13 ส.ค. 2558 ที่ศาลอาญารัชดา เวลาประมาณ 10.00 น.ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดี สุรภักดิ์ ผู้ต้องหาคดี 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊กในเพจเราจะครองฯ 5 กรรม ศาลฎีกาพิพากษายืน ยกฟ้อง
ทั้งนี้ ผู้พิพากษาอ่านสรุปเพียงสั้นๆ ว่าพิพากษายืน โดยขอไม่อ่านรายละเอียดเนื่องจากมีบุคคลอื่นและผู้สื่อข่าวอยู่ในห้อง คดีนี้จำเลยถูกจับกุมคุมขังนาน 1 ปี 2 เดือนโดยไม่ได้ประกันตัว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
อนึ่ง คดีนี้นับเป็นคดีแรกที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ ที่ฟ้องทั้งมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ต่อสู้กันจนถึงชั้นฎีกา
สุรภักดิ์
สุรภักดิ์ กล่าวหลังฟังคำพิพากษาว่า รู้สึกดีใจที่ตนเองสามารถยืนหยัดสู้คดีเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองได้ในกระบวนการยุติธรรม ส่วนการจะฟ้องเรียกค่าเสียหายกลับกับ สตช.จะหารือกับทนายอีกครั้ง
ด้านทนายของสุรภักดิ์กล่าวว่า คดีคอมพิวเตอร์มีความซับซ้อนมาก การได้มีคอมพิวเตอร์แสดงต่อศาลเป็นเรื่องจำเป็นมากเพราะศาลอาจจินตนาการสิ่งที่พูดไม่ออก อีกทั้งการไม่ได้ประกันตัวของจำเลยก็ทำให้การต่อสู้คดีมีอุปสรรคมาก โชคดีว่าคดีนี้จำเลยค่อนข้างเชี่ยวชาญจึงสามารถหารือกับทนายได้ชัดเจน
สำหรับจำเลยคือ สุรภักดิ์ อายุ 45 ปี มีอาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์และกำลังสร้างบริษัทเล็กๆ ของตนเอง พื้นเพเป็นคนจังหวัดบึงกาฬ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาถูกเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) บุกจับกุมที่โฮมออฟฟิศของตัวเองเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2554 เขาถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เป็นเวลาราว 1 ปี 2 เดือนโดยไม่ได้รับการประกันตัว จนกระทั่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ในวันที่ 31 ตุลาคม 2555 เขาจึงเป็นอิสระ โดยศาลชั้นต้นเห็นว่าหลักฐานยังมีข้อสงสัยอยู่หลายประการ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ปัจจุบันเขายังคงทำงานด้านนี้โดยเริ่มต้นใหม่กับการดูแลระบบของบริษัทต่างๆ
เขายืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหาตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และยืนยันต่อสู้คดีแม้จะไม่ได้รับการประกันตัวให้ออกมารวบรวมพยานหลักฐาน เขาได้รับอนุญาตจากองค์คณะผู้พิพากษาให้นำคอมพิวเตอร์มาแสดงให้เห็นตามคำยืนยันที่ว่าหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบนั้นมีความผิดปกติ “เป็นหลักฐานเท็จ”