Skip to main content
sharethis

นายกฯ แจงผลงานรอบ 1 ปี ต่อ สปช.-สนช. ย้ำอยู่ในโรดแมปขั้นที่2  พร้อมชี้ มาตรา 44 ไม่ได้ใช้แก้ปัญหาทุกเรื่อง แต่ช่วยแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น เผยการปฏิรูป และการปรองดอง ต้องเดินหน้าต่อ เมื่อตนหมดอำนาจจะได้กลับบ้านไปนอน

4 มิ.ย. 2558 ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี ในการสัมนาระหว่างสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และสภาปฎิรูปแห่งชาติ(สปช.) เพื่อรับฟังการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล

ทั้งนี้ก่อนที่จะมีการประชุม 1 วัน สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 กล่าวถึงการสัมมนาร่วมกันระหว่าง สนช. สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อรับฟังผลการดำเนินงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล หรือสัมมนาแม่น้ำ 3 สาย ในวันที่ 4 มิ.ย.ว่า นายกรัฐมนตรีพร้อมกับรองนายกรัฐมนตรีจะเข้ามาแถลงถึงผลงานที่ทำครบรอบ 1 ปี โดยมีเวลาคนละ 30 นาที เพื่อให้สมาชิกทั้งสองสภาเข้าใจว่ารัฐบาลจะทำอะไรต่อไปบ้าง และทำความเข้าใจโรดแมปของประเทศใน 2 เรื่องสำคัญ คือ การจัดทำรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จและการปฏิรูปประเทศ จากนั้นจะให้สมาชิกทั้งสองสภาอภิปรายซักถาม-รัฐบาลตอบ จะเสร็จสิ้นในเวลา 18.30 น. แล้วเชิญรัฐบาลรับประทานข้าวมื้อเย็นร่วมกัน

สำหรับการสัมนาเพื่อแจงผลงานครั้งนี้ มีพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.ทำหน้าที่ประธานการสัมมนา โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำทีมรองนายกรัฐมนตรี 4 คน ประกอบด้วยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล วิษณุ เครืองาม ยงยุทธ ยุทธวงศ์ และครม.มาชี้แจงผลงานต่อสนช.และสปช. โดยให้เวลาชี้แจงคนละ 30 นาที ซึ่งพรเพชรชี้แจงถึงกรอบการแถลงผลงานรัฐบาลว่า รัฐบาลจะชี้แจงตามกรอบใน 5 เรื่องคือ 1.ภารกิจตามโรดแม็ปของรัฐบาล 2.นโยบายเร่งด่วน 3.การบูรณาการแต่ละกลุ่มงาน 4.งานที่เป็นวาระแห่งชาติ 5.งานโครงสร้างพื้นฐาน จากนั้นจะเปิดโอกาสให้สมาชิกสนช.และสปช.ซักถามการดำเนินงานของรัฐบาลตาม 5 กรอบดังกล่าว แต่จะไม่มีการซักถามเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญ

จากนั้นเวลา 13.25 น. พล.อ.ประยุทธ์แถลงชี้แจงผลงานรัฐบาลเป็นคนแรกว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังทำตามโรดแม็ปที่วางไว้ ตอนนี้อยู่ในโรดแม็ปช่วงที่ 2 ในช่วงการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยกล่าวยืนยันว่า ที่ผ่านมารัฐบาลดำเนินนโยบายเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดมาก่อนที่ตนจะเข้าบริหารประเทศ โดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเป็นเครื่องมือในการบริหารราชการ พร้อมระบุว่า มาตรา 44 ไม่ได้มีไว้เพื่อแก้ปัญหาทุกเรื่อง แต่มีไว้เพื่อแก้ปัญหาให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเน้นการสร้างเป็นยุติธรรม สร้างความเท่าเทียม บางก็จำเป็นเรื่องก็ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งดำเนินการระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมาย คำสั่งดังกล่าวจะลักษณะคล้ายคลึงกับกฎหมายที่กำลังพิจารณาอยู่ ขอให้สปช.นำแนวทางปฏิรูปที่รัฐบาลวางไว้ไปทำ ไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่ ขอให้ฟังว่า ตนทำไปถึงไหนแล้ว บางเรื่องต้องทำทันที ไม่ต้องรอการประชุม ถ้าจำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ก็ต้องใช้ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความสงบเรียบร้อย และนำไปสู่ความยุติธรรม แต่ละกระทรวงต้องไปจัดลำดับความเร่งด่วนในงานที่ทำ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ส่วนเรื่องการรักษาความสงบนั้น ให้ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.)เชิญฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยเพื่อความปรองดอง ไม่ได้ไปกดหัวใคร แต่ไปสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่าย ทุกเรื่องให้มารายงานให้ตนทราบ เพื่อเข้าสู่ครม. และมอบหมายให้ฝ่ายเกี่ยวข้องไปแก้ไข ตนฟังสนช. สปช. ฟังวิทยุ อ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ จะได้ทราบว่า ประชาชนต้องการอะไร จะได้ไม่หลงทาง วันนี้ไม่ต้องการคะแนนเสียง ไม่ต้องการให้ใครนิยมชมชอบ ใครจะเกลียดไม่เป็นไร วันหน้าอาจจะรักก็ได้ แค่ไม่เกลียดก็พอ ส่วนเรื่องการปฏิรูป ถ้าไม่ทำก็จะกลับไปสู่วังวนเดิม แต่ถ้ามีการปฏิรูปทุกคนต้องร่วมมือกัน จะให้ตนทำคนเดียวไม่ได้ ทำวันนี้ก็ปวดหัวแล้ว สิ่งที่จะทำ ทุกคนต้องมีความพึงพอใจและให้ความเห็นชอบ ถ้ายังขัดแย้งกันอยู่ก็ไปไม่ได้ เมื่อหมดอำนาจแล้ว ตนไม่ได้จะไปเป็นอะไร จะกลับบ้านไปนอน 

"การปฏิรูปคือหัวใจ ผมเริ่มต้นหยุดเลือดแล้ว วันนี้ต้องให้น้ำเกลือ ในอนาคตต้องใส่วิตามินทำให้เข้มแข็ง เพื่อไปต่อสู้ข้างนอก เดินหน้าไปสู่เออีซี และประชาคมโลก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ตนติดตามข่าวสารทุกอย่าง และที่ต่างประเทศมาพูดเรื่องรัฐธรรมนูญ ก็เห็นว่า เราเริ่มเดินหน้าแล้ว วันนี้ใครผิดหรือถูกก็อยู่ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิดความปรองดอง แต่การปรองดองจะให้ยกโทษทั้งหมด มันใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็ไม่ใช่การปรองดอง เพราะการปรองดองคือ การเจอหน้ากัน ทักทายกัน ครอบครัวคุยกันได้ ไม่มีระเบิด ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง จะให้มีการปรองดองโดยการนิรโทษกรรมมันคนละเรื่อง ทุกเรื่องต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทำให้ทุกอย่างเดินหน้า อย่างไรก็ตามโลกทั้งโลกไม่มีอะไรเท่าเทียมกัน แต่กฎหมายจะทำให้คนเท่าเทียมกันได้ ตนจำคำพูดนี้มาจากหนังเรื่องประธานาธิบดีลินคอร์นที่บอกว่า แม้จะทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ได้ แต่จะให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันและเคารพกติกา เพื่อให้ประเทศเดินหน้า

ขณะที่พล.อ.ประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง แถลงผลงานด้านความมั่นคงว่า เหตุผลสำคัญที่รัฐบาลชุดนี้เข้าบริหารประเทศคือ การยุติปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นประเทศ พร้อมระบุรัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ย้ำประเทศไทยไม่มีนักโทษการเมืองมีแต่นักโทษอาญา อย่าถามว่าจะปล่อยตัวนักโทษการเมืองเมื่อใด

นอกจากนี้รองนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า งานความมั่นคงนั้นจะทำงานทั้งด้านความมั่นคงภายในและภายนอกประเทศ โดยขณะนี้ไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน คือ ลาว พม่า กัมพูชา และมาเลเซีย เพราะ 4 ประเทศนี้มีอาณาเขตติดกับไทย และประชาชนเดินทางไปมาหาสู่กันตลอดจึงจำเป็นต้องเข้าไปดูแลความมั่นคงด้วย ยืนยันงานความมั่นคงทำด้วยความจริงใจ และจริงจังในทุกเรื่อง

ด้าน มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลได้เร่งให้มีการปรับฐานอุตสาหกรรมใหม่เพื่อเสริมการส่งออก ขณะที่ในส่วนของกลุ่มส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ รัฐบาลได้อนุมัติฐานการค้าข้ามชาติเพิ่มขึ้น เพื่อดึงต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยมีโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว 31 โครงการ ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นตัวที่ดึงจีดีพีได้สูงสุด ขณะเดียวกันในส่วนของโครงการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เชื่อมต่อกับ ประเทศเพื่อนบ้าน ขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมการถึงขั้นกำหนดที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม และที่ตั้งโกดังเก็บสินค้าไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อีกหนึ่งโครงการสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับทั้ง โครงข่ายบอดแบรนด์แห่งชาติ ศูนย์คลังข้อมูล การอำนายความสะดวกในการติดต่อราชการ รวมถึงการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ DLIT ด้วย

เรียบเรียงจาก : เว็บข่าวรัฐสภา , กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, ผู้จัดการออนไลน์ ASTV

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net