Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

หนึ่งในบรรดาประเด็นข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์การเมืองของไทยที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงโดยตลอดนับตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎรก็คือประเด็นที่ว่า พระปกเกล้าฯ เตรียมที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ราษฎรอยู่แล้ว แต่คณะราษฎรใจร้อนชิงเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อน โดยส่วนหนึ่งเห็นว่าเป็นความผิดของคณะราษฎรที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยของไทยต้องล้มลุกคลุกคลานมาจนถึงบัดนี้ ซึ่งเป็นการสร้างความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่ออนุชนรุ่นหลังและเป็นการกล่าวโทษที่ไม่เป็นธรรมต่อคณะราษฎรที่เสี่ยงชีวิตเข้าแลกเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ราษฎรมีสิทธิมีเสียงในการที่จะเลือกผู้ที่จะมาปกครองตนเอง ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของมวลมนุษยชาติทั้งหลาย

ก่อนที่เราจะด่วนพิจารณาตัดสินความผิดถูกในประเด็นนี้เราต้องดูพื้นเพภูมิหลังของคณะผู้ก่อการซึ่งล้วนแล้วประกอบไปด้วยผู้ที่มีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าในราชการระบบเก่าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนายพันเอก พระยาพหลพลหยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร นายพันตรีหลวงพิบูลสงคราม นายนาวาตรีหลวงสินธุสงครามชัย อำมาตย์ตรีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ฯลฯ ซึ่งหากเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่สำเร็จแล้ว อย่าว่าแต่ยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายจะสูญสิ้นไปเลยแม้แต่หัวก็จะหลุดออกจากบ่าเอาเสียด้วยซ้ำ แต่คณะราษฎรก็เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย

สำหรับในประเด็นที่ว่าพระปกเกล้าฯ เตรียมที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่คณะราษฎรใจร้อนชิงลงมือเสียก่อน นั้น อันที่จริงแล้วพระปกเกล้าฯ ทรงเคยปรึกษากับ ฟรานซีส บี แซร์ หรือพระยากัลยาณไมตรี เมื่อปี พ.ศ. 2469 มาแล้วครั้งหนึ่ง จนถึง พ.ศ. 2475 จึงรับสั่งให้พระยาศรีวิสารวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ และนายเรมอนต์ บี สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ ร่างรัฐธรรมนูญถวาย และกำหนดกันว่าจะพระราชทานในวันจักรี ที่ 6 เมษายน 2475

ร่างรัฐธรรมนูญของพระยาศรีวิสารวาจาและสตีเวนส์ที่ว่านี้ ที่จริงแล้วเป็นแต่เพียงเค้าโครงการจัดรูปแบบการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น มิใช่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด โดยรูปแบบและที่มาของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีว่า

1. ฝ่ายบริหาร ให้มีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินแทนองค์พระมหากษัตริย์ ให้นายกรัฐมนตรีมีสิทธิเลือกคณะรัฐมนตรี แต่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้เลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยพระองค์เองตามพระราชอัธยาศัย โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นสมาชิกสภาโดยตำแหน่ง จะทำหน้าที่บริหารโดยมีกำหนดวาระ แต่พระมหากษัตริย์อาจทรงแต่งตั้งใหม่ หรือพระมหากษัตริย์จะทรงให้ออกเมื่อใดก็ได้

2. ฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎร ให้ประกอบด้วยสมาชิกอย่างน้อย 50 คน อย่างมาก 75 คน กึ่งหนึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระราชอัธยาศัย กึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อม ผู้มีสิทธิลงสมัคร  รับเลือกตั้ง ต้องมีสัญชาติไทย มีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี อ่านออก เขียนได้ และเป็นผู้เสียภาษีในจำนวนที่แน่นอน

สมาชิกอยู่ในวาระคราวละ 4 ปี หรือ 5 ปี แต่พระมหากษัตริย์อาจทรงยุบสภาเมื่อใดก็ได้ และมีอำนาจยับยั้งกฎหมายที่ผ่านสภา รวมทั้งพระราชอำนาจที่จะทรงทำสัญญาหรือข้อตกลงกับต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องผ่านสภา และในกรณีที่สภาลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้วรัฐบาลจะต้องลาออก แต่พระมหากษัตริย์จะทรงรับใบการลาออกหรือให้อยู่เป็นรัฐบาลต่อไปก็ได้

อย่างไรก็ตามอภิรัฐมนตรีส่วนข้างมากและพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่รวมทั้งพระยาศรีวิสารวาจาและนายสตีเวนส์ ผู้ร่างถวาย มีความเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญดังกล่าว เมื่อเป็นเช่นนั้น วันที่ 6 เมษายน 2475 จึงผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในประเด็นของความรับผิดชอบของผู้ที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร นั้น ภายหลังจากที่คณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 แล้ว เมื่อนายปรีดี พนมยงค์ พยายามเสนอร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจฯ แต่ก็ถูกขัดขวางโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ผู้ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ทำรัฐประหารเงียบโดยได้สั่งปิดสภาฯ โดยไม่มีกำหนด และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งเป็นการกระทำที่เสมือนหนึ่งการฉีกรัฐธรรมนูญ และได้เนรเทศนายปรีดี พนมยงค์ ออกนอกประเทศ ด้วยความมุ่งหมายที่จะทำลายคณะราษฎร เพราะเข้าใจกันว่านายปรีดีเป็นมันสมองของคณะราษฎร และแผนต่อไปก็คือการจับกุมคณะราษฎรมาลงโทษฐานขบถ

แต่พระยามโนฯ ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร ได้ยึดอำนาจคืนจากพระยามโนฯ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2476 นายปรีดี พนมยงค์ จึงได้กลับสู่ประเทศอีกครั้งหนึ่ง และได้เข้าร่วมบริหารราชการแผ่นดินกับคณะราษฎรรวมเวลา 14 ปี นับแต่ปี 2476 ถึงปี 2489 ก็ได้มอบคืนอำนาจนั้นให้แก่ราษฎรตามรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม 2489 โดยยกเลิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท 2 (ที่มาจากการแต่งตั้ง) และให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง รวมทั้งสิทธิในการจัดตั้งพรรคการเมืองโดยไม่มีเงื่อนไข และสิทธิในการที่จะนิยมลัทธิการเมืองใด ๆ ก็ได้

แต่ในที่สุดก็ได้มีรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 นำโดยจอมพลผิน ชุณหะวัณ เกิดขึ้น ซึ่งนับแต่นั้นมาคณะราษฎรก็ถูกบังคับให้ยุติบทบาททางการเมืองอย่างสิ้นเชิง และการถือครองอำนาจรัฐก็ตกแก่คณะรัฐประหารของจอมพลผิน ชุณหะวัณ คณะปฏิวัติของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ คณะปฏิวัติของจอมพลถนอม กิตติขจร คณะปฏิรูปฯ ของพลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ และคณะอื่น ๆ อีกหลายคณะ จนมาถึงคณะ คสช.ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2557

จึงเห็นได้ว่าช่วงระยะเวลาที่คณะราษฎรถือครองอำนาจรัฐนั้นมีเพียง 14 ปี จากทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน 83 ปี ส่วนที่เหลืออีก 69 ปี ล้วนแต่อยู่ในอำนาจของกลุ่มอำนาจอื่นไม่ว่าจะเป็นจากทหารหรือพลเรือนที่มีส่วนทำให้ประชาธิปไตยไทยบิดเบี้ยวมาจวบจนปัจจุบันนี้

 

--------------

หมายเหตุ  เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2558

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net