ระเบิดที่เกิดขึ้นที่ราชประสงค์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาไม่ได้ทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์และทรัพย์สินจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังได้ทำลายความมีเหตุผลของสังคมไปด้วย หลังจากข่าวการระเบิดได้กระจายออกไป นอกจากความรู้สึกโศกเศร้าต่อเหยื่อผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ในอีกมุมหนึ่งเราเห็นความพยายามที่จะหาจำเลยในคดีนี้อย่างรวดเร็ว แม้ความพยายามที่จะนำความยุติธรรมมาสู่สังคมอาจไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายในตัวมันเอง แต่หากว่ามันถูกตั้งบนฐานความคิดที่อคติและไร้เหตุผลแล้วมันย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่นอน
ในขณะที่เปลวเพลิงจากแรงระเบิดที่จะยังไม่มอดดับลง แต่เรากลับเห็นผู้คนจำนวนมากที่ถูกอคติทางการเมืองครอบงำความคิดมากพอที่จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปโดยไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ภาพของการชี้นิ้วไปที่ฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมืองว่าอยู่เบื้องหลังการการก่อการร้ายได้ทำอย่างเปิดเผย แม้จะไม่มีหลักฐานใดๆมาประกอบการปรักปรำเช่นนั้นเลยก็ตาม อดีตรองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวแทนจากฝ่ายรัฐที่ควรจะทำหน้าที่สร้างสติให้สังคมกลับไม่รอช้าที่จะชี้นิ้วไปที่ฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองโดยไม่มีหลักฐานอะไรชัดเจนเลย แม้แต่อาจารย์นักวิชาการผู้ที่สมควรจะเป็นคนกลุ่มน้อยที่พยายามจะถือคบไฟส่องนำทางในยามที่สังคมมืดมิดบางคนก็ยังกลายเป็นแกนนำในการล่าแม่มดเสียเอง
การล่าแม่มดไม่ได้หยุดเท่านั้น ภาพของคนที่หน้าคล้ายผู้ต้องสงสัย ก็จะถูกส่งต่อ ถูกแชร์ อย่างไม่ตั้งคำถาม ไม่ตรวจสอบว่ามันจริงหรือไม่ ไม่คำนึงว่าชีวิตของคนๆนั้นจะได้รับผลระทบเพียงใดจากการกระทำเช่นนั้น แม้แต่คนที่อาจไม่ได้แสดงความรู้สึกโกรธเกลียดโศกเศร้าออกมาอย่างเปิดเผยก็จะถูกโถมด่าประณามว่าไม่รักชาติ ไม่ใช่คนไทย เสมือนว่าเป็นคนที่กดระเบิดลูกนั้นเสียเอง
แม้สังคมถูกทำให้เป็นเสมือนพงไพรที่การกล่าวหาใส่ร้ายอย่างไร้เหตุผลถูกทำให้เป็นสิ่งที่ปกติ แต่เรายังเห็นความหวัง สังคมไทยยังไม่ไร้ซึ่งความหวัง
เราเห็นภาพการทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยและไม่กลัวอันตรายของเจ้าหน้าที่ หน่วยพยาบาล และอาสาสมัคร เราเห็นคนธรรมดาที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์แต่กลับยื่นมือเข้าไปช่วยคนได้รับบาดเจ็บอย่างกล้าหาญ เราเห็นคนแห่ไปบริจาคเลือดให้กับผู้บาดเจ็บ บ้างก็ไปอาสาสมัครช่วยเป็นล่ามให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตกเหยื่อการก่อการร้ายในช่วงเวลาที่ควรจะเป็นความทรงจำที่ดีๆกับเพื่อนๆและครอบครัว
ผู้เขียนดีใจที่ได้เห็นการรณรงค์ไม่แชร์รูปผู้เสียชีวิตเพื่อให้เกียรติและปกป้องสิทธิของผู้ตาย การไม่แชร์ภาพอันสะเทือนใจนี้ยังเป็นการปกป้องความรู้สึกของญาติพี่น้องที่อยู่ข้างหลังอีกด้วย ได้มีความพยายามรณรงค์เรื่องนี้มานานแต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จจนกระทั่งวันนี้
นักสืบพันทิพย์จำนวนมากได้ระดมกำลังความคิดและข้อมูลต่างๆอย่างไม่ละละเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ในการจับกุมคนร้ายให้ได้ ทำคนละไม้ละมือ และในตอนที่หลายๆคนถูกล่าแม่มดอย่างเมามันจากฝูงชนที่หิวกระหายเหยื่อเพื่อมาสนองความรู้สึกบางอย่าง เราได้เห็นคนจำนวนมากที่มีเหตุผลมากพอที่จะไปตามกระแส และยื่นมือออกมาปกป้องเหยื่อเหล่านี้ด้วยความกล้าหาญ
ท่ามกลางการกรีดร้องหวาดกลัวระเบิดของคนชาวกรุง หลายคนได้เตือนสติสังคมให้รู้ซึ้งถึงสถานการณ์ที่คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องเผชิญอยู่ทุกวัน หลายคนเริ่มที่จะเข้าใจถึงความรู้สึกของชาวบ้านในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้น หลายคนรับรู้ว่าความเลวร้ายที่กรุงเทพฯกำลังประสพอยู่นี้มันน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่พี่น้องทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องเจอ
ในขณะที่นักวิชาการบางคนได้ใช้อคติส่วนตัวชี้นิ้วใส่ร้ายคนอื่นอย่างไร้เหตุผล เราก็ได้เห็นนักวิชาการอีกหลายคนที่พยายามเตือนสติสังคม ใช้เหตุผล ใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์สถานการณ์
เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ทุกคนในสังคมยังยินดีและเต็มใจที่จะช่วยกันปกป้องสังคม เช่น คุณแม่มือใหม่คนหนึ่งตั้งปณิธานว่าเมื่ออยู่นอกบ้านจะใช้โทรศัพท์มือถือน้อยลงเพื่อที่เป็นอีกหนึ่งแรงเล็กๆในการช่วยสอดส่องดูสิ่งผิดปกติ ดูกระเป๋าถูกทิ้ง ดูคนทิ้งกระเป๋า รอบตัวเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ครอบครัว และสาธารณะ
สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงสำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า "every cloud has a silver lining" ซึ่งหมายถึง แม้แต่เมฆที่มืดดำแต่หากมองดีๆแล้วเราจะเห็นว่าขอบเมฆยังมีแสงฉายเจิดจ้าออกมา ในเหตุการณ์ร้ายๆเช่นนี้หากพิจารณาให้ดีเราก็จะเห็นสิ่งดีๆที่อาจเป็นความหวังของสังคมได้เช่นกัน
สุดท้าย ผู้เขียนไม่อาจทราบได้จริงๆว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ใครเป็นผู้ก่อการร้าย และเกี่ยวโยงกับการเมืองหรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญคือ สังคมต้องเรียนรู้ที่จะฝ่าวิกฤตินี้ไปอย่างมีสติ มีเหตุผล แล้วเมื่อนั้นประเทศไทยจะฝ่าวิกฤติไปอย่างมีความหวัง
เกี่ยวกับผู้เขียน: ปัจจุบัน ดร.ณรุจน์ วศินปิยมงคล เป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี