“ผู้ปกครองควรให้คนกลัวมากกว่าคนรัก เพราะความรักอาจกลายเป็นความเกลียดได้ แต่ความกลัวนั้นจะไม่รักและไม่เกลียด ผู้ปกครองจึงควรใช้อำนาจและความรุนแรงเพื่อให้ผู้อื่นกลัว”
จาก The Prince,Niccolo Machiavelli
ผมไม่รู้ว่า คสช.นำบทเรียนจาก The Prince ซึ่งแต่งโดย Machiavelli มาใช้หรือไม่ แต่จากเหตุการณ์ภายหลังการเข้ายึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา มีการจับกุมและเรียกผู้คนเข้าไปปรับทัศนคติกันเป็นจำนวนมาก และล่าสุด คือกรณีของคุณพิชัย นริพทะพันธุ์ และคุณเก่ง การุณ หรือแม้กระทั่งการเข้าทำร้ายคุณวัฒนา เมืองสุข ซึ่งก็ไม่ชัดเจนว่าเกิดจากสาเหตุใดหรือโดยใคร กรณีล่าสุดคือกรณีคุณประวิทย์ โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวเนชั่น ซึ่งได้สร้างกระแสความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วจนสามารถที่จะกล่าวได้ว่าเราอยู่ในสถานะที่เรียกว่า State of Fear หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “สภาวะแห่งความหวาดกลัว”แล้ว
Machiavelli เป็นชาวฟลอเรนซ์ อิตาลี เขารับราชการในสมัยที่ตระกูล เดอ เมดิซี(De Medici)กำลังมีอำนาจ เขาเองเคยถูกจับขังคุกจนต้องอำลาชีวิตราชการและเขียนหนังสือ The Prince เสนอแนวความคิดทางการเมืองที่สนับสนุนการใช้อำนาจและความรุนแรง เช่น จงเตรียมพร้อมเพื่อทำสงคราม การให้คนรักหรือคนกลัวอย่างไหนดีกว่ากัน ทำไมผู้ปกครองควรถูกยกย่องหรือถูกตำหนิ ผู้ปกครองควรรักษาสัจจะได้ในลักษณะใด ผู้ปกครองต้องพยายามไม่ให้คนเกลียด ทำอย่างไรผู้ปกครองจึงจะสร้างชื่อเสียงใด้ ฯลฯ แนวคิดของ Machiavelli นี้ทำให้เขาถูกโจมตีว่าเป็น “นักคิดที่ไร้ศีลธรรม” แต่บางคนกลับมองเขาว่าเป็น “นักคิดที่กล้าหาญ” เพราะเขาพูดความจริงที่ไม่มีใครเคยพูดมาก่อน
จากประวัติศาสตร์การเมืองของโลกเราที่ผ่านมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าทัศนคติหรือแนวคิดของ Machiavelli นั้นเป็นความจริงแต่เป็นความจริงที่ไม่ยั่งยืน สามารถใช้ได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะความกลัวของมนุษย์นั้นมีจุดสิ้นสุด เมื่อใดที่มนุษย์มีความรู้สึกว่าทนต่อไปไม่ได้แล้วมนุษย์จะไม่กลัวอะไรทั้งนั้น แม้แต่การทรมานหรือแม้กระทั่งการสูญเสียชีวิต ดังจะเห็นได้จากการที่ทหารหรือผู้คนเข้ารบราฆ่าฟันกันเพื่ออุดมการณ์ ความเชื่อ ศาสนาหรือผลประโยชน์ของชาติที่เขาเห็นว่าจำเป็นต้องปกป้องไว้
จริงอยู่ว่าโดยปกติลักษณะนิสัยของคนไทยแต่เดิมนั้นจะอยู่ในวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิม(parochial political culture) คือ ไม่รู้และไม่สนใจการเมืองและไม่คิดว่าตนจะได้รับผลกระทบทางการเมืองผ่านมาสู่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า(subjective political culture) คือ สนใจและและเข้าใจการเมืองแต่อยู่ในลักษณะของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครอง จึงไม่สนใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยตนเอง และกำลังก้าวเข้าสู่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม(participant political culture) คือ สนใจการเมืองและตระหนักว่าการเมืองมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของตนทุกด้าน จึงกระตือรือร้นที่จะเข้ามามีกิจกรรมทางการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
ที่กล่าวเช่นนี้ก็เนื่องเพราะในช่วงหลังที่แม้ว่าเราจะมีการเล่น “กีฬาสี” กันก็ตาม แต่เมื่อมองปรากฏการณ์ที่ประชาชนต่างมีความสนใจเข้าร่วมทางการเมือง มีช่องโทรทัศน์ วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ที่ตนเอง ชื่นชอบ พ่อค้าแม่ค้าในตลาด แท็กซี่ สองแถว คุยเรื่องละครน้ำเน่าน้อยลงหรือไม่มีเลย แต่หันมาคุยเรื่องการเมืองแทน ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าเป็นความแตกแยกแต่ผมกลับมองว่าเป็นความตื่นตัว(arousing)ทางการเมืองซึ่งเป็นของธรรมดาที่จะเห็นต่างกันได้ การแก้ปัญหาก็ต้องด้วยวิธีการทางการเมืองซึ่งอาจจะช้าแต่ได้ผลกว่าการทุบโต๊ะ ซึ่งอาจแก้ได้ชั่วครั้งชั่วคราวแต่ไม่ยั่งยืน
วิธีการของ Machiavelli อาจจะใช้ได้ผลในศตวรรษที่แล้วที่ผู้คนมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมหรือแบบไพร่ฟ้า ที่เชื่อว่า “ผู้มีอำนาจย่อมเป็นผู้ถูก(might is right)” เพราะคนมีอำนาจจะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครกล้าว่าผิด จุดมุ่งหมายย่อมสำคัญกว่าวิธีการ(end justify means) จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้บรรลุจุดหมาย แต่อย่าลืมนะครับ อำนาจย่อมมีวันหมด ไม่มีอำนาจใดที่ยั่งยืนถาวรตลอดกาล
ผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ในอดีตไม่ว่าจะเป็น เจงกิส ข่าน ,อเล็กซานเดอร์มหาราช, นโปเลียนมหาราช, ฮิตเลอร์, มุสโสลินี, ซูฮาร์โต,จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์,จอมพลถนอม กิตติขจร ,จอมพลประภาส จารุเสถียร ฯลฯ มาแล้วก็ต้องไป แต่จะไปอย่างไรนั้นอยู่กับการใช้อำนาจในระหว่างการเป็นผู้ปกครอง
บางคนก็ลงอย่างสง่างามแต่บางคนก็พบจุดจบที่น่าสยดสยองขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถแปร “ความกลัว”ของผู้คนนั้นไปเป็น “ความรัก”หรือ “ความเกลียด” ถ้าแปรเป็นความรักก็จะกลายเป็น “มหาบุรุษ(great man)”ของชาติ เช่น เจงกิส ข่าน ที่เป็นที่รักของชาวมองโกเลีย(ศัตรูในสมัยนั้นอาจจะเกลียด) แต่ถ้าแปรเป็นความเกลียดก็จะกลายเป็น “ทรราชย์(tyrant)” เช่น ฮิตเลอร์ หรือมุสโสลินี เป็นต้น
อย่าลืมนะครับว่าอำนาจคือยาเสพติด อำนาจนั้นยิ่งใช้ยิ่งหมดไป ยิ่งใช้มากยิ่งหมดเร็ว สถานการณ์สร้างวีรบุรุษได้ฉันใด สถานการณ์ก็ทำลายวีรบุรุษไดฉันนั้น แม้ว่า คสช.จะอ้างเหตุผลว่าเข้ามาด้วยความปรารถนาดี เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา โดยขอเวลาอีกไม่นาน ก็ตาม แต่ผลที่จะออกมาจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับว่า คสช.จะแปร “ความกลัว”นั้นเป็น “ความรัก” หรือ “ความเกลียด”นั่นเอง
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 16 กันยายน 2558