Skip to main content
sharethis
พิพากษายกฟ้อง 'กษิต ภิรมย์' ไม่ผิดปราศรัยหมิ่น 'ทักษิณ' กล่าวหาไม่จงรักภักดี ต้องการยึดประเทศไทยเป็นสมบัติส่วนตัว ศาลชี้แสดงความเห็นสุจริต ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง 'จตุพร' ไม่ผิดปราศรัย นปช.วัดไผ่เขียว ปี 52 หมิ่น 'อภิสิทธิ์' มือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน ศาลชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต เช่นกัน
 
ยกฟ้อง 'กษิต' ไม่ผิดหมิ่น 'ทักษิณ'
 
26 ธ.ค. 2557 ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.1037/2552 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ และนายอุดม โปร่งฟ้า ทนายความ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ , บริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด และบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นจำเลยที่ 1 - 3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
 
โดยโจทก์ ยื่นฟ้อง ระบุว่า เมื่อวันที่ 3 , 11 และ 29 พ.ย. 51 นายกษิต จำเลยที่ 1 ได้ร่วมชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที ที่ทำเนียบรัฐบาล ทำนองว่า โจทก์เป็นคนไม่จงรักภักดี ต้องการยึดประเทศไทยเป็นสมบัติส่วนตัว สั่งเจ้าหน้าที่รัฐสังหารมุสลิมทางภาคใต้ ฆ่าตัดตอนผู้ค้ายาเสพติด โจทก์ต้องการเป็นประธานาธิบดี ล้มล้างสถาบัน และต้องการตั้งราชวงศ์ใหม่ ซึ่งเป็นความเท็จ จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์เป็นเวลา 7 วัน ติดต่อกัน รวมทั้งในเว็บไซต์ผู้จัดการ
 
ศาลพิเคราะห์ พยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย โดยวัน - เวลาที่เกิดเหตุ นายกษิต จำเลยที่ 1 ปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงต่อประชาชนในการชุมนุมของ พธม. ซึ่งมีข้อความพาดพิงโจทก์ ขณะที่โจทก์ มีนายนายอุดม โปร่งฟ้า ทนายความผู้รับมอบอำนาจ เบิกความว่า นายกษิต จำเลยที่ 1 ปราศรัยมีเนื้อหาทำนองว่า โจทก์เป็นนักโทษชาย โจทก์พยายามทุกวิถีทางที่จะยึดประเทศไทย ต้องการเป็นประธานาธิบดี และต้องการล้มล้างสถาบัน ต้องการตั้งราชวงศ์ใหม่ โดยบริษัทไทยเดย์ ฯ จำเลยที่ 2 และบริษัท เอเอสทีวี จำเลยที่ 3 ได้ถ่ายทอดคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 ทางอินเทอร์เน็ต และสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี
 
ศาลเห็นว่า ข้อความที่โจทก์อ้างนั้น เมื่อพิจารณาตามความรู้สึกของประชาชนโดยทั่วไปแล้วอาจทำให้บุคคลที่รับฟังการปราศรัยเชื่อว่าโจทก์กระทำการดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำที่บุคคลทั่วไปไม่อาจยอมรับได้ การปราศรัยของจำเลยที่ 1 ย่อมทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง แต่อย่างไรก็ดี ข้อความที่จำเลยที่ 1 ปราศรัย ก็มีเนื้อหาเกี่ยวข้องและสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีของโจทก์ โดยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารมีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการให้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล การปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของโจทก์ จึงย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศชาติในวงกว้าง และทำให้ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต นอกจากนี้แม้โจทก์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แต่โจทก์ก็เป็นบุคคลมีชื่อเสียงในทางการเมืองและสังคมเศรษฐกิจ ที่อาจถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ได้ ซึ่งสอดคล้องกับทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ว่า ปราศรัยเพื่อประโยชน์สาธารณะ มีเจตนาปกป้องสถาบันและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ แม้ข้อความที่จำเลยที่ 1 ปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์จะใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม หรือใช้ถ้อยคำไม่สุภาพบ้าง แต่เมื่อพิจารณาถึงถ้อยคำโดยรวมแล้ว จำเลยที่ 1 ปราศรัยไปก็ด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติและสถาบัน จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 นำสืบมามีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ในส่วนจำเลยที่ 2- 3 จึงไม่เป็นควมผิดด้วย พิพากษาให้ยกฟ้อง
 
ภายหลัง นายกษิต อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ขอขอบคุณศาลและทีมทนายความ โดยสิ่งที่พูดไปไม่มีเจตนาร้ายต่อบุคคลใด และต้องขอโทษหากเป็นการล่วงเกิน จากนี้ไปตนก็จะตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและเพื่อสิ่งที่ถูกต้องต่อไป
 
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง 'จตุพร' ไม่ผิดปราศรัย นปช.วัดไผ่เขียว ปี 52 หมิ่น 'อภิสิทธิ์' มือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน
 
วันเดียวกันนี้ (26 ธ.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. ห้องพิจารณา 914 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1962/2552 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 , 328 , 332
 
ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 52 ระบุว่า วันที่ 10 พ.ค. 52 จำเลยได้ปราศรัยด้วยเครื่องกระจายเสียงต่อหน้าประชาชน จำนวนกว่าหมื่นคน ใส่ความรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ขณะนั้น) ว่า ทำนองว่า เป็นรัฐบาลภายใต้ทรราชฟันน้ำนม รวมทั้งกล่าวหาว่า โจทก์เป็นคนสั่งทหารให้ไปยิงประชาชน เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือดฆ่าประชาชน ใส่ร้ายประชาชนกลุ่มคนเสื้อแดง โจทก์จะต้องถูกประหารชีวิต ข้อหาฆ่าคนตาย และข้อความอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ การกระทำของจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างมาก ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จากประชาชนที่ได้ยินได้ฟังการปราศรัยของจำเลย เหตุเกิดที่วัดไผ่เขียว แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. คดีนี้หลังจากศาลไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้วเห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา จำเลยให้การปฏิเสธ
 
โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 55 ให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่าทางนำสืบรับได้ว่าเป็นกรณีที่ได้มีการปราศรัย แถลงข่าว วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นการตอบโต้ทางการเมืองทางวิธีทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย จึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริง ที่เป็นมูลเหตุที่นำมาสู่การกล่าวหมิ่นประมาท ที่มิใช่เพียงการโต้ตอบทางการเมือง
 
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบมาแล้วนั้น รูปคดีมีเหตุผลที่ทำให้จำเลยเชื่อว่า น่าจะมีมูลเหตุในเรื่องที่จำเลยได้กล่าวถึงจริง ซึ่งการกล่าวของจำเลยเป็นการปกป้องตนหรือป้องกันส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรม ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนยกฟ้องจำเลย
 
ภายหลัง นายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หลังจากนี้จะกลับไปศึกษาสำนวนและเตรียมยื่นฎีกาสู้คดี เนื่องจากในท้ายสำนวนมีองค์คณะได้ทำความเห็นแย้ง ซึ่งมีความยาวกว่า 20 หน้า มีความเห็นว่าให้ลงโทษจำคุกนายจตุพร 6 เดือนโดยไม่รอการลงโทษ
 
 
ที่มาข่าวเรียบเรียงจากคมชัดลึก
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net