Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

เมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้ลงมติถอดถอน น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนน 190 ต่อ 18 ซึ่งจะทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้คำทำนายโบราณที่ว่า ยุคสมัยปัจจุบันเป็นยุค “ถิ่นกาขาว” เห็นได้กระจ่างชัด

คำทำนายชุดนี้ บ้างก็อธิบายว่า เป็นคำทำนายของขรัวอีโต้ วัดราชบูรณะ ซึ่งเป็นพระภิกษุที่มีชื่อเสียงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ บ้างก็อธิบายว่า เป็นคำทำนายสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) พระภิกษุสำคัญสมัยรัชกาลที่ 4 แต่ไม่ว่าฉบับไหนจะมีเนื้อหาคล้ายกัน คือ มีคำเป็นวลีย่อ 10 คำ ที่จะใช้ทำนายถึงยุคสมัยในสมัยรัตนโกสินทร์ 10 รัชกาล ที่อ้างกันอยู่โดยทั่วไปคือ "มหากาฬ พาลยักษ์ รักมิตร สนิทธรรม จำพาหาขาด ราชโจร ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว และ ชาววิไล"

เนื่องจากว่าในคำทำนายเดิมไม่ได้มีคำอธิบายประกอบ จึงต้องมีการตีความและอธิบาย ที่เป็นที่ยอมรับกัน เช่น สมัยรัชกาลที่ 3 “รักมิตร” เพราะมีนานาชาติเข้ามาติดต่อทำการค้า รัชกาลที่ 4 “สนิทธรรม” เพราะพระมหากษัตริย์ทรงผนวชมานานก่อนขึ้นครองราชย์ รัชกาลที่ 5 “จำพาหา(แขน)ขาด” เพราะพระองค์ต้องยอมเสียดินแดนจำนวนมากเพื่อรักษาพระเกียรติยศ รัชกาลที่ 7 “ชนร้องทุกข์” คือ การปฏิวัติของคณะราษฎร และ รัชกาลที่ 8 “ยุคทมิฬ” เพราะประเทศต้องเข้าสู่สงครามโลก ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิด จนบ้านเมืองเสียหายจำนวนมาก เป็นต้น

จากคำทำนายนี้ สมัยปัจจุบัน จึงเป็นยุค “ถิ่นกาขาว” ซึ่งเคยตีความกันก่อนหน้านี้ว่า หมายถึง ยุคที่ฝรั่งอเมริกาเข้ามาในบ้านเมือง มาตั้งฐานทัพคุกคามอธิปไตยของประเทศไทย แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงสมัยแห่งวิกฤตการเมืองตั้งแต่ พ.ศ.2549 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่าการตีความเช่นนั้นไม่น่าจะถูก แต่ “ถิ่นกาขาว” น่าจะหมายถึงยุคสมัยที่ชนชั้นนำในสังคมไทย ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักการอันถูกต้อง แต่กลับดำเป็นขาว ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม มาสร้างความเสียหายล่มจมแก่บ้านเมืองอย่างที่เป็นอยู่ เปรียบเหมือนกับกา ที่ปกติเป็นนกสีดำ แต่ใช้การบิดเบือน ตลบตะแลง อธิบายให้เป็น “กาขาว” และคนจำนวนมากกลับเห็นดีงามด้วย

ใบตองแห้งน่าจะชี้ลักษณะสำคัญของยุคถิ่นกาขาวได้ดีที่สุด โดยอธิบายให้เห็นว่า ชนชั้นนำในสังคมไทยพลีทุกอย่างด้วยการอ้างหลักการ "คนดีเอาชนะคนชั่ว" สถาบันวิชาการฉีกตำรา พลิกตรรกะเหตุผล นักรัฐศาสตร์ไม่เอาเลือกตั้ง นักกฎหมายไม่เอานิติรัฐ นักเคลื่อนไหวขบวนการเดือนตุลา ขบวนการพฤษภา 35 ต่างสนับสนุนการปิดกั้นเสรีภาพ สื่อมวลชนคุกคามความเห็นต่าง พร้อมยุให้สังหารผู้คิดต่าง การกระทำที่ถูกต้องชัดเจนก็ช่วยกันตระบัดเป็นผิด การกระทำที่ผิดแน่นอนก็ช่วยกันบิดเป็นถูก โดยอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อความดีงามของสังคม

ที่อธิบายเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปปกป้อง อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่จะอธิบายว่า ความวิปริตผิดหลักการในสังคมไทยไม่ได้เริ่มจากกรณีนี้ แต่เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ.2549 เพราะในสมัยที่สังคมโลกอยู่ในยุคประชาธิปไตย โดยการยอมรับกันว่า หลักการเปลี่ยนแปลงอำนาจที่ถูกต้องที่สุด คือการใช้คะแนนเสียงของประชาชนเป็นตัวตัดสิน แต่ชนชั้นนำไทยกลับเลือกใช้วิธีการรัฐประหารในการแก้ปัญหาการเมืองตามใจของตัว โดยอ้างว่าการรัฐประหารเป็นวิธีการอันจำเป็นเพื่อขจัด “ฝ่ายคนเลว” แต่เมื่อรัฐประหารแล้ว ก็ไปล้มเลิกรัฐธรรมนูญที่ชอบธรรม และล้มสถาบันทางการเมืองอันถูกต้อง แล้วสร้างระบบระเบียบกฎหมายใหม่ตามใจตัว เพื่อเปิดทางให้ “ฝ่ายคนดี” มาบริหารบ้านเมือง ต่อมา เมื่อมีประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งมารวมตัวต่อต้านคัดค้าน ก็ใช้วิธีปราบปรามนองเลือดจนมีผู้เสียชีวิตนับร้อยศพ แต่ก็ยังอธิบายฟอกขาวกันได้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฝ่ายประชาชนที่ถูกฆ่าตายนั้นเป็นผิดเสียเอง ส่วนในด้านการบริหารประเทศ จะมีนโยบายอย่างไร ใช้งบประมาณอย่างไร จะมีทุจริตกี่โครงการ ที่สถานีตำรวจ ก็รอดพ้นการตรวจสอบทางกฎหมาย เพราะเป็นฝ่ายคนดี

จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป การเมืองก็พัฒนาไปโดยประชาชนก็เลือกพรรคการเมือง ที่ถือว่าเป็น “ฝ่ายคนเลว”กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ขบวนการ“ฝ่ายคนดี”ก็ต้องใช้วิธีการทุกอย่างในการต่อสู้ จะใช้ม็อบอหิงสาแต่มีอาวุธยิงคนตาย จะยึดทำเนียบรัฐบาล และสถานที่ราชการอีกหลายแห่ง จะปิดเมืองหลวง จะขัดขวางและล้มการเลือกตั้ง ก็ทำได้ไม่มีความผิด จากนั้น ก็ใช้หลักกฎหมายผิดเพี้ยนพิสดาร ตีความกันเอง มาลงโทษรัฐบาลฝ่ายคนเลว ก็ทำได้อย่างชอบธรรม และท้ายที่สุดก็พากันไปสนับสนุนชื่นชมรัฐประหารครั้งใหม่ ยอมให้คณะทหารล้มล้างรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมืองของตนเอง แล้วสร้างระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จย้อนยุคขึ้นมา ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน ควบคุมสื่อสารมวลชน บีบบังคับจับกุมประชาชนตามอำเภอใจ ก็ยังถือว่ายอมรับได้ เพราะเป็นวิธีการอันจำเป็น

สรุปแล้ว ลักษณะของการอธิบายให้กาเป็นสีขาวก็คือ การบิดเบือนตลบตะแลงว่า การกระทำที่ผิดอย่างชัดเจนเป็นเรื่องที่ถูกต้องดีงาม ส่วนการกระทำที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ กลายเป็นเรื่องที่ผิด ทฤษฎีถิ่นกาขาว จะอธิบายให้คนชั่วสวมเสื้อคลุมเป็นคนดี ฆาตกรเป็นผู้สอนคุณธรรม จอมเผด็จการก็กลายเป็นสุภาพบุรุษน่ารัก แต่ถ้า “ฝ่ายคนเลว” ได้อำนาจเพราะหลักประชาธิปไตย เพราะการเลือกตั้ง อ้างหลักนิติรัฐ อ้างสิทธิมนุษยชน อ้างเสรีภาพ ฉะนั้น หลักประชาธิปไตย เสรีภาพ การเลือกตั้ง สิทธิมนุษยชน จึงกลายเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ต้องรักษาไว้ ขอให้รักษาไว้ซึ่งความดีมีคุณธรรมก็เพียงพอ คำขวัญรณรงค์เรื่องการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่นอะไรทำนองนี้ ก็กลายเป็นข้ออ้างอันเลื่อนเปื้อนว่างเปล่า เพราะไม่เคยปฏิบัติกันอย่างเสมอหน้า

ทั้งนี้คงต้องขยายความเพิ่มเติมว่า สังคมไทยยังอยู่ในช่วงวิกฤตการเมืองยาว ดังนั้น ยุคถิ่นกาขาวจึงยังไม่ได้สิ้นสุดลง ฝ่ายคณะรัฐประหารที่บริหารบ้านเมืองในขณะนี้ สภา สนช. และ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ยังคงเดินหน้าต่อไป ที่จะสร้างระบบการเมืองใหม่อันพิกลพิการ ภายใต้ข้ออ้างประเภท “การปรองดองแห่งชาติ” หรือ “การปฏิรูปประเทศ” ซึ่งความจริงก็คือกระบวนการหาทางรักษาอำนาจไว้ในกลุ่มอภิชนคนส่วนน้อยที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้ง และมุ่งจะละเลยเสียงของประชาชนคนส่วนใหญ่ เพราะหวาดกลัวไปว่า เสียงของประชาชนคนส่วนใหญ่จะไม่เป็นไปตามสิ่งที่พวกตนนิยมชมชื่นและอยากให้เป็น คือจะพากันไปเลือก “ฝ่ายคนเลว” กลับมาอีก ปัญหาของยุคถิ่นกาขาวจึงไม่ได้เริ่มจากนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วกระทำความเลว โกงชาติบ้านเมืองจนล่มจม แต่มาจากนักการเมืองแฝงที่ไม่ยอมลงเลือกตั้ง แต่อ้างศีลธรรมความดีแล้วทำลายกระบิลเมือง ทำร้ายสังคมนำประเทศไปสู่ความเสียหาย ทำให้หลักยึดในสังคมเสื่อมสลาย ประชาชนไร้ที่พึ่ง

ตำนานดั้งเดิมของหลายชาติจึงอธิบายไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมจนถึงขั้นสุดแล้ว ก็จะนำไปสู่ดินฟ้าอาเพศ และเมืองถล่มเป็นจุดสุดท้าย แต่ในกรณีของสังคมไทย ประเทศไทยคงไม่ถล่มลงไป แต่ชนชั้นนำไทยต่างหากที่ใกล้เวลาถล่ม เพราะเวลาไม่ได้เป็นของพวกเขาอีกต่อไป

 


เผยแพร่ครั้งแรกใน: โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ 500 วันที่ 31 มกราคม 2558
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net