อาจจะไม่ใช่เหตุบังเอิญที่ข้อถกเถียงเรื่องระบอบการปกครองถูกชักจูงให้วนเวียนอยู่กับนิยาม เป็นต้นว่า “ประชาธิปไตย-ที่สมบูรณ์” “ประชาธิปไตย-จอมปลอม” หรือ “เผด็จการที่ดี”
การขยายความ/เติมคุณศัพท์ทำให้ ‘ความหมาย’ ของคำพล่าเลือนไม่ชัดเจนเปิดโอกาสให้ผู้นิยามสามารถตัด-แต่งความหมายของคำกระทั่งอาจสามารถทำให้ความหมายใหม่ที่สร้างขึ้นมานั้นมีผลทางปฏิบัติคนละทิศทางกับความหมายของ ‘คำ’ ดั้งเดิมชนิดสวนทางกัน เป็นต้นว่า หากประชาธิปไตยหมายถึงการที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ประชาธิปไตย-ที่สมบูรณ์/ประชาธิปไตยที่แท้กลับหมายถึงการที่อำนาจอธิปไตยพ้นไปจากมือของประชาชน
ตรรกะพิการนี้เป็นไปได้เพราะการแปลงความเป็นจริงรูปธรรมที่จับต้องได้ให้เป็นนามธรรมอันว่างเปล่า แปลง ‘คน’ ที่มีเลือดเนื้อให้กลายเป็น “ประชาชน” ที่ไร้ใบหน้า เพื่อที่ว่าผู้มีอำนาจจะสามารถรับใช้ “ประชาชน” ได้โดยไม่จำเป็นต้องเห็น ‘คน’ อยู่ในสายตาแม้แต่คนเดียว
พูดง่าย ๆ คือ การชูเป้าหมายนามธรรมเปิดโอกาสให้สามารถกระทำโดยไม่เลือกวิธีการ กระทั่งอนุญาตให้ทำลายเนื้อหาแกนกลางของเป้าหมายลง
ด้วยเหตุนี้ “ประชาธิปไตย-ที่สมบูรณ์” ที่ “ตรงกับเจตนารมณ์ของคนส่วนใหญ่” จากปากของนายสุเทพ เทือกสุบรรณแกนนำ กปปส. (“สุเทพย้ำปฏิรูปการเมืองหัวใจสำคัญ ปชต. สมบูรณ์,” เดลินิวส์, 19 มีนาคม 2557 ) ในทางปฏิบัติจึงกลายเป็นความพยายามล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนใหญ่และขัดขวางการเลือกตั้งที่เปิดโอกาสให้คนไปแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของตนเองโดยสันติ “ประชาธิปไตย-จอมปลอม” ในทัศนะของศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เขียน ธีระวิทย์จึงหมายถึงการที่ ‘คน’ ออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองของตนเองไปได้อย่างน่าฉงน (“คำถามจาก ศ.กิตติคุณ รัฐศาสตร์จุฬาฯ ถึง 14 นศ.และนักเคลื่อนไหวที่อ้างประชาธิปไตย,” มติชน, 9 กรกฏาคม 2558)
ใช่หรือไม่ว่า ในความเป็นจริงแล้วเป้าหมายนามธรรมเหล่านั้นไม่มีใครรู้แน่ว่าคืออะไรหรือตัดสินกำหนดได้ว่าบรรลุถึงแล้วหรือไม่ เช่นนี้แล้ว การไม่เลือกวิธีการเพื่อที่จะบรรลุสู่เป้าหมายนามธรรมที่สมบูรณ์ย่อมที่จะมีโอกาสเป็นทุรกรรมในนามสุจริตชนที่ยิ่งกระทำก็ยิ่งมุ่งสู่ความเสื่อมแห่งเป้าหมาย
ประเทศไทยในทัศนะของคนจำนวนหนึ่งจึงไม่เคยพร้อมสำหรับประชาธิปไตย พวกเขารู้เพียงแต่ว่า “ประชาธิปไตย-ที่สมบูรณ์”/”ประชาธิปไตย-ที่แท้” มีโอกาสบรรลุถึงได้ตราบเท่าที่อำนาจอยู่ในมือพวกเขาเท่านั้น แม้เราจะผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครองมากว่า 80 ปีแล้วก็ตาม “ประชาธิปไตย-ที่สมบูรณ์”/”ประชาธิปไตย-ที่แท้” ก็ยังไม่เกิดขึ้นในเมืองไทย
ด้วยเหตุนี้การกล่าวอ้างนามธรรมอันเลื่อนลอยกระทำการในนามส่วนรวมจึงเป็นทั้งกับดักและหน้ากาก
เป็นกับดักด้วยเหตุที่ว่านามธรรมเหล่านั้นแปรปัญหาจากความเป็นจริงรูปธรรมให้เป็นปัญหานามธรรม ซึ่งมีผลให้เกิดการถกเถียงเชิงนามธรรมยกใหญ่โดยทิ้งปัญหาจริงที่มีผู้คนเดือดร้อนจริงดำรงอยู่ต่อไปอย่างไร้ตัวตน
เป็นหน้ากากด้วยเหตุที่ว่า เหตุผลนามธรรมเหล่านี้เองเป็นเครื่องบังหน้าอ้างประโยชน์ส่วนรวมทำประโยชน์ส่วนตนอย่างต่อเนื่องยาวนาน-หรือมิฉะนั้นก็เป็นการถาวร
สถานการณ์การเมืองไทยจึงเป็นอย่างที่เห็น คือ ประชาธิปไตยถูกทำลายลงตลอดเวลาที่มีการเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
ภายใต้กับดักและฉากหน้านามธรรมเช่นนี้ทำให้การอ้างนาม “ประชาชน” มักทำให้ ‘คน’ ตกเป็นเหยื่อ ทั้งที่ ‘คน’ เหล่านี้ถูกนับเป็นหนึ่งของประชาชน และเมื่อแปลงพวกเขาเป็น “ประชาชน” แต่ในนามไม่มีเลือดมีเนื้อแล้ว อำนาจรัฐและสังคมไทยถือเป็นความชอบธรรมที่จะตัดพวกเขาออกไปจากประโยชน์ที่พวกเขาควรได้ในนามประโยชน์ส่วนรวม
เช่นเดียวกันกับ “ประชาธิปไตย-ที่สมบูรณ์” หรือคำอื่น ๆ ที่ถูกเติม-แต่งความหมายเข้าไปจึงมักจะนับ ‘คน’ เข้าไปก่อนที่จะกันพวกเขาออกไปเพื่อบรรลุความดีงามตามนามธรรมที่ตัด-ต่อเข้ามา
“ประชาธิปไตย-ที่สมบูรณ์” หรือ “ประชาธิปไตย-จอมปลอม” โดยพฤติการณ์รูปธรรมในปัจจุบันจึงหมายถึงประชาธิปไตยที่กัน ‘คน’ จำนวนหนึ่งออกไปมากกว่าประชาธิปไตยของประชาชนทุกคน
แม้อาจจะถกเถียงกันได้ว่าสรรพสิ่งปราศจากแก่นแท้สมบูรณ์ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสรรพสิ่งย่อมมีส่วนประกอบของสมมติบัญญัติร่วมที่ลดทอนเป็นสิ่งอื่นไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน “ประชาธิปไตย” ก็คือ “ประชาธิปไตย” “เผด็จการ” ก็คือ “เผด็จการ” ไม่ว่าจะเติม-แต่งอย่างไรโดยตัวมันเองย่อมมีรูปธรรมที่เฉพาะเจาะจงไม่อาจลดทอนเป็นอื่นไปได้
โดยที่ไม่ต้องไปถกเถียงกันว่าประชาธิปไตยประกอบด้วยหลักการพื้นฐานอันขาดเสียมิได้อะไรบ้าง รูปธรรมของประชาธิปไตยปรากฎขึ้นด้วยคำถามง่าย ๆ ว่า “ท่านปรารถนาที่จะกุมชะตากรรมของตนเองใช่หรือไม่?”
ถ้าคำตอบของท่านคือ “ใช่” ระบอบการปกครองของไทยในปัจจุบันนี้ไม่ใช่ระบอบที่ท่านปรารถนาให้แก่ตัวท่านเองหรือลูกหลานของท่าน ไม่ว่าท่านจะเรียกมันว่า “ประชาธิปไตย-ที่สมบูรณ์” “ประชาธิปไตย-ที่แท้” หรือ “เผด็จการ-ที่ดี” หรืออะไรก็ตาม
หากคำตอบของท่านคือ “ไม่” การที่ฟ้าดินสร้างท่านให้มีศักยภาพสมองเหนือสัตว์ชนิดอื่นก็อาจจะเป็นการเปลืองเปล่าไม่ว่าท่านจะเป็นนาย ก. กวีซีไรท์ หรือศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ก็ตาม