Skip to main content
sharethis
จ๊อบส์ ดีบี ชี้อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 1%  สาเหตุจากเรียนไม่ตรงสาย ขณะที่แรงงานระดับอาชีวะยังต้องการเพียบ
 
น.ส.นพวรรณ จุลกนิษฐ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปี 2558 อัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 0.6-0.7% เป็น 1% ของจำนวนแรงงานในประเทศไทย 38 ล้านคน หรือมีจำนวน 3.78 แสนคน และในจำนวนผู้ว่างงานดังกล่าว 32% หรือ 1.22 แสนคน เป็นผู้ว่างงานในระดับอุดมศึกษา เพราะนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาไม่ตรงกับความต้องการของตำแหน่งงานในตลาดแรงงานโดยเฉพาะระดับปริญญาตรี ซึ่ง 3 คณะที่นักศึกษาให้ความสนใจเข้ารับการศึกษาได้แก่ อักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์
 
ทั้งนี้ ตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการสูงในตลาดแรงงาน คือ บุคลากรด้านการแพทย์ บุคลากรด้านวิศวกรรม บุคลากรด้านบัญชีและการตลาด รวมถึงระดับการศึกษาด้านอาชีวะที่ปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยตลาดต้องการตำแหน่งงานด้านอาชีวศึกษา 3.7 แสนคน/ปี ขณะที่มีผู้สำเร็จการศึกษา 1.2 แสนคน/ปีเท่านั้น
 
"ระบบการศึกษาไทยควรต้องมีการแนะนำหรือแนะแนวทางให้นักศึกษามีความเข้าใจลักษณะการทำงานในแต่ละอาชีพ เพื่อการวางแผนด้านการศึกษาในอนาคต" น.ส.นพวรรณ กล่าว
 
นอกจากนี้ ตำแหน่งงานที่มีทิศทางความต้องการเติบโตต่อเนื่อง คือ บุคลากรด้านไอที โดยเฉพาะผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟน รวมถึงบุคลากรด้านการตลาดที่มีความสามารถด้านออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง ขณะที่การเปิดเสรีเขตเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทักษะของตำแหน่งงานที่มีความต้องการสูงสุด คือ ทักษะด้านภาษาอังกฤษและภาษาถิ่น อีกทั้ง ทักษะด้านไอที และความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรมประจำถิ่น เพื่อการปรับตัวให้เข้ากับลักษณะการทำงานและวัฒนธรรมได้
 
น.ส.นพวรรณ กล่าวอีกว่า บริษัทได้เผยผลสำรวจในหัวข้อ "ความสุขในการทำงานปี 2558 โดย จ๊อบส์ ดีบี" พบว่าปัจจัยที่ทำให้มีความสุขในการทำงาน เช่น ความสัมพันกับเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เงินเดือน ช่วงเวลาทำงานที่สมดุลกับการใช้ชีวิต สิทธิประโยชน์และผลตอบแทน ส่วนปัจจัยที่ทำงานแล้วไม่มีความสุข เช่น ระบบการทำงานเป็นอุปสรรค เงินเดือน ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา และสิทธิประโยชน์และผลตอบแทน เป็นต้น
 
(โพสต์ทูเดย์, 7/5/2558)
 
นายกรัฐมนตรี ระบุ การโอนโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเพียงข้อเสนอ
 
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงข้อเสนอของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่จะให้โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ย้ายไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จนทำให้ครูออกมาแต่งชุดดำประท้วง ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอ ซึ่งยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ต้องมีการพิจารณาแก้ไข เพราะเป็นขั้นตอนของแผนการปฏิรูป ดังนั้นไม่อยากให้กังวลไปก่อน เพราะถึงแม้จะมีการแก้ไขก็ต้องใช้เวลาอีกนานที่จะได้ข้อยุติ และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อการปฏิรูป เช่นเดียวกับการโอนตำรวจไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ว่าไม่ใช่ปรับเปลี่ยนทันทีทั้งหมด อาจเป็นการทดลองก่อน เพื่อให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องถิ่น แต่หากทดลองแล้วไม่ดีก็ไม่มีการโอนย้าย
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การปฏิรูปรัฐบาลได้วางรากฐานไว้ให้กับประเทศ ไม่ได้เข้ามาสร้างความเสียหายให้บ้านเมือง ทั้งปัญหาการค้ามนุษย์ การประมงผิดกฎหมาย และการขายสลากเกินราคา
 
(สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 7/5/2558)
 
สำนักงาน ก.ก. ชี้แจงแนวทางปรับเลื่อนเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้าง กทม.
 
วันที่ 8 พฤษภาคม นายเกรียงพล พัฒนรัฐ หัวหน้าสำนักงาน ก.ก. กทม. เปิดเผยถึงแนวทางการปรับเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างกรุงเทพมหานครว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 57 ให้ปรับบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงและปรับเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 57 ซึ่งกฎหมายในเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างรอการประกาศใช้ และขณะนี้กรุงเทพมหานครมีแนวทางในการสั่งเลื่อนเงินเดือนในวันที่ 1 เม.ย. 58 โดยพิจารณาถึงผลกระทบในการดำเนินการในส่วนของข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญไม่ชะลอการสั่งเลื่อนเงินเดือนในวันที่ 1 เม.ย. 58 เนื่องจากกรณีดังกล่าวไม่กระทบกับการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ เพราะการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญใช้การเลื่อนเงินเดือนแบบขั้น ซึ่งการปรับบัญชีเงินเดือนและการปรับเงินเดือนดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญทั้งระบบเหมือนการเลื่อนเงินเดือนแบบร้อยละของรัฐบาลที่ใช้ฐานในการคำนวณเงินเดือนและการบริหารวงเงินงบประมาณ ซึ่งเมื่อพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่...) พ.ศ... มีผลบังคับใช้การนำหลักเกณฑ์วิธีการปรับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนมาใช้กับข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญต้องมีการนำบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงมาปรับเป็นตารางการเลื่อนเงินเดือนชั่วคราวแบบขั้นต่อไปด้วย          
 
ในส่วนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากรุงเทพมหานครให้ชะลอการสั่งเลื่อนเงินเดือนในวันที่ 1 เม.ย. 58 แล้วกรุงเทพมหานครจะได้นำพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่...) พ.ศ... ที่มีผลบังคับใช้แล้ว มาใช้โดยอนุโลมได้ในทันที โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนบัญชีเงินเดือน รวมถึงลูกจ้างประจำกรุงเทพมหานคร ให้ชะลอการสั่งเลื่อนเงินเดือนในวันที่ 1 เม.ย. 58 เนื่องจากกรุงเทพมหานครสามารถนำระเบียบกระทรวงการคลังมาบังคับใช้ในทันที โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนอัตราค่าจ้างลูกจ้างประจำ
 
ทั้งนี้ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากรุงเทพมหานคร และลูกจ้างประจำกรุงเทพมหานครที่ถูกชะลอการเลื่อนเงินเดือนตามอัตราใหม่ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และกระทรวงการคลังนั้น ยังคงได้รับเงินเดือนและค่าจ้างตามปกติในอัตราเดิมไปก่อน แต่อย่างไรก็ดี เมื่อกฎหมายดังกล่าวประกาศใช้ ข้าราชการและลูกจ้างประจำกรุงเทพมหานครจะได้รับการปรับเงินเดือนย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 57 เหมือนกัน และกรุงเทพมหานครก็จะได้เร่งให้หน่วยงานดำเนินการออกคำสั่งปรับเงินเดือนโดยเร็วต่อไป หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองทะเบียนประวัติข้าราชการ สำนักงาน ก.ก. โทร. 0 2225 0472 หรือโทรภายใน 1185
 
(ประชาชาติธุรกิจ, 8/5/2558)
 
ก.แรงงาน ตั้งกรมความปลอดภัยในการทำงาน
 
นายนคร ศิลปอาชา ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ในการรวมงานเงินทดแทนของสำนักงานประกันสังคมและงานความปลอดภัยในการทำงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้มีมติจัดตั้งกรมความปลอดภัยในการทำงาน เนื่องจากมีกระบวนการทำงานที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยในเบื้องต้นกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและสำนักงานประกันสังคมต่างให้ความเห็นชอบและมีความพร้อมที่จะดำเนินการในเรื่องดังกล่าว แต่อาจมีอุปสรรคในระเบียบบางประการ ซึ่งได้มีการหารือเพื่อปลดล็อกข้อจำกัดในทุกด้าน อาทิ โครงสร้างการแบ่งองค์กรภายใน การกำหนดอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ และแนวทางการบริหารจัดการเงินกองทุนเงินทดแทนเมื่อรวมงานกันแล้ว เป็นต้น
 
ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนเงินทดแทน ได้ทำการจ้าง บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในการทำวิจัยเกี่ยวกับโครงสร้างทั้งหมดของสำนักงานกองทุนฯ ให้ถูกต้อง โดยจะใช้ผลการวิจัยดังกล่าวในการเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา สำหรับงานความปลอดภัยในการทำงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้น มีความพร้อมในการรวมหน่วยราชการให้มีฐานะเป็นกรม เนื่องจากมีความพร้อมที่จะทำงานเพื่อประชาชนและต้องการขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้แรงงาน นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของผู้ใช้แรงงานเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2558 ที่ต้องการยกสถานะสำนักความปลอดภัยแรงงาน ให้เป็นกรมความปลอดภัย
 
(ไอเอ็นเอ็น, 9/5/2558)
 
จับแก๊งนายหน้าค้าแรงงาน หลอกคนไทยไปออสเตรเลีย สูญกว่า 2 ล้านบาท
 
ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองลำพูน ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้นำตัวนางสาวบุศราทิพย์ ยะพะเยาว์ อายุ 43 ปี บ้านเลขที่ 24 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ลำพูน และนางสาวสิริพิชชามญจชุ์  วงค์กาไชย อายุ 35 ปี บ้านเลขที่ 64 ม.3 ต.หัวเสือ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดลำพูน ที่ จ.78/2558 ลงวันที่ 28 เมษายน 2558 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ร่วมกันฉ่อโกงทรัพย์และหลอกว่าจัดหางาน หรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศและโดยการหลอกลวงได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง”มาสอบสวนหลังได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายกว่า 40 คน ที่หลงเชื่อได้สมัครทำงานผ่านการประสานงานจากทั้ง 2 คน และได้จ่ายเงินไปคนละ 5 หมื่นบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินเรื่องและเป็นธุระในการเดินทาง แต่หลังจากจ่ายเงินแล้วเมื่อใกล้กำหนดเวลาจะเดินทางไปทำงานกลับถูกบ่ายเบี่ยงและเลื่อนการเดินทางมาโดยตลอดตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2558 ที่ผ่านมาจึงได้แจ้งร้องเรียนมายังตำรวจกองปราบปราม จึงได้สืบสวนจนทราบตัวกลุ่มผู้กระทำผิดจึงได้ขอหมายศาลติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป โดยเบื้องต้น ทั้ง 2 คน  ให้การสารภาพ 
             
ด้าน ร.ต.ท.นิรันดร  วุฒิเอก หัวหน้าทีมจับกุม กล่าวว่า พฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าว ได้หลอกลวงชักจูงให้แรงงานที่เดินทางมาทำงานนิคมฯอุตสาหกรรมลำพูน และในพื้นที่ จ.เชียงรายที่สนใจไปทำงานต่างประเทศและชักชวนแบบปากต่อปากให้มาสมัครโดยกล่าวอ้างว่ามีความสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่กรมแรงงานและจะส่งไปได้โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายไปแล้ว คนละ 5 หมื่นเป็นค่าเดินเอกสาร ขอกู้เงินธนาคาร ค่าตรวจโรค และอื่นๆ ก่อนเดินทางไป โดยมีคนทยอยมาสมัครรวมแล้วพื้นที่ 2 จังหวัดกว่า 40 คน ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา แต่ไม่สามารถส่งไปได้อย่างที่กล่าวงอ้างและได้เลื่อนผัดผ่อนมาโดยตลอดจนแรงงานมราสมัครเข้าแจ้งความร้องเรียนจึงสืบสวนพบว่ากระทำความผิดจริงเข้าข่ายการหลอกลวงฯจึงขอหมายจับมาดำเนินคดีดังกล่าว นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองลำพูนส่งฟ้องดำเนินคดีต่อไป
 
(มติชนออนไลน์, 9/5/2558)
 
สปส.แก้กฎหมายกองทุนเงินทดแทนเพิ่มสิทธิลูกจ้าง กรณีทุพพลภาพขยายรับเงินทดแทนสูงสุดตลอดชีวิต
 
สำนักงานประกันสังคม แก้กฎหมายกองทุนเงินทดแทนเพิ่มสิทธิลูกจ้าง กรณีทุพพลภาพขยายรับเงินทดแทนสูงสุดตลอดชีวิต พร้อมเพิ่มระยะเวลา จ่ายค่าทดแทนเสียชีวิต สูญหาย และขยายความคุ้มครองลูกจ้างราชการทุกประเภท
 
นายอารักษ์ พรหมณี รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคมได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินทดแทน พ.ศ. ... ฉบับใหม่ โดยมีสาระสำคัญในการขยายความคุ้มครองไปถึงลูกจ้างของส่วนราชการทุกประเภทและพนักงานราชการ จากเดิมที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง และเพิ่มเงินทดแทนให้ลูกจ้าง โดยเพิ่มอัตราค่าทดแทนในกรณีต่างๆ เป็นร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือนจากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 60 เพิ่มระยะเวลาจ่ายค่าทดแทนกรณีลูกจ้างทุพพลภาพ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปี หรือหากจำเป็นสามารถจ่ายให้ตลอดชีวิตจากเดิมไม่เกิน 15 ปี นอกจากนี้ยังขยายระยะเวลาการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าทดแทนกรณีลูกจ้างเสียชีวิต หรือสูญหายไม่เกิน 10 ปี จากเดิมไม่เกิน 8 ปีกรณีลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้ให้ได้ค่าทดแทน นับตั้งแต่วันที่ไม่สามารถทำงานได้ จากเดิมจะได้รับค่าทดแทนเมื่อไม่สามารถทำงานได้ติดต่อกันเกิน 3 วัน นอกจากนี้ยังเพิ่มเงินทดแทนการจ่ายค่าทำศพเป็นไม่น้อยกว่า 100 เท่าของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน จากเดิมให้จ่าย100 เท่า ขณะเดียวกันได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในการลดอัตราการจ่ายเงินสมทบของนายจ้างในพื้นที่ ซึ่งประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ หรือมี สถานการณ์พิเศษอื่นๆ จากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 2 ต่อเดือนได้ จากเดิมไม่มีกำหนดไว้ นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแต่งตั้ง เพื่อกำกับดูแลกองทุนให้มีความโปร่งใส
 
ด้านนายโกวิท สัจจวิเศษ รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า เนื้อหาร่างพระราชบัญญัติที่กำหนดค่าทดแทนให้ลูกจ้างกรณีทุพพลภาพเป็นไม่น้อยกว่า 15 ปี จะไม่มีผลย้อนหลังต่อลูกจ้างทุพพลภาพที่ได้รับค่าทดแทนอยู่แล้ว รวมถึงลูกจ้างทุพพลภาพที่มายื่นขอรับค่าทดแทนก่อนที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะบังคับใช้ เนื่องจากหากกำหนดให้มีผลย้อนหลังจะต้องคำนวณเงินทดแทนที่ต้องจ่ายใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัตินี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมกระทรวงแรงงานแล้วและอยู่ระหว่างการพิจารณาของพลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
 
(สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 10/5/2558)
 
แรงงานหนุนตั้งกรมส่งเสริมความปลอดภัย
 
เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย มักกะสัน กรุงเทพฯ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ร่วมกับสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากผู้ทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย และผู้แทนองค์กรแรงงานต่าง ๆ นำโดย น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และผู้แทนองค์กรแรงงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ พร้อมทำพิธีเปิด “อนุสาวรีย์ เตือนใจความปลอดภัยของคนทำงาน” เพื่อรำลึกโศกนาฏกรรมเคเดอร์ครบรอบ 22 ปี น.ส.วิไลวรรณ กล่าวถึงการจัดงานบทเรียนโศกนาฏกรรมคนงานเคเดอร์สู่อนุสาวรีย์ เตือนใจความปลอดภัยของคนงานว่า ในโอกาสครบรอบ 22 ปี เหตุไฟไหม้โรงงานผลิตตุ๊กตาเคเดอร์ อ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันที่10 พ.ค. 2536 มีแรงงานเสียชีวิต188 คน บาดเจ็บกว่า 400 คน ซึ่งทางเครือข่ายแรงงานได้ตั้งอนุสาวรีย์เตือนใจความปลอดภัยเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ และเตือนใจทุกฝ่ายร่วมกันดูแลด้านความปลอดภัยไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก โดยได้รับเงินสนับสนุนจากนายสุวัจน์ ลิปพัตลภ อดีต รมว.แรงงาน 1 แสนบาท และเครือข่ายแรงงานด้วย อย่างไรก็ตามเห็นด้วยกับกระทรวงแรงงานที่จะจัดตั้งกรมส่งเสริมความปลอดภัยขึ้น แต่ขอเรียกร้องให้มีตัวแทนลูกจ้าง สหภาพแรงงานต่าง ๆ นายจ้าง และนักวิชาการ เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย อาจในรูปแบบกรรมการที่ปรึกษาฯ เพราะลำพังหน่วยงานรัฐหรือเฉพาะไตรภาคีการแก้ปัญหาจะไม่ประสบผลสำเร็จ ด้านนางสมบุญ สีคำดอกแค ประธานสภาเครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงาน และสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  ปัจจุบันยังคงพบแรงงานเจ็บป่วยจากการทำงานเพิ่มขึ้น โดยในปี 2553-2554 พบแรงงานเจ็บป่วยจากการทำงานประมาณ 100-200 คน โดยล่าสุดเฉลี่ยปีละ 600-700 คน ส่วนใหญ่ป่วยจากสารเคมี เช่น โรคปอด มะเร็งปอด กระดูกสันหลังอักเสบ โดยเฉพาะแรงงานที่ทำงานในโรงงานสิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ ก่อสร้าง ซึ่งขณะนี้พบว่า บางโรงงานใน จ.พระนครศรีอยุธยา จ้างแรงงานที่ป่วยจากโรคกระดูกสันหลังอักเสบ ลาออกจากงานถึง 40 คน และจ่ายเงินชดเชยให้ 10 เดือน โดยทุกวันนี้แรงงาน ยังมีปัญหาข้อจำกัดในการเข้าถึงสิทธิรักษาพยาบาลของกองทุนเงินทดแทน ดังนั้นขอเรียกร้องกระทรวงแรงงานแก้ไขปัญหาดังกล่าว
 
(เดลินิวส์, 10/5/2558)
 
เตรียมชง ครม.ปลดล็อคแรงงานต่างด้าว เอื้อเขต ศก.พิเศษ
 
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์คสช. ณ บ้านเกษะโกมล คณะกรรมการฯได้หารือกันและเสนอแนวทางขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคสช.โดยจะเสนอครม. ในเรื่องที่สำคัญ สรุปดังนี้
 
1. การจัดหาแรงงาน สนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ เสนอให้ออกประกาศ โดยใช้อำนาจตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 เฉพาะพื้นที่นำร่อง จ.ตาก และจ.สระแก้ว เพื่อแก้ปัญหาให้แรงงานประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเข้ามาสนับสนุนแรงงานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่กำลังจัดตั้งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพการผลิต โดยจัดตั้งโรงเรียนราชประชานุเคราะห์เพิ่ม เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานแก่ประชาชนไทย ในพื้นที่ 9 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ (จ.เชียงราย จ.ลำพูน จ.ตาก ) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จ.อุบลราชธานี จ.บุรีรัมย์ จ.ขอนแก่น ) และภาคกลาง ( จ.กาญจนบุรี จ.เพชรบุรี จ.ชัยนาท.) 
 
2. คณะกรรมการ เห็นชอบแผนปฏิบัติการในการปราบปรามการปลูกยางพาราบุกรุกพื้นที่ป่าทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำและแก้ปัญหายางพาราล้นตลาด
 
(มติชนออนไลน์, 12/5/2558)
 
เหยื่อแรงงานขอความเป็นธรรม
 
โดยตัวแทนกลุ่มหญิงสู้ชีวิต ได้พากลุ่มแรงงานผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จำนวน 9 คน ที่กลับจากประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งมีทั้งผู้เสียหายและญาติ เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับทีมข่าวไทยรัฐทีวี
 
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา กลุ่มแรงงานนวดแผนไทย จำนวน 9 คน ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย ส่งทีมไปพาตัวกลับมาจากประเทศประเทศแอฟริกาใต้ และต่อมาได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับ บริษัท พาราไพร ที่ทำธุรกิจจัดหาแรงงาน เพราะผู้เสียหายถูกบังคับให้ทำงาน โดยไม่ได้รับค่าแรง และการหลอกลวงจากบริษัทจัดหางานที่ผิดกฎหมาย ทำเวิร์คเพอมิท และ สัญญาจ้างงานปลอม เข้าข่ายการค้ามนุษย์ ซึ่ง 1 ในจำนวนนี้ มีคนไทย 1 คน ที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง คือ นาง จรรยาภรณ์ เชียงจันแก้ว ซึ่งเวลาผ่านไปนานกว่า 1 ปีแล้ว ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องคดี จึงได้เข้าขอความเป็นธรรม
 
และนอกจากนี้ ยังมีการเข้ายื่นหนังสือต่อ คสช. เพื่อให้ช่วยติดตามความคืบหน้าทางคดี โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ประกอบด้วย 1. ขอให้รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องเอกสาร สัญญาว่าจ้าง ที่มีการลงตราครุฑ ออกจากกระทรวงการต่างประเทศ กรุงพริททอเรีย
 
2.กระทรวงการต่างประเทศ ควรเร่งรัดและทำหนังสือแจ้งสาเหตุการเสียชีวิตของ นาง จรรยาภรณ์
 
และ 3. เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศ ตั้งคณะสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 9 คน เพื่อหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
 
(ไทยรัฐ, 12/5/2558)
 
แจ้งจับ-หนุ่มลูกครึ่ง หลอกแรงงาน 25 ราย เก็บองุ่นออสเตรเลีย
 
เหยื่อแก๊งต้มตุ๋นแรงงานจากต่างจังหวัดแห่แจ้งความตำรวจกองปราบฯกลางดึกให้ดำเนินคดี นายหน้าหนุ่มลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย วางอุบายหลอกจ้างให้ไปทำงานที่ไร่องุ่น-ร้านอาหารในแดนจิงโจ้ได้ค่าแรงสูง ก่อนปล่อยลอยแพตั้งแต่สนามบิน เชิดเงินค่าทำเรื่องข้ามประเทศผู้เสียหายรายละ 1 แสนบาทหายเข้ากลีบเมฆ อีกรายสาวแรงงานนวดแผนไทยถูกหลอกไปทำงานแอฟริกาใต้ ร้องเรียน “ไทยรัฐทีวี” คดีไม่คืบ
 
แก๊งมิจฉาชีพหลอกเอาเงินเหยื่อโดยวางอุบายจ้างไปทำงานต่างประเทศ เปิดเผยขึ้นที่กองบังคับการตำรวจปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 12 พ.ค. นางสุภาพร ปัสสา อายุ 56 ปี ชาวนา จ.นครราชสีมา พร้อมผู้เสียหายรวม 25 ราย เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.อธิษฐ์ พิสิษฐ์กูล พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. แจ้งความให้ดำเนินคดีนายนัทธี ฮาวเวิร์ด บอดี้แฮม ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นนายหน้า หลอกลวงว่าจะพาไปทำงานที่ไร่องุ่นในประเทศออสเตรเลีย ได้ค่าจ้างวันละ 5,000 บาท แต่ก็ไม่ได้ไป แถมถูกเชิดเงินคนละ 100,000 บาท
 
นางสุภาพรให้การว่า ก่อนหน้านี้มีญาติห่างๆ ชื่อ น.ส.ทราย ติดต่อชักชวนไปทำงานไร่องุ่น และร้านอาหารในประเทศออสเตรเลีย ได้ค่าจ้างวันละ 5,000 บาท โดยเฉพาะวันจันทร์ จ้างสูงถึงวันละ 10,000 บาท โดยอ้างว่านายนัทธีเพื่อนของแฟน เป็นนายหน้าพาข้ามประเทศ ทั้งนี้ ต้องเสียเงินค่าดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารคนละ 100,000 บาท โดยรับรองด้วยว่าไปไม่ได้จะคืนเงินให้ทั้งหมด ตนจึงตัดสินใจรับงานทยอยจ่ายเงิน น.ส.ทรายยังโทรศัพท์มาเร่งให้ตนโอนเงินจนครบ ครั้งแรกนัดหมายขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ น.ส.ทรายบอกว่าเอกสารไม่พร้อมเพราะมีนักศึกษาเรียนประเทศออสเตรเลียเดินทางด้วย จึงเลื่อนอีกเดือน พอใกล้ถึงเวลาอ้างอีกว่าคนงานน้อยไป
 
หนึ่งในเหยื่อแก๊งต้มตุ๋นให้การด้วยว่า สุดท้ายกำหนดเดินทางวันที่ 11 พ.ค. เวลา 19.00 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสายการบินอาหรับแอร์ไลน์ กระทั่งเวลา 17.00 น. ต่างคนต่างมาถึงสนามบิน ใกล้เวลาขึ้นเครื่องบินโทรศัพท์หานายนัทธีบอกว่ากำลังเดินทางมา แต่หลังจาก 21.00 น. ติดต่อนายนัทธี ไม่ได้ตามหาก็ไม่เจอ ถึงรู้ตัวกันว่าถูกหลอก จากนั้นเจ้าหน้าที่สนามบินพาทั้งหมดมาส่งที่กองปราบปราม ผู้เสียหายบางรายกู้หนี้ยืมสินเอาโฉนดที่ดินไร่นาไปจำนองต้องเสียดอกเบี้ยหลายบาท โดยทุกคนต้องการเงินคืนจากนายหน้า
 
ส่วน น.ส.ฐานิดา สิทธิฤกษ์ อายุ 35 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ ผู้เสียหายอีกราย กล่าวว่า เคยจ่ายเงินค่าทำเรื่องให้นายนัทธีเช่นกัน โดยโอนเงินผ่านธนาคารกสิกรไทย สาขาเชียงใหม่ เข้าบัญชีของ น.ส.พัชรียา บุญทวีสวัสดิ์ จำนวน 100,000 บาท ทีแรกนายนัทธีบอกว่า เดินทางไม่เกิน 3 เดือน แต่ผัดผ่อนนานถึง 7 เดือน ก่อนโดนหลอกให้มา ขึ้นเครื่องที่สนามบิน
 
ด้าน ร.ต.อ.อธิษฐ์กล่าวว่า พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหายทุกรายอย่างละเอียด หากมีพยานหลักฐานเพียงพอก็จะดำเนินคดีผู้ถูกกล่าวหา ข้อหาฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากผู้เสียหายหลายคนและบางรายบ้านอยู่ไกลมาก ทางตำรวจเปิดอาคารสโมสรกองปราบปรามไว้ให้ผู้เสียหายนอนพักผ่อน เพื่อสอบปากคำให้เสร็จสิ้น นำส่งให้ บก.ปคม.ดำเนินคดี
 
ตอนสายวันเดียวกัน นางภาวิณี ศรีดีเอี่ยม หนึ่งในเหยื่อแรงงานนวดแผนไทยถูกหลอกไปทำงานที่ประเทศแอฟริกาใต้ พร้อมผู้เสียหายรวม 9 คน เข้าร้องเรียนที่รายการรถปลดทุกข์ สำนักงานไทยรัฐทีวี กรณีถูกนายหน้าร่วมมือกับบริษัทแห่งหนึ่งหลอกไปทำงานโดยไม่ได้ค่าแรงและทำสัญญาจ้างปลอม รวมทั้งนางจรรยากรณ์ เชียงแก้ว เพื่อนร่วมงานเสียชีวิต นางปวีณา หงสกุล อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ช่วยเหลือกลับประเทศ เมื่อเดือน ก.พ.57 กรมสอบสวนคดีพิเศษรับเรื่องไว้เป็นคดีค้ามนุษย์ ผ่านมา 1 ปี คดีก็ไม่คืบหน้า รวมทั้งให้ตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของนางจรรยากรณ์ตามที่ระบุว่าเกิดจากกินเห็ดพิษ เนื่องจากมีคนกินด้วยแต่ไม่เห็นเป็นอะไร
 
(ไทยรัฐ, 13/5/2558)
 
ห่วง กม.ชุมนุมสาธารณะ ซ้ำเติมทุกข์แรงงาน
 
เมื่อวันที่ 13 พ.ค. น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) กล่าวว่า เครือข่ายแรงงานรู้สึกเป็นห่วงร่าง พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะพ.ศ... ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) และได้ผ่านความเห็นชอบแล้วจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และอยู่ระหว่างรอประกาศใช้ เนื่องจากเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวมีการจำกัดสิทธิแรงงานในการออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ และการแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น การถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ปัญหาเรื่องประกันสังคม โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องของปากท้องและชีวิตแรงงาน และยังกระทบไปถึงภาคประชาชนที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้แก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาที่ดินทำกิน และปัญหาสิ่งแวดล้อม น.ส.วิไลวรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับเนื้อหาของกฎหมายยังมีข้อกำหนดต่าง ๆ เช่น ห้ามชุมนุมที่รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล รวมถึงต้องแจ้งการชุมนุมก่อนเริ่มไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หรือผู้ได้รับมอบหมายมีอำนาจประกาศห้ามชุมนุม ขณะที่การชุมนุมเรียกร้องของแรงงานส่วนใหญ่จะเน้นการอยู่ใกล้พื้นที่รัฐสภา และทำเนียบรัฐบาล เพื่อที่แรงงานจะได้มีโอกาสยื่นหนังสือต่อผู้มีอำนาจดูแลรับผิดชอบและผู้บริหารประเทศนำไปสู่การแก้ปัญหา ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้รัฐบาล และ สนช.พิจารณาจัดทำร่างเนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้โอกาสแรงงานและภาคประชาชนสามารถออกมาชุมนุม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาด้านแรงงาน และเรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้ รวมทั้งเมื่อร่าง พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ...มีผลบังคับใช้แล้ว ก็แก้ไขเนื้อหากฎหมายให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย “ขอฝากไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ว่ากฎหมายชุมนุมสาธารณะที่จะมีผลบังคับใช้นั้น ทำให้แรงงานคนยากจนไม่มีที่พึ่ง ขาดกลไกในการออกมาเรียกร้องสิทธิ  เป็นการซ้ำเติมชีวิตคนงานให้ทุกข์มากขึ้น เพราะเน้นการให้ผู้มีอำนาจ เจ้าหน้าที่รัฐควบคุมดูแลการชุมนุมได้ง่าย หากนายกฯ ไม่แก้ไข เรื่องนี้จะเป็นระเบิดเวลาของสังคมไทย เนื่องจากเมื่อแรงงานคนยากจนถูกกดดันมาก ๆ ไม่มีที่พึ่งพิง และไร้กลไกเรียกร้องสิทธิเคลื่อนไหว เมื่อทนอยู่กับปัญหาไม่ไหว พวกเขาย่อมออกมาเคลื่อนไหวชุมนุม จะก่อให้เกิดการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่รัฐได้” น.ส.วิไลวรรณ กล่าว
 
(เดลินิวส์, 13/5/2558)
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net