพบว่าผิดพลาดในการรายงานรื่องระยะเวลาของการนำเสนองานวิจัยและบทความจริง และเป็นการแปลโดยไม่มีลิขสิทธิ์
ประชาไทขออภัยอย่างสูงต่อผู้อ่านในความบกพร่อง มา ณ ที่นี้
อย่างไรก็ตาม ประชาไทได้คงเนื้อหาแนะนำบทความโดยสรุป และขอแนะนำผู้อ่านไปยังลิงก์ต้นฉบับ
บทความจากเว็บไซต์ livescience ระบุถึงข้อมูลของงานวิจัย โดย สก็อต เรย์โนลด์ และ ทารา เซเรนิค จากมหาวิทยาลัย University of Washington Business School in Seattle ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักศึกษาและผู้จัดการบริษัท พบว่า เมื่อกลุ่มคนที่เชื่อว่าตัวเองมีศีลธรรมสูงเผชิญกับความกำกวมของเส้นแบ่งระหว่างถูกและผิด “คนดี” เหล่านี้จะสามารถกลายเป็นคนโกงอย่างที่สุด
โดยงานวิจัยของทั้งสองนั้นได้ทำการศึกษาจากนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง 230 ซึ่งเป็นศึกษา มีอายุเฉลี่ย 21 ปี ที่เรียนในหลักสูตรธุรกิจขั้นสูง และกลุ่มผู้จัดการบริษัทจำนวน 290 คน
ผลการสำรวจพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีคะแนนอัตลักษณ์ด้านศีลธรรมสูงและคิดว่าการโกงนั้นเป็นความบกพร่องทางศีลธรรม เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าโกงน้อยที่สุด ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่โกงที่สุดก็คือกลุ่มที่ให้ความชอบธรรมกับการโกงตามแต่สถานการณ์นั้นๆ
ทั้งนี้ สก๊อต เรย์โนลด์ระบุว่า จากงานวิจัยของเขานั้น พบว่าเมื่อกลุ่มที่มีอัตลักษณ์ทางศีลธรรมแข็งแกร่งเผชิญหน้ากับการตัดสินใจด้านศีลธรรมแล้ว อัตลักษณ์ทางศีลธรรมนั้นเองที่ผลักดันพวกเขาไปสู่ความสุดโต่ง และ “คนดีมีศีลธรรม” มองการโกงว่าเป็นสิ่งที่ทำได้โดยให้ความชอบธรรมว่ามันคือหนทางไปสู่ปลายทางแห่งศีลธรรม
บทความโดยเจนนา ไบรเนอร์ ได้นำเสนอบนเว็บไซต์ livescience เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ปี 2550 อ้างอิงจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร ตีพิมพ์ในนิตยสาร Journal of Applied Psychology ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน